ท่อนำไข่อักเสบ (Salpingitis)
- โดย รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิง ประนอม บุพศิริ
- 22 เมษายน 2566
- Tweet
สารบัญ
- ท่อนำไข่อักเสบคืออะไร?
- ท่อนำไข่อักเสบมีอาการอย่างไร?
- ใครที่มีปัจจัยเสี่ยงเกิดท่อนำไข่อักเสบ?
- แพทย์วินิจฉัยท่อนำไข่อักเสบอย่างไร?
- ควรไปพบแพทย์เมื่อไหร่?
- รักษาท่อนำไข่อักเสบอย่างไร?
- ดูแลตนเองเมื่อมีท่อนำไข่อักเสบอย่างไร?
- ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?
- ภาวะแทรกซ้อนของท่อนำไข่อักเสบมีอะไรบ้าง?
- ใครมีปัจจัยเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อน?
- ท่อนำไข่อักเสบมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
- ท่อนำไข่อักเสบสามารถเป็นซ้ำได้หรือไม่?
- ตั้งครรภ์ได้เมื่อไหร่หลังการรักษาแล้ว?
- ป้องกันท่อนำไข่อักเสบอย่างไร?
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กามโรค (STD: Sexually transmitted disease)
- การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน (Pelvic inflammatory disease)
- ปีกมดลูกอักเสบ การอักเสบของปีกมดลูก (Adnexitis)
- เยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ (Endometritis)
- ปากมดลูกอักเสบ (Cervicitis)
- แบคทีเรีย: โรคจากแบคทีเรีย (Bacterial infection)
- โรคพุ่มพวง / โรคลูปัส (Lupus) / โรคเอสแอลอี (SLE)
ท่อนำไข่อักเสบคืออะไร?
ท่อนำไข่อักเสบ (Salpingitis) คือ โรค/ภาวะมีการอักเสบบริเวณท่อนำไข่ ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ของการอักเสบเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย, การอักเสบของท่อนำไข่มักไม่ได้อักเสบเฉพาะที่ท่อเดี่ยวๆ แต่มักจะมีการอักเสบที่มดลูก/เยื่อบุมดลูกร่วมด้วยที่รวมเรียกว่าการอักเสบ/การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน (Pelvic inflammatory disease)
ทั้งนี้ ท่อนำไข่ (Follopian tube): เป็นอวัยวะที่ยื่นต่อออกจากตัวมดลูก คล้ายแขนยื่นออกไป 2 ข้างซ้ายและขวา โดยปลายด้านหนึ่งของท่อจะมีลักษณะคล้ายนิ้วมือไปคลุมด้านบนของรังไข่
ท่อนำไข่อักเสบมีอาการอย่างไร?
อาการจากท่อนำไข่อักเสบที่พบบ่อย ได้แก่
- ปวดท้องน้อยที่ด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้ง 2 ด้าน
- มีตกขาวผิดปกติ
- มีเลือดออกผิดปกติ/เลือดออกกะปริบกะปรอยทางช่องคลอด/เลือดออกทางช่องคลอด
- มีก้อนถุงน้ำที่ปีกมดลูก (Hydrosalpinx) พบในกรณีที่มีการอักเสบเรื้อรังที่ทำให้ปลายท่อนำไข่อุดตัน จึงมีการคั่งของของเหลวในท่อ ทำให้เกิดเป็นก้อนขึ้นมา
ใครที่มีปัจจัยเสี่ยงเกิดท่อนำไข่อักเสบ?
สตรีที่มีปัจจัยเสี่ยงเกิดท่อนำไข่อักเสบ คือ
- สตรีที่มีเพศสัมพันธ์
- มีคู่นอนที่มีการอักเสบของอวัยวะสืบพันธุ์
- สตรีที่มีคู่นอนหลายคน
- ไม่ใช้ถุงยางอนามัยชายเมื่อมีเพศสัมพันธ์
- สวนล้างช่องคลอด
- มีประวัติเคยมีการติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน
- สตรีที่ภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายบกพร่อง เช่น โรคเบาหวาน, โรคลูปัส-โรคเอสแอลอี, โรคติดเชื้อเรื้อรังต่างๆ เช่น เอชไอวี
แพทย์วินิจฉัยท่อนำไข่อักเสบอย่างไร?
