ไข้กลับซ้ำ (Relapsing fever)

สารบัญ

บทความที่เกี่ยวข้อง

 

บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?

          ไข้กลับซ้ำ(Relapsing fever) คือ โรคติดเชื้อแบคทีเรียรูปเกลียวใน’สกุลบอร์เรเลีย(Borrelia)’ โดยมี ‘เห็บนิ่ม’หรือ’เหาลำตัว’เป็นตัวนำโรค, เมื่อคนถูก’เห็บนิ่ม’หรือ’เหาลำตัว’กัด เชื้อแบคทีเรียนี้จะเข้าสู่กระแสเลือด ก่อให้เกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งอาการของโรคจะคล้ายโรคไข้จับสั่น คือ ไข้สูงทันทีร่วมกับ หนาวสั่น  ปวดหัว  ปวดกล้ามเนื้อ  ปวดข้อ อ่อนเพลีย  คลื่นไส้อาเจียน โดยจะมีอาการไข้อยู่นานประมาณ 3-5วัน หลังจากนั้นอาการไข้จะหายไปประมาณ1-2สัปดาห์ แล้วจะกลับมามีไข้สูงอีกทันที  วนเวียนเป็นรอบๆไปอย่างนี้ ประมาณตั้งแต่ 1รอบขึ้นไปจนกว่าจะได้รับการรักษา หรือในบางคนที่ได้รับเชื้อน้อยและสุขภาพแข็งแรง อาการไข้/อาการโรคอาจหายเองได้จากการดูแลตนเองทั่วๆไป

          ไข้กลับซ้ำ/โรคไข้กลับซ้ำ พบเรื่อยๆทั่วโลก แต่ยังไม่มีการศึกษาสถิติเกิดที่แน่ชัด  พบบ่อยขึ้นในคนท่องเที่ยวป่า อยู่แค้มป์  ค่ายผู้อพยพ  คนเร่ร่อน  บางครั้งพบเกิดการระบาดในค่ายผู้อพยพที่อยู่กันอย่างแออัด พบทุกเพศ ทุกวัย

 

โรคไข้กลับซ้ำมีกี่ชนิด? เกิดจากอะไร? ติดต่อสู่คนได้อย่างไร?

         ไข้กลับซ้ำ/โรคไข้กลับซ้ำ มี 2 ชนิด(รูปแบบ)หลัก คือ

  • ชนิดเกิดจากมี’เห็บนิ่ม’เป็นตัวนำโรค(Tick borne relapsing fever ย่อว่า TBRF): ‘เห็บนิ่ม’ เป็นเห็บในสกุล ออร์นิธอโดรอส(Ornithodoros) อาศัยอยู่ตามรังหนู มี ’หนู’เป็นโฮสต์ และกัดกินเลือดหนูเป็นอาหารขณะหนูหลับ  ‘เห็บนิ่ม’จะกัดไม่เจ็บรวมทั้งเมื่อกัดคนและจะกัดกินเลือดเฉพาะเวลากลางคืน เป็นเห็บที่พบทั่วโลกยกเว้นหมู่เกาะในย่านแปซิฟิก โรคในกลุ่มนี้จึงพบได้ทุกทวีปทั่วโลก

         เมื่อคนพักอาศัยในย่านมีหนูอาศัย   หรือ ในการเที่ยวป่า เที่ยวชนบท  หรือ ทำงานในป่า เขา   ตั้งแค้มป์ ก็จะสัมผัสเห็บเหล่านี้ได้ ‘เห็บนิ่ม’จะกัดกินเลือดคนในช่วงคนหลับ/กลางคืน ซึ่งกัดไม่เจ็บ ทั่วไปหลายคนจึงไม่รู้ตัวว่ามีเห็บกัดและมักไม่พบรอยแผลกัด  หลังถูกกัด  แบคทีเรียก่อโรคฯซึ่งมีหลากหลายชนิดย่อย(แต่ให้อาการและธรรมชาติของโรคเหมือนๆกัน  ทั่วไปจะอยู่ในน้ำลายเห็บนิ่ม)จะเข้าสู่กระแสเลือด และแบ่งตัวเจริญเติบโตในเลือดคนจนก่ออาการ ’โรคไข้กลับซ้ำ’

         อนึ่ง: ไข้กลับซ้ำ/โรคไข้กลับซ้ำที่เกิดจาก’เห็บนิ่ม’ นอกจากติดเชื้อผ่านทางถูกเห็บฯกัดแล้ว ยังมีรายงานสามารถติดต่อสู่คนได้อีกผ่านทาง

  • ได้รับเลือดของผู้ติดเชื้อโรคนี้   
  • รกเข้าสู่ทารกในครรภ์จากมารดาติดเชื้อโรคนี้
  • จากทำงานในห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับเชื้อนี้ เช่น จากเข็ม เป็นต้น
  • ชนิดเกิดจาก’เหาลำตัว’เป็นตัวนำโรค(Louse borne relapsing fever ย่อว่า LBRF): เหาลำตัว(Pediculosis humanus corporis) อาศัยอยู่บนผิวหนังบริเวณลำตัวของคน มีคนเป็นรังโรค(ยังไม่พบสัตว์อื่นเป็นรังโรค) เหาลำตัวจะกัดกินเลือดคนเป็นอาหาร ซึ่งเชื้อจะอยู่ในทางเดินอาหารและเข้าสู่คนผ่านรอยแผลกัดหรือรอยเกาหรือรอยแผลต่างๆบนผิวหนัง เมื่อคนบี้เหาฯให้ตาย เชื้อจะเข้าสู่กระแสเลือดผ่านทางรอยแผลที่ผิวหนัง แล้ว แบ่งตัวเจริญเติบโตในเลือดจนก่ออาการ ซึ่งจะให้อาการและมีธรรมชาติของโรค รวมถึงการวินิจฉัย การรักษา เช่นเดียวกับโรคไข้กลับซ้ำที่เกิดจากตัวนำโรคที่เป็น’เห็บนิ่ม’เพราะเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย’สกุลบอร์เรเลีย’เช่นเดียวกัน  และแบคทีเรียสกุลนี้ในเหาฯที่ก่อโรคไข้กลับซ้ำมีหลากหลายชนิดย่อยเช่นเดียวกัน  

         ไข้กลับซ้ำ/โรคไข้กลับซ้ำชนิดเกิดจากเหาลำตัว พบทั่วโลกเช่นกัน แต่เกือบทั้งหมดเกิดในค่ายผู้อพยพ ค่ายทหาร สถานที่แออัด ขาดแคลน ไม่มีสุขอนามัย ในภาวะสงคราม ที่อยู่กันอย่างแออัด และในคนเร่ร่อน  จากการไม่มีสุขอนามัยของคนที่เป็นรังโรคของเหาลำตัว    ปัจจุบันมักพบในประเทศแถบอัฟริกา โดยเฉพาะในซูดาน และเอธิโอเปีย

 

โรคไข้กลับซ้ำมีอาการอย่างไร?

         โรคไข้กลับซ้ำ/ไข้กลับซ้ำ ทุกชนิด มีอาการและระยะฟักตัวเช่นเดียวกัน จะประมาณ 4-18 วันหลังร่างกายได้รับเชื้อ และทั่วไป มักมีอาการนานประมาณ 3-54 วัน(ระยะกึ่งกลาง=18วัน) ทั้งนี้ อาการต่างๆ เช่น

  • อาการหลักที่เป็นที่มาของชื่อโรค: คือ
  • ไข้สูง มักสูงถึง 40 องศาเซลเซียส(C)ที่เกิดอย่างเฉียบพลัน ร่วมกับ หนาวสั่น ซึ่งจะคล้ายอาการโรคไข้จับสั่น/มาลาเรีย อาการนี้จะเป็นอยู่ประมาณ 10-30นาที
  • โดยจะมีไข้สูงลักษณะนี้นานประมาณ 3-5 วัน
  • ต่อจากนั้น ไข้จึงลงเป็นปกตินานประมาณ 7 วัน นับเป็นครบ1รอบของอาการไข้
  • ซึ่งถ้าไม่ได้รับการรักษา จะกลับมามีไข้สูงอีกนานประมาณ3-5วันเช่นเดิม วนเวียนสลับกับระยะไม่มีไข้ เป็นรอบๆตามความรุนแรงของโรค ซึ่งเป็นที่มาของชื่อโรค’ไข้กลับซ้ำ’ , อาจ 1-10 รอบขึ้นกับความรุนแรงของโรค  
  • และถ้าร่างกายแข็งแรงและ/หรือได้รับเชื้อน้อย โรคอาจหายเองได้จากร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันฯต่อแบคทีเรียนี้ได้ ซึ่งอาการจะค่อยๆรุนแรงน้อยลงๆในรอบหลังๆจนหายเป็นปกติ
  • แต่ถ้าได้รับเชื้อมาก หรือ โรครุนแรงจะเป็นเหตุให้ถึงตายได้จากการติดโรคที่อวัยวะต่างๆที่สำคัญ เช่น  ปอดบวม, ภาวะหัวใจล้มเหลว, ภาวะช็อก,  ชัก, และ/หรือ โคม่า, และตายในที่สุด
  • อาการอื่นๆที่เกิดร่วมด้วย: ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีเหมือนกันทุกคน หรือ มีครบทุกอาการ โดยจะขึ้นกับความรุนแรงของโรค ได้แก่
  • อาการทั่วไป: เช่น
    • เบื่ออาหาร
    • อ่อนเพลีย
    • ปวดหัว
    • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและข้อ
    • คลื่นไส้
    • อาจอาเจียน
    • หัวใจเต้นเร็ว
    • อาจมีผื่นเลือดออกขึ้นตามลำตัว แขน ขา
    • อาจมี เลือดออกใต้เยื่อตา, เลือดออกใต้ผิวหนัง หรือในเนื้อเยื่อเมือก เช่น ในช่องปาก
    • กรณี’เห็บนิ่ม’กัด: ลำตัว แขนขา อาจมีรอยแผลกัดสีดำ(Eschar)
    • กรณีเกิดโรคในสตรีตั้งครรภ์ อาจเป็นสาเหตุการแท้งบุตร, คลอดก่อนกำหนด, หรือ ทารกเสียชีวิตในครรภ์ได้
  • กรณีโรครุนแรง อาการจะเกิดจากเชื้อฯแพร่ไปหลายอวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ ตับ สมอง และปอด
    • อาการทางปอด(ปอดบวม): เช่น เจ็บหน้าอก, ไอ, มีเสมหะ, หายใจลำบาก/หอบเหนื่อย
    • อาการทางสมอง: เช่น ปวดหัวมาก, คอแข็ง, สับสน, ซึม, อาการเพ้อ, ชัก, กล้ามเนื้ออ่อนแรง, กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง, แขนขาไม่มีแรง
    • อาการทางตับ(ตับอักเสบ): เช่น ตัวเหลืองตาเหลือง  ตับม้ามโต
    • อาการทางหัวใจ: เช่น กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ, ภาวะหัวใจล้มเหลว
    • ภาวะช็อก
    • โคม่า
    • และ ตายในที่สุด

 

เมื่อไหร่ควรพบแพทย์

         เมื่อมีอาการดังกล่าวใน ’หัวข้อ อาการฯ’ โดยเฉพาะเมื่อมีโรคนี้เป็นโรคประจำถิ่น หรือ เดินทางท่องเที่ยว, ทำงานในถิ่นดังกล่าว  หรือ อยู่ในค่ายผู้อพยพ หรือ แออัด ช่วงมีความแห้งแล้งอดอยากของประเทศ ควรพบแพทย์/มาโรงพยาบาลเสมอ 

 

แพทย์วินิจฉัยโรคไข้กลับซ้ำได้อย่างไร?

