โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually transmitted disease)
- โดย รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิง วรลักษณ์ สมบูรณ์พร
- 17 สิงหาคม 2562
- Tweet
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์คืออะไร?
- อาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นอย่างไร?
- สาเหตุของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีอะไรบ้าง?
- ปัจจัยเสี่ยงของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีอะไรบ้าง?
- ควรเตรียมตัวก่อนพบแพทย์อย่างไร?
- มีวิธีการตรวจเพื่อวินิจฉัยโรคอย่างไรบ้าง?
- ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีอะไรบ้าง?
- มีวิธีรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างไร?
- วิธีป้องกันการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีอะไรบ้าง?
- จะปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์?
- บรรณานุกรม
- โรคติดเชื้อ ภาวะติดเชื้อ (Infectious disease)
- โรคผิวหนัง (Skin disorder)
- หนองใน (Gonorrhea)
- หนองในเทียม (Chlamydia infection)
- โรคฝีมะม่วง หรือกามโรคต่อมน้ำเหลือง (Lymphogranuloma venereum)
- พยาธิช่องคลอด
- โรคไวรัสตับอักเสบ บี (Viral hepatitis B)
- เอชไอวี: โรคติดเชื้อเอชไอวี (HIV: HIV infection)
- ซิฟีลีส
- เริมอวัยวะเพศ
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์คืออะไร?
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือเรียกย่อว่า โรคเอสทีดี (Sexually transmitted disease /STD บางคนเรียกว่า Sexually transmitted infection หรือเรียกย่อว่า โรคเอสทีไอ/STI) คนไทยมักเรียกว่า กามโรค โรคบุรุษ หรือโรคผู้หญิง (Venereal disease หรือเรียกย่อว่า โรควีดี/ VD) คือโรคติดเชื้อที่เกิดจากการสัมผัสทางเพศ เชื้อโรคจะติดต่อจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งโดยผ่านทางเลือด น้ำอสุจิ สารคัดหลั่งจากช่องคลอด หรือสารคัดหลั่งจากส่วนอื่นๆของร่างกาย ในบางกรณี โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อาจติดต่อได้แม้จะไม่มีการสัมผัสทางเพศก็ตาม เช่น จากแม่สู่ทารก ซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งในขณะที่ตั้งครรภ์และจากการคลอด หรืออาจติดเชื้อจากการได้รับเลือด หรือจากเข็มฉีดยาที่ใช้ร่วมกัน
การติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อาจพบได้ แม้แต่ในกรณีที่มีสัมพันธ์ทางเพศกับบุคคลซึ่งแลดูมีสุขภาพดี ทั้งนี้เพราะผู้ที่เป็นโรคอาจไม่ปรากฏอาการให้เห็นอย่างชัดเจน
อาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นอย่างไร?
อาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีหลากหลาย บางครั้งอาจไม่ปรากฏอาการให้เห็นจนกระทั่งมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นแล้วจึงรู้ว่าเป็นโรค หรือรู้ว่าตัวเองอาจติดโรคก็ต่อเมื่อคู่นอนได้รับการวินิจฉัยว่าติดโรคแล้ว
อาการที่อาจบ่งชี้ว่าติดโรคแล้ว มีดังต่อไปนี้ คือ อาการเจ็บ หรือมีก้อนบวม (Lump) หรือแผล ที่บริเวณปากและทวารหนัก ปัสสาวะแสบขัด มีน้ำหรือหนองออกมาจากอวัยวะเพศชาย หรือจากช่องคลอด มีเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอด มีต่อมน้ำเหลืองบวม หรือมีอาการปวดที่บริเวณต่อมน้ำเหลือง โดยเฉพาะที่ขาหนีบ เป็นต้น
ภายหลังจากที่มีการสัมผัสโรค ระยะเวลาที่จะปรากฏอาการ (ระยะฟักตัวของโรค) หรือมีรอยโรคเกิดขึ้น อาจใช้เวลา 2-3 วันจนถึง 3 เดือน ในบางราย อาการหรือรอยโรคที่ปรากฏอาจหายได้เองภายใน 2-3 สัปดาห์แม้จะไม่ได้รักษาก็ตาม อย่างไรก็ดี อาจมีการกลับเป็นซ้ำของโรคได้ โรคที่เคยหายไปอาจรุนแรงขึ้น และก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ในภายหลัง ดังนั้นเมื่อมีการสัมผัสทางเพศกับผู้ที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือมีอาการ หรือมีรอยโรคที่ชวนสง สัยว่าจะเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ควรรีบปรึกษาแพทย์ นอกจากนี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (การตรวจโรคในขณะยังไม่มีอาการ) ตั้งแต่แรกก่อนที่จะมีการสัมผัสทางเพศ และควรตรวจเป็นระยะๆตามแพทย์แนะนำ ถึงแม้จะมีคู่นอนเพียงคนเดียวก็ตาม ในกรณีมีคู่นอนหลายคน ควรตรวจโรคนี้ทุกครั้งก่อนและหลังมีคู่นอนคนใหม่ หรือตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อป้องกันโรคติดต่อสู่ผู้อื่น และเพื่อการรักษาตัวเองแต่เนิ่นๆ
สาเหตุของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีอะไรบ้าง?
เชื้อโรคที่ก่อให้เกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีดังนี้
- แบคทีเรีย ได้แก่ โกโนเรีย หรือหนองในแท้/โรคหนองใน, ซิฟิลิส /โรคซิฟิลิส, คลามัยเดีย (Chlamydia infection) หรือหนองในเทียม
- พยาธิ ชนิด ทริโคโมแนส (Trichomonas vaginalis)
- ไวรัส ได้แก่ เชื้อ Human papillomavirus/HPV/เอชพีวี, เชื้อเริม/เริมที่อวัยวะเพศ, เชื้อเอดส์/โรคเอดส์ หรือ Human immunodeficiency virus/HIV/เอชไอวี
อนึ่ง การมีกิจกรรมทางเพศเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้เกิดการติดโรค อย่างไรก็ตาม เชื้อโรคบางประเภทอาจติดเชื้อได้ถึงแม้จะไม่มีกิจกรรมทางเพศก็ตาม เช่น ไวรัสตับอักเสบ ชนิดเอ (ไวรัสตับอักเสบ เอ) และชนิดบี (ไวรัสตับอักเสบ บี) เป็นต้น ที่อาจติดต่อจากการให้เลือด หรือการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
ปัจจัยเสี่ยงของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีอะไรบ้าง?
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือการมีกิจกรรมทางเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ไม่ได้สวมใส่ถุงยางอนามัยชายชนิดลาเท็กซ์ (Latex condom) และการมีเพศ สัมพันธ์ทางช่องคลอด หรือทางทวารหนัก กับผู้ที่เป็นโรคหรือผู้ติดเชื้อ มีข้อมูลการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์เพียงครั้งเดียวกับผู้ชายที่มีเชื้อโกโนเรีย หรือหนองในแท้โดยไม่สวมใส่ถุงยาง จะมีโอกาสติดเชื้อประมาณ 70-80%
