คำถามเกี่ยวกับโรค
โดย วันทนีย์ โลหะประกิตกุล
เรื่อง : ริดสีดวง
โรคริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids หรือ Piles) คือ โรคที่เกิดจากการอักเสบ และ/หรือการบวมของกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือดที่อยู่ภายในทวารหนักและรอบๆ ปากทวารหนัก แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ โรคริดสีดวงภายนอก (External hemorrhoids) และ โรคริดสีดวงภายใน (Internal hemorrhoids)
- ท้องผูก ทำให้ต้องเบ่งอุจจาระเป็นประจำ แรงเบ่งจะเพิ่มความดัน และ/หรือการบาดเจ็บในกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด
- ท้องเสียเรื้อรัง การอุจจาระบ่อยๆ จะเพิ่มความดัน และ/หรือการบาดเจ็บต่อกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด
- การนั่งนานๆ รวมทั้งนั่งถ่ายอุจจาระนานๆ จะกดทับกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด
- อายุ ผู้สูงอายุจะมีการเสื่อมของเซลล์ต่างๆ รวมทั้งของกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด
- การตั้งครรภ์ เพราะน้ำหนักของครรภ์จะกดทับลงบนกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด
- โรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน ส่งผลให้เพิ่มแรงดันในช่องท้องและในอุ้งเชิงกรานสูงขึ้น
- การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก จึงเกิดการกดเบียดทับ/บาดเจ็บต่อกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือดส่วนนี้เรื้อรัง
- โรคแต่กำเนิดที่ไม่มีลิ้นปิดเปิด (Valve) ในหลอดเลือดดำในเนื้อเยื่อหลอดเลือดซึ่งช่วยในการไหลเวียนเลือด
- อาจเกิดจากพันธุกรรม เพราะพบโรคได้สูงกว่าเมื่อครอบครัวมีประวัติเป็นโรคริดสีดวงทวาร
โดยปัจจัยแต่ละตัวล้วนทำให้เกิดภาวะเลือดคั่งในหลอดเลือด อันเป็นผลให้เกิดหลอดเลือดโป่งพองง่าย
- อาการพบบ่อยของโรคริดสีดวงภายนอก คือ
- มีติ่งเนื้อสีชมพูคล้ำออกมาจากปากทวารหนักเมื่อท้องผูกหรือท้องเสีย
- เมื่อมีลิ่มเลือดเกิดในหลอดเลือดที่โป่งพองจะก่อให้เกิดอาการปวด เจ็บ บวม และระคายเคืองบริเวณรอบปากทวารหนัก และอาการคัน แต่มักไม่ค่อยพบมีเลือดออกจากติ่งเนื้อนี้
- อาการพบบ่อยของโรคริดสีดวงทวารภายใน คือ
- อุจจาระเป็นเลือด โดยไม่มีอาการปวดเจ็บ อุจจาระมักเป็นเลือดสด ออกหลังอุจจาระสุดแล้ว มักพบเลือดบนกระดาษชำระ เลือดที่ออกจะไม่ปนกับอุจจาระ มักไม่มีมูกปน และมักหยุดได้เอง อาการเหล่านี้จะเป็นๆ หายๆ
- เมื่อเป็นมากหลอดเลือดจะบวมมาก รวมทั้งเนื้อเยื่อเกี่ยวพันรอบหลอดเลือดจะบวมออกมาถึงปากทวารหนัก เห็นเป็นก้อนเนื้อนิ่ม ปลิ้นโผล่ออกมานอกปากทวารหนัก ซึ่งในภาวะเช่นนี้จะก่ออาการเจ็บปวดได้
- ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเพิ่มความดันในกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือดที่เป็นสาเหตุของโรค
- การใช้ยาต่างๆ เช่น ยาทาลดอาการคัน ยาเหน็บทวารลดอาการบวม ปวด และยาแก้ปวด เป็นต้น
- การรักษาทางศัลยกรรมที่มีหลายรูปแบบ เช่น การจี้ด้วยไฟฟ้า หรือ เลเซอร์ การฉีดยาเข้าหลอดเลือด เพื่อให้หลอดเลือดยุบแฟบ การผูกหลอดเลือด หรือการผ่าตัดหลอดเลือด ทั้งนี้ขึ้นกับความรุน แรงของโรค ข้อบ่งชี้ และดุลพินิจของแพทย์
- ภาวะกลั้นอุจจาระไม่อยู่ เพราะเมื่อเกิดหลอดเลือดโป่งพอง หูรูดปากทวารหนักจึงปิดไม่สนิท
- ภาวะซีด เพราะมีเลือดออกจากกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือดเรื้อรัง หรือบางครั้งเลือดออกมากและไม่สามารถหยุดเองได้
- การติดเชื้อ อาจเกิดเป็นฝี หรือหนองในบริเวณก้นได้
- ถ้าเกิดการเน่าตายของกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด จะส่งผลให้เกิดอาการเจ็บปวดอย่างมาก