         แพทย์วินิจฉัยโรคไข้กลับเป็นซ้ำ/ไข้กลับซ้ำ ได้จาก

  • ซักถามประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย ที่สำคัญ คือ อาการ การมีไข้กลับซ้ำ การงาน  การท่องเที่ยว  ถิ่นพักอาศัย  ฐานะทางเศรษฐกิจสังคม
  • การตรวจร่างกาย ที่รวมถึงตรวจคลำช่องท้องดูขนาดของ ตับ ม้าม
  • การตรวจทางห้องปฏิบัติการ: เช่น
    • ตรวจเลือดดู
      • ความสมบูรณ์ของเลือด(ซีบีซี) เพื่อดูการติดเชื้อ, ดูภาวะซีด, ดูค่าเกล็ดเลือด
      • *ตรวจดูเชื้อแบคทีเรียรูปเกลียวฯที่อยู่ในเลือดที่เรียกว่า ‘Blood smear’ ซึ่งจะพบสูงมากช่วงอาการไข้ในรอบแรกที่เป็นตัววินิจฉัยโรคแม่นยำ แต่จำนวนเชื้อจะค่อยๆลดลงในๆไข้รอบถัดไปซึ่งจะทำให้ประสิทธิผลการตรวจต่ำลง  
      • ค่าการทำงานของ ตับ ไต
      • สารก่อภูมิต้านทาน และ สารภูมิต้านทาน
    • การตรวจปัสสาวะ ดูการทำงาน และการติดเชื้อของไต
  • ตรวจภาพอวัยวะที่มีอาการ เช่น
    • เอกซเรย์ปอดดูการติดเชื้อที่ปอด/ปอดบวม และดูโรคหัวใจ
    • เอกซเรย์คอมพิวเตอร์/ซีทีสแกนสมอง กรณีมีอาการทางสมอง
  • การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจอีเคจี กรณีมีอาการทางหัวใจ
  • *การตรวจที่ให้ผลแม่นยำที่สุดคือ ตรวจหาเชื้อจากเลือดด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงที่เรียกว่า PCR(Polymerase chain reaction)

 

รักษาโรคไข้กลับซ้ำอย่างไร?

         โรคไข้กลับเป็นซ้ำ/ไข้กลับซ้ำ เป็นโรคที่รักษาได้ผลดีมากด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะซึ่งทั่วไปมักเห็นอาการดีขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงหลังได้ยาฯ โดยให้ยาฯในระยะเวลา 1-2 สัปดาห์ขึ้นกับอาการของโรค, ยาปฏิชีวนะที่ใช้ เช่น ยาดอกซีไซคลิน (Doxycycline), เพนิซิลลิน (Penicillin), หรือ อิริโทรมัยซิน(Erythromycin) 

         นอกจากนั้น คือ การรักษาตามอาการ: เช่น

  • ให้สารน้ำ, สารอาหาร, ทางหลอดเลือดดำ กรณีกินไม่ได้ หรือมีภาวะขาดน้ำ
  • ยาลดไข้
  • ยาแก้ปวด

         *อนึ่ง: ในการรักษาโรคนี้ด้วยยาปฏิชีวนะ  ประมาณ 50%ของผู้ป่วยที่เชื้อฯตอบสนองต่อยาดีมาก หลังการได้รับยาประมาณไม่เกิน 2 ชั่วโมง  จะส่งผลให้เชื้อฯตายเป็นจำนวนมากส่งผลต่อเนื่องให้เกิดมีสารชีวะเคมีจำนวนมหาศาลในกระแสเลือดจากตัวเชื้อฯที่สลายตัว จึงกระตุ้นให้ร่างกายบางคนเกิดปฏิกิริยาตอบสนองที่เรียกว่า ‘Jarisch-Herxheimer reaction ย่อว่า เจเอชอาร์/JHR’ โดยผู้ป่วยจะมีอาการต่างๆทันที เช่น ไข้สูง, กระสับกระส่าย, เหงื่อออกท่วมตัว,  หัวใจเต้นเร็ว, หายใจเร็ว, ความดันโลหิตต่ำ,  ซึ่งภาวะความดันโลหิตต่ำในบางรายที่ต่ำมากๆ จะก่อภาวะช็อกจนผู้ป่วยอาจถึงตายได้ ซึ่งแพทย์ให้การดูแลรักษาด้วยการให้ ยาลดไข้,  สารน้ำ,  ยาที่คงความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ,  ซึ่งปฏิกิริยานี้มักเกิดในครั้งแรกของการได้ยาปฏิชีวนะ     

         อย่างไรก็ตาม ‘วิธีป้องกันปฏิกิริยา’นี้คือ การให้ยา พาราเซตามอล ก่อนการให้ยาปฏิชีวนะประมาณ 2ชั่วโมง และ ให้อีกครั้งประมาณ 2ชั่วโมงหลังให้ยาปฏิชีวนะ

         * Jarisch-Herxheimer reaction ได้ชื่อจาก 2 แพทย์ผิวหนังชาวยุโรปที่รายงาน ปฏิกิริยานี้จากการรักษาโรคซิฟิลิส คือ นพ. Adolf Jarisch และ นพ. Karl Herxheimer ในปีค.ศ. 1895 และ 1902 ตามลำดับ

 

โรคไข้กลับซ้ำมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?