ทั่วไปแพทย์วินิจฉัยท่อนำไข่อักเสบได้จาก
ก. ประวัติทางการแพทย์: ที่สำคัญคือ มีอาการปวดท้องน้อยด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้าง บางครั้งอาจมีไข้หรือตกขาวผิดปกติ และประวัติที่มีปัจจัยเสี่ยงดังได้กล่าวใน ‘หัวข้อ ปัจจัยเสี่ยงฯ’
ข. การตรวจร่างกาย: หากอาการไม่มากจะไม่พบการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพ ถ้าอาการรุนแรงสามารถตรวจพบว่ามีไข้ได้ นอกจากนั้นจะมีการกดเจ็บตำแหน่งที่มีอาการปวดท้องน้อยด้านใดด้านหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้างหรือรวมทั้งบริเวณเหนือหัวหน่าวด้วย
ค. การตรวจภายใน: เช่น พบตกขาวที่ผิดปกติ และเมื่อแพทย์โยกปากมดลูกจะมีอาการเจ็บบริเวณปีกมดลูก หากมีภาวะแทรกซ้อนเป็นก้อนฝี/หนองจะคลำพบก้อนที่ปีกมดลูก
ง. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ: เช่น
- เมื่อตรวจเลือด (การตรวจซีบีซี) อาจมีการเพิ่มจำนวนของเม็ดเลือดขาวมากขึ้น,
- การตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้องหรือช่องท้องน้อย มักไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงในกรณีที่ท่อนำไข่มีการอักเสบแบบเฉียบพลัน ยกเว้นหากมีภาวะแทรกซ้อนมีก้อนฝี/หนองจะพบก้อนฝีหนองที่ปีกมดลูก หรือหากเคยมีการอักเสบเรื้อรังมาก่อน ปลายท่อนำไข่ตีบตัน จะทำให้มีของเหลวคั่งอยู่ในท่อนำไข่ได้ จึงทำให้เห็นภาพท่อนำไข่ขยาย/ถุงน้ำ (Hydrosalpinx) เห็นได้ชัดเจน
ควรไปพบแพทย์เมื่อไหร่?
เมื่อมีอาการผิดปกติตามที่กล่าวมาแล้วใน ‘หัวข้อ อาการฯ’ หรือสงสัยว่าจะเป็นท่อนำไข่อักเสบ ควรรีบไปพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเพื่อรับคำแนะนำและรับการตรวจรักษาอย่างถูกต้อง ไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะรับประทานเอง เพราะอาจไม่ครอบคลุมชนิดเชื้อโรค หรือรับประทานยาไม่ครบระยะเวลา ทำให้รักษาได้ไม่หายขาด หรืออาจทำให้เกิดเชื้อดื้อยาได้
รักษาท่อนำไข่อักเสบอย่างไร?
การรักษาท่อนำไข่อักเสบจะเหมือนกับการรักษาภาวะอักเสบ/การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน (Pelvic inflammatory disease), หรือการอักเสบของปีกมดลูก/ปีกมดลูกอักเสบ (Adnexitis) กล่าวคือ
- ในกรณีที่อาการไม่รุนแรง: แพทย์จะรักษาแบบผู้ป่วยนอก โดยให้ยาปฎิชีวะนะ Ceftriaxone 250 มก.(มิลลิกรัม) ฉีดเข้ากล้ามเนื้อครั้งเดียวร่วมกับให้รับประทานยา Doxycycline 100 มก. หลังอาหารเช้าและเย็นนานประมาณ 2 สัปดาห์
- ในกรณีอาการรุนแรง: เช่น ที่มีไข้, มีก้อนหนองที่ท่อนำไข่, มีอาการคลื่นไส้อาเจียนมาก, มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายบกพร่อง, แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล และให้ยาปฎิชีวะนะเหมือนการรักษาผู้ป่วยในที่มีภาวะอักเสบในอุ้งเชิงกรานแบบเฉียบพลัน
- การรักษาร่วมอย่างอื่น: เช่น การรักษาประคับประคองตามอาการ เช่น ให้ยาแก้ปวด, ยาลดไข้, ให้ประคบหน้าท้องด้วยน้ำอุ่น
ดูแลตนเองเมื่อมีท่อนำไข่อักเสบอย่างไร?
การดูแลตนเองที่บ้านเมื่อมีท่อนำไข่อักเสบ ที่สำคัญ คือ
- ปฏิบัติตามแพทย์พยาบาลแนะนำ
- รับประทานยาให้ครบตามแพทย์แนะนำ ไม่หยุดยาเอง
- รักษาสุขภาพให้แข็งแรง เช่น การรักษาสุขอนามัยพื่นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ)
- งดมีเพศสัมพันธ์ช่วงที่กำลังรักษาจนกว่าอาการจะปกติและแพทย์อนุญาตให้มีเพศสัมพันธ์ได้แล้ว
- พิจารณาใช้ถุงยางอนามัยชายในการมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง
- พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามนัดเสมอ
ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?
ทั่วไปควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัดเสมอ เมื่อ
- อาการต่างๆเลวลง เช่น ปวดท้องน้อยมากขึ้น ตกขาวมากขึ้น
- อาการที่รักษาหายแล้วกลับมามีอาการอีก เช่น กลับมามีไข้ กลับมาตกขาว
- มีอาการที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น มีไข้ มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด
- เมื่อกังวลในอาการ
ภาวะแทรกซ้อนของท่อนำไข่อักเสบมีอะไรบ้าง?