การสวมใส่ถุงยางอนามัยชายที่ไม่ถูกวิธี หรือมีการสวมใส่บ้างไม่สวมใส่บ้างนั้น เป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการติดโรค นอกจากนี้ ความเสี่ยงจะเพิ่มสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว -ตามจำนวนของคู่นอน -ตามประวัติการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งเมื่อเคยเป็นโรคชนิดหนึ่ง ก็จะทำให้ติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อีกชนิดหนึ่งได้ง่ายขึ้น เช่น ถ้าคุณเป็นโรคเริม/โรคเริมที่อวัยวะเพศ, กามโรค/โรคซิฟิลิส, หนองในแท้/โรคหนองใน, หรือหนองในเทียม และมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อโรคเอดส์ หรือ เอชไอวี/HIV กรณีนี้คุณมีโอกาสที่จะติดเชื้อเอดส์เพิ่มสูงขึ้น
การติดสุรา และ/หรือยาเสพติด ทำให้ความสามารถในการตัดสินใจแย่ลง อันจะนำพาไป สู่การมีเพศสัม นธ์กับผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศได้
การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่นอาจทำให้เกิดการติดเชื้อเหล่านี้ได้ เช่น ไวรัส HIV หรือไวรัสตับอักเสบ บี และเมื่อติดเชื้อแล้ว ก็สามารถแพร่กระจายเชื้อต่อโดยผ่านการมีเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย
และในผู้หญิงวัยรุ่น ซึ่งเซลล์บริเวณปากมดลูกยังเจริญไม่เต็มที่ จึงมีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ตลอดเวลา เซลล์ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้จะไวต่อการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้โดยง่าย
การติดเชื้อจากแม่ไปสู่ลูกนั้น พบได้ในการติดเชื้อหนองในแท้, หนองในเทียม, เริม และกามโรค โดยมีการติดเชื้อได้ทั้งในขณะตั้งครรภ์และในขณะคลอด ทารกที่ติดเชื้อจะมีปัญหาต่างๆเกิดขึ้นตามมาค่อนข้างมาก (เช่น เจริญเติบโตผิดปกติและพิการ) และอาจเสียชีวิตได้ ดัง นั้นสตรีที่ตั้งครรภ์จึงควรต้องได้รับการตรวจคัดกรอง และรักษาโรคต่างๆดังกล่าวข้างต้นอย่างเหมาะสม
ควรเตรียมตัวก่อนพบแพทย์อย่างไร?
การเตรียมตัวก่อนพบแพทย์ คือ ควรทำการนัดหมายเพื่อพบแพทย์ จดบันทึกอาการต่าง ๆที่เกิดขึ้น ยาที่เคยใช้ และกำลังใช้อยู่ ตลอดจนคำถามที่ต้องการถามแพทย์
คำถามพื้นฐานที่ควรสอบถามแพทย์ ได้แก่
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่คุณเป็น มีชื่อทางการแพทย์ว่าอะไร?
- โรคดังกล่าวมีการติดต่ออย่างไร?
- มีวิธีป้องกันที่จะไม่ให้ติดไปสู่ลูกได้อย่างไร?
- หากมีการตั้งครรภ์ จะมีวิธีป้องกันไม่ให้ทารกในครรภ์ติดเชื้อได้หรือไม่?
- หากรักษาหายแล้วจะกลับมาเป็นอีกได้หรือไม่?
- การมีเพศสัมพันธ์เพียงครั้งเดียวจะทำให้ติดโรคได้หรือไม่?
- หมอคิดว่าฉันติดโรคมานานเท่าไหร่?
- ขณะที่กำลังรักษาจะมีเพศสัมพันธ์ได้หรือไม่?
- คู่นอนจะต้องมาพบแพทย์ด้วยหรือไม่? เป็นต้น
เมื่อพบแพทย์ คุณควรมอบบันทึกอาการหรือบอกเล่าอาการต่างๆที่คุณเป็นให้แพทย์ได้ รับรู้ ตลอดจนประวัติการมีเพศสัมพันธ์ หรือพฤติกรรมทางเพศ
แพทย์อาจสอบถามคุณในสิ่งต่อไปนี้
- คุณคิดว่าคุณติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือไม่? เพราะอะไร?
- คุณมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายหรือผู้หญิงหรือทั้งสองเพศ?
- คุณมีสัมพันธ์ทางเพศกับคนเดียวหรือกับหลายคน?
- คุณมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนคนปัจจุบัน (คนเดียวหรือหลายคนก็ตาม) เป็นระยะเวลานานเท่าไหร่?
- คุณเคยฉีดยาให้ตัวเองหรือไม่?
- คุณเคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ฉีดยาเสพติดหรือไม่?
- คุณรู้จักวิธีป้องกันตนเองจากการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือไม่?
- คุณคุมกำเนิดหรือไม่?
- คุมกำเนิดโดยวิธีไหน?
- คุณเคยเป็นโรคหนองในแท้, หนองในเทียม, โรคเริม/โรคเริมที่อวัยวะเพศ, โรคซิฟิลิส หรือโรคเอดส์/ติดเชื้อเอชไอวีหรือไม่?
- คุณเคยรักษาตกขาวผิดปกติ, แผลที่อวัยวะเพศ, ปัสสาวะแสบขัด หรือโรคติดเชื้อที่อวัยวะเพศหรือไม่?
- คุณมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่? เป็นต้น
มีวิธีการตรวจเพื่อวินิจฉัยโรคอย่างไรบ้าง?
ในกรณีที่ประวัติการมีเพศสัมพันธ์และอาการบ่งชี้ว่าคุณอาจติดเชื้อ การตรวจเพิ่มเติมทางห้องปฏิบัติการจะช่วยยืนยันการวินิจฉัยโรค และตรวจหาโรคติดเชื้ออื่นๆที่อาจพบร่วมได้
การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม อาจทำได้โดยการตรวจ เลือด น้ำลาย และ/หรือสารคัดหลั่ง เช่น จากแผล และจากน้ำปัสสาวะ การตรวจคัดกรองโรคเอดส์ในผู้ที่ไม่มีอาการ ทำได้โดยการตรวจเลือด หรือตรวจน้ำลาย
ในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ทุกราย แพทย์จะทำการตรวจคัดกรองโรคเอดส์, การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี และโรคซิฟิลิส แพทย์จะทำการตรวจคัดกรองโรคหนองในแท้ และการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี เพิ่มเติมเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อดังกล่าว ในผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว หรือมีอายุตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไป ควรเข้ารับการตรวจคัดกรองความผิดปกติของปากมดลูก ที่สำคัญได้แก่ การอักเสบ, การเปลี่ยนแปลงของเซลล์ในระยะก่อนเป็นมะเร็ง และโรคมะเร็งปากมดลูก ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อเรียกว่า HPV/เอชพีวี
ในผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย จะมีความเสี่ยงสูงในการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัม พันธ์ ดังนั้นควรเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคต่างๆ ได้แก่ เอดส์, ซิฟิลิส, หนองในแท้, หนองในเทียม, โรคเริม/โรคเริมอวัยวะเพศ, และการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
การตรวจคัดกรองการติดเชื้อหนองในแท้และหนองในเทียม ควรกระทำในผู้หญิงที่มีเพศ สัมพันธ์แล้ว และควรทำอีกทุกครั้งเมื่อเปลี่ยนคู่นอนคนใหม่
ในผู้ที่ติดเชื้อ HIV/เอชไอวี จะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เพิ่มสูง ขึ้น ดังนั้นควรรับการตรวจคัดกรองโรคซิฟิลิส, หนองในแท้, หนองในเทียม และโรคเริม นอก จากนี้ผู้หญิงที่ติดเชื้อ HIV จะมีโอกาสในการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกที่มีความรุนแรงมาก ดัง นั้นควรตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูก และตรวจหาการติดเชื้อ HPV ปีละ 2 ครั้ง ในผู้ชายที่ติดเชื้อ HIV ควรตรวจคัดกรองการติดเชื้อ HPV ที่ทวารหนักด้วยโดยเฉพาะในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก เพราะการติดเชื้อดังกล่าวอาจทำให้เกิดโรคมะเร็งทวารหนักได้
ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีอะไรบ้าง?