         โรคไข้กลับเป็นซ้ำ/ไข้กลับซ้ำ ทั่วไปเมื่อพบแพทย์ตั้งแต่แรกมีอาการและได้รับยาปฏิชีวนะทันที การพยากรณ์โรคจะดีมาก ส่วนใหญ่จะรักษาได้หาย

  • ในผู้เกิดโรคจากเห็บนิ่ม(TBRF): การพยากรณ์โรคจะดีกว่าโรคเกิดจากเหาลำตัว(LBRF) ทั้งนี้มีรายงานพบอัตราตายจากโรคนี้
    • ประมาณน้อยกว่า 10% ในผู้พบแพทย์ช้าหรือไม่ได้รับการรักษา
    •  ประมาณ 2%ในผู้ได้รับการรักษา
  • ในผู้เกิดจากเหาลำตัว(LBRF): อัตราตาย
    • ประมาณ 10%-40%ในผู้พบแพทย์ช้าหรือไม่ได้รับการรักษา
    • ประมาณ 2%-5%ในผู้ได้รับการรักษา

 

ใครมีปัจจัยเสี่ยงเกิดโรครุนแรง?

       ผู้มีปัจจัยเสี่ยงเกิดโรครุนแรงได้แก่

  • ผู้เกิดโรคจากถูก’เหาลำตัว’กัด อาการจะรุนแรงกว่าโรคที่เกิดจากถูก’เห็บนิ่ม’กัด
  • ผู้ได้รับการรักษาล่าช้า อาการรุนแรงกว่า
  • มีอาการดังต่อไปนี้ตั้งแต่หนึ่งอาการขึ้นไป:
    • โคม่า
    • เลือดออกตามผิวหนังหรืออวัยวะต่างๆ
    • อาการทางตับ/ตับอักเสบ โดยเฉพาะ ตับวาย
    • กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
    • ปอดบวม
    • ติดเชื้ออื่นร่วมด้วย เช่น ไข้จับสั่น/มาลาเรีย, ไทฟอยด์ , โรคสครับไทฟัส,

ดูแลตนเองอย่างไร?พบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?

         การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคไข้กลับซ้ำ/ไข้กลับซ้ำ ได้แก่

  • ปฏิบัติตาม แพทย์ พยาบาล แนะนำ
  • กินยา/ใช้ยาต่างๆที่แพทย์สั่งให้ถูกต้อง ไม่หยุดยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ก่อน
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อมีสุขภาพกายที่แข็งแรง มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคที่ดีเป็นปกติ
  • กินอาหารมีประโยชน์ห้าหมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน
  • ไม่สูบบุหรี่
  • ไม่ดื่มสุรา
  • ออกกำลังกายตามควรกับสุขภาพทุกวัน
  • ดูแลตนเอง ที่พักอาศัย และสภาพแวดล้อมดังกล่าวใน ’หัวข้อ การป้องกันฯ’เพื่อป้องกันโรคกลับเป็นซ้ำหลังรักษาหายแล้วที่รวมถึงคนในครอบครัวด้วย
  • พบแพทย์/มาโรงพยาบาลตามแพทย์นัดเสมอ
  • พบแพทย์/มาโรงพยาบาลก่อนนัด เมื่อ
    • อาการต่างๆแย่ลง หรือมีอาการใหม่ๆที่ไม่เคยมีมาก่อน
    • มีผลข้างเคียงต่อเนื่องจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันจากยาที่แพทย์สั่ง เช่น ท้องผูก ท้องเสีย วิงเวียนศีรษะ
    • กังวลในอาการ

 

ป้องกันโรคไข้กลับซ้ำได้อย่างไร?