ภาวะแทรกซ้อน/ผลข้างเคียงจากท่อนำไข่อักเสบที่พบได้ เช่น
- เกิดรังไข่อักเสบและ/หรือมดลูก/เยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบร่วมด้วย
- เกิดก้อนฝี/หนองที่ปีกมดลูก (Tubo-ovarian abscess)
- ทำให้ปลายท่อนำไข่อุดตัน เกิดการคั่งของของเหลว ทำให้ท่อนำไข่โตขึ้น (Hydrosalpinx)
- ท่อนำไข่อุดตัน ทำให้เกิดภาวะมีบุตรยาก
- ทำให้ปวดท้องน้อยเรื้อรังจากการมีพังพืดในอุ้งเชิงกราน
- มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูก/ท้องนอกมดลูกสูงขึ้น
ใครมีปัจจัยเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อน?
ผู้มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน (ผลข้างเคียง) จากท่อนำไข่อักเสบที่พบบ่อย คือ
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ/บกพร่องเช่น ผู้ติดเชื้อเอชไอวี
- ผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันฯเช่น ในผู้ป่วยโรคลูปัส-โรคเอสแอลอี
- ในสตรีตั้งครรภ์ สตรีผู้สูงอายุ หรือกลุ่มสตรีที่มีโรคเบาหวาน
- นอกจากนั้น การซื้อยาปฏิชีวนะมารับประทานเองหรือรับประทานยาปฏิชีวนะไม่ครบตามแพทย์สั่งก็ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย
ท่อนำไข่อักเสบมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
ทั่วไป ท่อนำไข่อักเสบมีการพยากรณ์โรคที่ดี รักษาหายได้, แต่การพยากรณ์โรคขึ้นกับหลายปัจจัยที่สำคัญคือ การรักษาที่ทันท่วงที, การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยตามคำแนะนำของแพทย์พยาบาล, การรับประทานยาปฏิชีวนะครบตามแพทย์แนะนำ, ซึ่งจะทำให้การรักษาโรคมีโอกาสหายมากขึ้น การพยากรณ์โรคดีขึ้น โอกาสมีภาวะแทรกซ้อนน้อยลง
นอกจากนั้น ปัจจัยต่อการพยากรณ์โรคยังรวมถึงการเป็นผู้ป่วยในกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน
ท่อนำไข่อักเสบสามารถเป็นซ้ำได้หรือไม่?
ท่อนำไข่อักเสบสามารถกลับเป็นซ้ำได้ หากยังไม่หลีกเลี่ยง/แก้ไขปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิด ดังกล่าวแล้วในหัวข้อ ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรค
ตั้งครรภ์ได้เมื่อไหร่หลังการรักษาแล้ว?
การอักเสบของท่อนำไข่ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์/โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์, คู่นอนจึงควรได้รับการตรวจรักษาด้วยเพื่อลดโอกาสกลับมาเป็นโรคซ้ำ, ช่วงที่กำลังรับประทานยารักษา ควรต้องงดการมีเพศสัมพันธ์ไปสักระยะก่อน และ/หรือ ต้องใช้ถุงยางอนามัยชายร่วมด้วย
หลังรักษาโรคหายแล้ว: ไม่มีข้อห้ามในการตั้งครรภ์ แต่เพื่อให้สุขภาพกลับมาแข็งแรง ฝ่ายชายควรจะใช้ถุงยางอนามัยไปอีก 2 - 3 เดือน, และควรปรึกษาแพทย์ก่อนการตั้งครรภ์เสมอ
ป้องกันท่อนำไข่อักเสบอย่างไร?
ทั่วไป ป้องกันท่อนำไข่อักเสบได้โดย
- มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยโดยใช้ถุงยางอนามัยชาย
- งดมีเพศสัมพันธ์กับชายที่มีการติดเชื้อบริเวณอวัยวะเพศ
- ไม่สวนล้างช่องคลอด
- รักษาสุขภาพให้แข็งแรงด้วยการรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ)
- งดดื่มสุรา เพราะจะทำให้ขาดสติ เกิดการเสี่ยงต่อเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัยจึงเสี่ยงต่อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
บรรณานุกรม
- Soper DE. Genitourinary infection and sexually transmitted disease. In: Berek JS ,editor. Berek & Novak’s Gynecology. 15th ed. Philadelphia: Wolters Kluwer 2012:557-73.
- https://emedicine.medscape.com/article/253402-overview#showall [2023,April 22]
- https://www.emedicinehealth.com/cervicitis/article_em.htm [2023,April 22]