วิธีป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน (ผลข้างเคียง) อันเนื่องมาจากการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือการตรวจคัดกรองเพื่อวินิจฉัยโรคในระยะเริ่มต้น และรีบให้การรักษา ทั้งนี้เพราะผู้ติดเชื้อในระยะแรกหลายรายมักจะไม่มีอาการ หรือไม่มีความผิดปกติ
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้ เช่น อาการปวดหรือมีก้อนบวมที่ใดก็ได้ในร่างกาย มีอา การเจ็บเป็นๆหายๆที่อวัยวะเพศ มีผื่นแดงที่ผิวหนังทั่วร่างกาย มีอาการเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ มีอาการเจ็บ บวม แดงที่ลูกอัณฑะ ปวดอุ้งเชิงกราน (ท้องน้อย) เรื้อรัง มีฝีหนองที่ขาหนีบ ดวง ตาอักเสบ ข้ออักเสบ อุ้งเชิงกรานอักเสบ (การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน) มีบุตรยาก และโรคมะเร็งที่อวัยวะอื่นๆ เช่น โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในผู้ติดเชื้อ HIV โรคมะเร็งปากมดลูก โรคมะเร็งที่ลำ ไส้ตรง/โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือโรคมะเร็งทวารหนักในผู้ที่ติดเชื้อ HPV การติดเชื้อต่างๆในผู้ที่เป็นโรคเอดส์ ตลอดจนการติดเชื้อของทารกในครรภ์ในหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรค อันจะก่อให้เกิดอันตราย และความผิดปกติ/ความพิการแต่กำเนิดของทารกได้
มีวิธีรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างไร?
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย สามารถรักษาได้ไม่ยาก ส่วนโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส สามารถรักษาและควบคุมโรคได้ แต่มักจะไม่หายขาด หากตรวจพบว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ขณะตั้งครรภ์ การรักษาที่เหมาะสมจะสามารถลดความเสี่ยงของการติดเชื้อไปสู่ทารกในครรภ์ได้
การรักษาประกอบด้วยสิ่งต่างๆต่อไปนี้ ได้แก่
1) การให้ยาปฏิชีวนะเพื่อทำลายเชื้อแบคทีเรียและเชื้อพยาธิ เช่น หนองในแท้ หนองในเทียม ซิฟิลิส และทริโคโมแนส หรือการให้ยาต้านไวรัส ในกรณีที่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัม พันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส เช่น โรคเริม/โรคเริมที่อวัยวะเพศ โรคเอดส์ เป็นต้น แล้วแต่กรณี การให้ยาต้านไวรัสทำให้สามารถควบคุมการติดเชื้อ HIV/เอชไอวี ได้หลายปี ถึงแม้ว่าเชื้อไวรัส HIV จะยังคงอยู่ในร่างกาย และสามารถถ่ายทอดสู่ผู้อื่นได้ก็ตาม หากคุณสัมผัสกับผู้ที่ติดเชื้อ HIV และเริ่มรับประทานยาภายใน 28 วันภายหลังจากสัมผัสผู้ติดเชื้อ คุณอาจหลีกเลี่ยงการติดโรคได้
2) งดมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะรักษาโรคหายแล้ว
3) การตรวจติดตามภายหลังการรักษา เพื่อความมั่นใจว่าหายจากโรคแล้วหรือไม่ หากไม่สามารถใช้ยาตามที่แพทย์สั่งได้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนวิธีการรักษา
4) การป้องกันการติดเชื้อไปยังคู่นอน หากพบว่าคุณเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คุณควรบอกให้คู่นอนของคุณคนปัจจุบัน และคู่นอนในอดีตภายในช่วงเวลา 3-12 เดือนทราบ เพื่อเข้ารับการตรวจรักษาที่เหมาะสมต่อไป การกระทำดังกล่าวจะช่วยลดการแพร่กระจายของโรค ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ โดยเฉพาะโรคซิฟิลิสและโรคเอดส์ จากการที่โรคต่างๆที่กล่าวมาติด ต่อผ่านการสัมผัสทางเพศ ดังนั้นหากคู่นอนของคุณติดโรคจากคุณ และไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ถึงแม้ว่าคุณจะรักษาหายแล้วก็ตาม คุณก็มีโอกาสที่จะติดเชื้ออีกครั้งจากคู่นอนของคุณได้
วิธีป้องกันการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีอะไรบ้าง?
ทั่วไป วิธีป้องกันการเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ได้แก่
- การไม่มีเพศสัมพันธ์เป็นวิธีดีที่สุดในการป้องกันการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (แต่เป็นเรื่องเป็นไปได้ยาก)
- วิธีอื่นๆ เช่น
- การไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย
- ไม่มีคู่นอนหลายคน
- และการอยู่กับคู่นอนที่ไม่เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างถาวร จะช่วยลดโอกาสการเป็นโรคได้
- การฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV (วัคซีนป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก) และ วัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะเวลาที่เหมาะสมก่อนที่จะเริ่มมีเพศสัมพันธ์จะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อไวรัสเหล่านี้ได้ การฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ในประเทศไทย มักจะเริ่มตั้งแต่ขณะที่อยู่ในวัยเด็ก ส่วนการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV มักจะแนะนำให้ผู้หญิงฉีดในช่วงอายุ 9-26 ปี
- กรณีที่จะมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนคนใหม่ คุณและคู่คนใหม่ควรเข้ารับการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์
- ควรใช้ถุงยางอนามัยชายอย่างสม่ำเสมอเพื่อลดโอกาสติดโรค
- อย่างไรก็ดีหากใช้สารหล่อลื่นที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เพื่อหล่อลื่นถุงยางอนามัยชนิดลาเทกซ์ การกระทำดังกล่าวจะลดประสิทธิภาพในการป้องกันการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพราะจะทำให้เนื้อยางชำรุด การยืดหยุ่นของยางลดลง ถุงยางจึงแตกได้ง่าย และยังลื่นหลุดได้ง่ายอีกด้วย
- ควรหลีกเลี่ยงการดื่มสุรามากเกินไป และการใช้สารเสพติด ทั้งนี้เพราะการกระทำดัง กล่าว จะทำให้คุณขาดความสามารถในการควบคุมตนเอง และนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ที่เสี่ยงต่อการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่เคยรู้จัก หรือการมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่รู้จักทางอินเทอร์เนต ในบาร์ หรือสถานที่เที่ยวต่างๆ เป็นการเพิ่มความเสี่ยงอย่างมากในการติดโรค ติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- ก่อนที่จะมีสัมพันธ์ทางเพศ ควรพูดคุยและตกลงกับคู่ของคุณในเรื่องของการมีเพศสัม พันธ์ที่ปลอดภัยว่า กิจกรรมใดที่ควรทำและไม่ควรทำ
- ในผู้ที่มีบุตร ควรปลูกฝังให้มีพฤติกรรมทางเพศที่เหมาะสมในวัยอันควร ทั้งนี้เพราะการมีเพศสัมพันธ์ขณะอายุยังน้อยจะเพิ่มความเสี่ยงในการติดโรคต่างๆได้ง่าย
- การมีเพศสัมพันธ์กับคู่เพียงคนเดียวจะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อได้
- การขลิบอวัยวะเพศชายจะช่วยลดความเสี่ยงในการที่ผู้ชายจะติดเชื้อ HIV จากผู้หญิงที่เป็นโรคได้ถึง 50-60% นอกจากนี้การขลิบยังช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ HPV และเริมได้อีกด้วย
อนึ่ง:
- วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกที่มีในปัจจุบันจะป้องกันมะเร็งปากมดลูกเฉพาะที่เกิดกับเชื้อเอชพีวีสายพันธุ์ย่อย 16 และ 18 (ป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ประมาณ 70%) ไม่สามารถป้องกันมะเร็งปากมดลูกที่เกิดจากสายพันธุ์ย่อยอื่นๆได้ แต่มีรายงานจากสถาบันจุฬาภรณ์ (พ.ศ. 2556) ว่า สาเหตุส่วนใหญ่ของมะเร็งปากมดลูกของหญิงไทย เป็นสายพันธุ์ย่อย 52 และรองลงมาคือ 16 ดังนั้น การฉีดวัคซีนนี้จึงน่าจะมีประโยชน์น้อยในหญิงไทย
- ปัจจุบันมีวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีได้หลายชนิดย่อยเพิ่มขึ้น คือ
- วัคซีนชื่อการค้า ‘Gardasil’ ป้องกันติดเชื้อเอชพีวีสายพันธ์ย่อย 4ชนิด ได้แก่ สายพันธ์ย่อย 6, 11, 16, 18
- วัคซีนชื่อการค้าว่า ‘Gardasil 9’ ป้องกันติดเชื้อเอชพีวีสายพันธ์ย่อยได้ 9ชนิด ได้แก่สายพันธ์ย่อย 6, 11, 16, 18, 31, 33, 45, 52, และ58
จะปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์?
เมื่อสงสัยว่าตนเองอาจติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- ควรรีบปรึกษาแพทย์
- ควรงดการมีเพศสัมพันธ์เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อไปยังบุคคลอื่น จนกว่าผลการตรวจจะยืนยันว่าคุณไม่ได้เป็นโรค หรือหากเป็นโรคก็ควรงดการมีเพศสัมพันธ์ จนกว่าคุณจะรักษาโรคจนหายดีแล้ว
ทั้งนี้ การเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ก่อให้เกิดผลทางจิตใจค่อนข้างมาก คุณอาจรู้สึกโกรธเหมือนว่าถูกหักหลังจากคนที่คุณรัก ละอายใจเมื่อรู้ว่าโรคที่เป็นอาจติดไปสู่คู่นอนของคุณได้ และที่แย่ที่สุดคือ โรคบางอย่างอาจทำให้คุณเจ็บป่วยตลอดชีวิต และถึงแก่ชีวิตได้ อีกทั้งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจในเรื่องชีวิตครอบครัว การมีบุตร ตลอดจนทัศนคติต่อการมีเพศสัม พันธ์
อย่างไรก็ดี ไม่ควรโทษใคร การได้รับเชื้ออาจไม่ได้เกิดขึ้นจากคู่นอนคนปัจจุบัน แต่อาจเกิดจากคู่นอนคนเดิมที่ผ่านมาของคุณ หรือของคู่นอนคนปัจจุบัน หรือทั้งคู่
*สิ่งที่ดีที่สุดคือ การเรียนรู้ที่จะป้องกันการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ตั้งแต่วันนี้ดังได้กล่าวแล้ว
บรรณานุกรม
- Klausner JD. Screening guidelines for sexually transmitted diseases, including HIV. In: Klausner JD, et al. Current Diagnosis and Treatment of Sexually Transmitted Diseases. New York, N.Y.: The McGraw Hill Companies; 2007.
- Swygard H, et al. Gonorrhea. In: Klausner JD, et al. Current Diagnosis and Treatment of Sexually Transmitted Diseases. New York, N.Y.: The McGraw Hill Companies; 2007.
- Ward H. Prevention strategies for sexually transmitted infections: Importance of sexual network and epidemic phase. Sexually Transmitted Infections. 2007;83:i43.
- Reitmeijer CA. Principles of risk reduction counseling. In: Klausner JD, et al. Current Diagnosis and Treatment of Sexually Transmitted Diseases. New York, N.Y.: The McGraw Hill Companies; 2007.
- https://www.uptodate.com/contents/screening-for-sexually-transmitted-infections [2019,July27]
- https://www.who.int/reproductivehealth/publications/en/ [2019,July27]
- https://www.cdc.gov/std/default.htm [2019,July27]
- https://www.cdc.gov/mmwr/preview/mmwrhtml/rr5402a1.htm [2019,July27]
- https://www.cdc.gov/mmwr/preview/mmwrhtml/rr5514a1.htm?s_cid=rr5514a1_e [2019,July27]
- http://medinfo2.psu.ac.th/cancer/db/news_showpic.php?newsID=861&tyep_ID=2 [2019,July27]
- https://www.cancer.gov/about-cancer/causes-prevention/risk/infectious-agents/hpv-vaccine-fact-sheet [2019,July27]