ก. ปัจจุบัน ยังไม่มีวัคซีนป้องกันไข้กลับซ้ำ/โรคไข้กลับซ้ำ ดังนั้นการป้องกันที่ดีที่สุดคือ ระมัดระวังไม่ให้ถูก’เห็บนิ่ม’ หรือ ‘เหาลำตัว’ ที่เป็นตัวนำโรคกัด

  • การป้องกันไข้กลับซ้ำ/โรคไข้กลับซ้ำที่มี’เห็บนิ่ม’เป็นตัวนำโรค(TBRF):
  • ระวังไม่พักอาศัย รวมถึงที่พักแรม ใกล้กับรังหนูซึ่งเป็นโฮสต์ของเห็บนิ่ม โดยสังเกตถึงความสกปรก เศษอาหารตกค้าง มูลหนู และฉี่หนู ในที่พักและบริเวณรอบๆที่พักที่รวมถึง ห้องน้ำ ห้องครัว
  • หมั่นทำความสะอาด ห้องพัก เต็นท์ สิ่งแวดล้อมใกล้ที่พัก แหล่งขยะอาหาร เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งพักอาศัยหรือเป็นแหล่งอาหารของหนู
  • ฉีดทำความสะอาดที่พัก เต็นท์ด้วย น้ำยาฆ่าเห็บชนิดไม่เป็นอันตรายต่อคน เช่น       น้ำยา 5%Permethrin (เพอร์เมทริน) โดยปรึกษาผู้ชำนาญหรือผู้จำหน่ายเต็นท์เหล่านี้
  • ฉีดDEET (Diethyltoluamide) พ่นเสื้อผ้า และ/หรือผิวหนัง (การใช้ในเด็กควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ)เมื่ออยู่ในที่เสี่ยงมีเห็บนิ่มเพื่อฆ่าเห็บฯ  
  • ปรึกษาอนามัยในท้องถิ่นถึงวิธีดูแลตนเองและสถานพักอาศัย

 

ข. การป้องกันไข้กลับซ้ำ/โรคไข้กลับซ้ำที่มี’เหาลำตัว’เป็นตัวนำโรค(LBRF): เนื่องจาก เหาลำตัวจะอยู่ที่ผิวหนัง จึงมักติดอยู่ตามเสื้อผ้า โดยเฉพาะตะเข็บ นอกจากนั้น คือ เครื่องนอน ผ้าเช็ดตัว และจะอยู่กับคนที่มักสกปรก เช่น  พักอาศัยในแหล่งแออัด, ขาดปัจจัยในการเป็นอยู่, ในแค้มป์ผู้อพยพ,  คนจรจัด

        การป้องกันที่สำคัญ แต่ทำได้ยาก คือ

  • รักษาความสะอาดส่วนบุคคล อาบน้ำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2ครั้ง โดยเฉพาะก่อน นอน
  • เปลี่ยนเสื้อผ้าทุกวัน
  • รักษาความสะอาดเสื้อผ้าด้วยการซักและต้ม และตากแดดให้แห้ง
  • รักษาความสะอาด เครื่องนอน หมั่นนำออกตากแดด  
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสคลุกคลีกับบุคคลในแหล่งดังกล่าว
  • อาจต้องทาแป้งทั้งตัวที่เป็นแป้งชนิดมียาที่ฆ่าเหาลำตัวได้

 

บรรณานุกรม

  1. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK441913/ [2021,Nov20]
  2. https://www.msdmanuals.com/professional/infectious-diseases/spirochetes/relapsing-fever [2021,Nov20]
  3. https://emedicine.medscape.com/article/227272-overview#showall [2021,Nov20]
  4. https://en.wikipedia.org/wiki/Relapsing_fever [2021,Nov20]
  5. https://www.cdc.gov/relapsing-fever/clinicians/index.html [2021,Nov20]
  6. https://www.cdc.gov/relapsing-fever/index.html [2021,Nov20]
  7. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC5239707/ [2021,Nov20]
  8. https://www.cdc.gov/relapsing-fever/resources/15_260166_fs_aperea.pdf
  9. https://www.ecdc.europa.eu/en/louse-borne-relapsing-fever/facts [2021,Nov20]