คำถามเกี่ยวกับยา
โดย วันทนีย์ โลหะประกิตกุล
เรื่อง : ยาแก้อักเสบ
การอักเสบ (Inflammation) คือ การตอบสนองของหลอดเลือด (Vascular tissue) ต่อการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกายส่งผลให้เนื้อเยื่อเหล่านั้นเกิดอาการ บวม แดง ร้อน เจ็บ/ปวด และอาจมีอาการไข้เกิดขึ้น ซึ่งสาเหตุหลักของการอักเสบมี 2 สาเหตุคือ สาเหตุจากการติดเชื้อโรคและสาเหตุจากที่ไม่ใช่การติดเชื้อโรค
1. ยาต้านอักเสบสเตียรอยด์ (Glucocorticoid หรือ Corticosteroid) หรือมักเรียกสั้นๆว่า “สเตียรอยด์” เป็นสเตียรอยด์ฮอร์โมนที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นจากต่อมหมวกไต (Adrenal cortex) นอกจากจะมีฤทธิ์ต้านอักเสบ (Anti-inflammatory effects) แล้วยังมีผลต่อระบบเมแทบอลิซึม/การเผาผลาญใช้พลังงานของร่างกาย (Metabolic effects) เช่น การสร้างน้ำตาลกลูโคสจากกรดอะมิโน มีฤทธิ์สลายโปรตีน ไขมัน (Catabolic effects) และกดภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกาย (Immunosuppressive)
2. ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSIAD: Non-steroidal anti-inflammatory drug) หรือมักเรียกสั้นๆว่า “เอ็นเสด” เป็นยาที่ใช้ต้านอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากติดเชื้อ แต่ลักษณะอาการอักเสบจะคล้ายกับการอักเสบจากติดเชื้อ ได้แก่ อาการบวม แดง ร้อน เจ็บ/ปวด และอาจมีไข้ เป็นยาที่มีคุณสมบัติต้านการทำงานของเกล็ดเลือด ส่งผลให้เลือดแข็งตัวได้ช้า ลดโอกาสการเกิดลิ่มเลือด แพทย์จึงมักใช้ยากลุ่มนี้ในการป้องกันและรักษา โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น เอ็นเสดสามารถแบ่งย่อยได้อีก 2 กลุ่ม คือ กลุ่ม Non-specific COX inhibitors (Traditional NSAIDs) เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟ่น และ กลุ่ม COX-2 inhibitors เช่น เซเลค็อกสิบ (Celecoxib) อีโทริค็อกสิบ (Etoricoxib) ซึ่งเป็นยาที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อลดผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการใช้ยากลุ่ม Non-specific COX inhibitors
ข้อควรระวังหลักในการใช้ยาสเตียรอยด์
- หลีกเลี่ยงการใช้ในผู้ป่วยโรคจิต โรคแผลในกระเพาะอาหาร โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคกระดูกพรุน และโรคติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อ
- เนื่องจากยาสเตียรอยด์มีผลข้างเคียงมาก จึงควรใช้ยาในขนาดที่น้อยที่สุดและในระยะเวลาสั้นที่สุดเท่าที่จะควบคุมโรคได้
- ใช้ยาเฉพาะที่ เช่น ยาพ่นในการรักษาโรคหืดแทนการใช้ยากินหรือยาฉีด
- บ้วนปากหลังการใช้ยาแบบพ่นคอหรือพ่นจมูก เพื่อลดการเกิดเชื้อราใช้ช่องปาก
- เมื่อเห็นผลการรักษาแล้วต้องค่อยๆ ลดขนาดยาลง ไม่หยุดยาทันทีเพราะจะทำให้ร่างกายเกิดอาการขาดสเตียรอยด์
ข้อควรระวังหลักในการใช้ยาเอนเสด
- ห้ามใช้ในผู้ที่แพ้ยานั้นๆ รวมถึงแพ้ยาที่มีโครงสร้างหลักคล้ายกัน
- ห้ามใช้ในผู้ที่มีเลือดออกในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ (เลือดออกในทางเดินอาหาร) หรือมีแผลทะลุต่างๆ เพราะเอ็นเสดจะก่อให้เกิดการระคายเคืองและเป็นแผลในกระเพาะอาหาร ดังนั้นการกินเอ็นเสดจึงต้องกินหลังอาหารทันทีและมักกินคู่กับยาเคลือบกระเพาะอาหาร
- ห้ามใช้ในผู้ที่เป็นโรคตับ โรคไต อย่างรุนแรง
- ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคไข้เลือดออก
- ควรระวังในผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงหรือโรคหัวใจ เพราะยากลุ่ม COX-2 inhibitors อาจทำให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดหรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด