ปากมดลูกอักเสบ (Cervicitis)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

ปากมดลูกอักเสบคืออะไร? พบบบ่อยไหม?

ปากมดลูกอักเสบ (Cervicitis) คือ ภาวะ/โรคที่มีการอักเสบบริเวณปากมดลูก มีอาการบวม แดง ทำให้มีตกขาวผิดปกติ หรือมีเลือดออกง่ายเมื่อสัมผัส สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์)

ปากมดลูกอักเสบเป็นภาวะที่พบได้บ่อยมากในสตรีวัยเจริญพันธุ์ที่มีเพศสัมพันธ์ มีการประมาณการว่า สตรีมากถึง 60% ที่มีเพศสัมพันธ์มีโอกาสเป็นปากมดลูกอักเสบ

การอักเสบของปากมดลูกแบ่งเป็น

ก. ปากมดลูกอักเสบแบบเฉียบพลัน (Acute cervicitis): คือมีการอักเสบที่ปากมดลูกที่เพิ่งเกิดขึ้น มีอาการชัดเจน เช่น ตกขาวมากผิดปกติ สีตกขาวเปลี่ยนไปจากปกติ (เช่น เขียว เหลือง) หากให้การรักษาทันท่วงที อาการต่างๆก็ดีขึ้นอย่างชัดเจนรวดเร็ว

ข. ปากมดลูกอักเสบเรื้อรัง (Chronic cervicitis): หมายถึง การที่อักเสบของปากมดลูกที่เป็นๆหายๆเป็นมานาน ไม่สามารถบอกเวลาที่เกิดได้ชัดเจน อาการต่างๆมักไม่ชัดเจนเหมือนกลุ่มที่อักเสบแบบเฉียบพลัน แต่สามารถพบตกขาวมากผิดปกติได้ หรือตรวจพบว่ามีการอักเสบเฉียบพลันซ้ำซ้อนอยู่เรื่อยๆ จากการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกประจำปี

อนึ่ง เมื่อกล่าวถึงปากมดลูกอักเสบ มักครอบคลุมทั้งการอักเสบเฉียบพลันและการอักเสบเรื้อรัง

สาเหตุของปากมดลูกอักเสบคืออะไร?

ปากมดลูกอักเสบ

สาเหตุของปากมดลูกอักเสบแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มคือ

ก. ปากมดลูกอักเสบที่เกิดจากการติดเชื้อ: ซึ่งส่วนมากเป็นการติดเชื้อทางเพศ สัมพันธ์ (โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์) กลุ่มนี้เป็นสาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้ปากมดลูกอักเสบ เชื้อที่พบก่อโรคบ่อยได้แก่

  • Chlamydia infection: โรคหนองในเทียม
  • Gonococcal infection: โรคหนองใน
  • Herpes simplex inflection: เริมที่อวัยวะเพศ
  • Trichomonas infection: การติดเชื้อทริโคโมแนส/ พยาธิในช่องคลอด

ข. ปากมดลูกอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ: เป็นสาเหตุส่วนน้อยของการอักเสบของปากมดลูก เช่น

  • อักเสบจากการระคายเคืองจากการใส่ห่วงอนามัย
  • การถูกฉายรังสีรักษาในโรคมะเร็งอวัยวะในอุ้งเชิงกราน เช่น
    • มะเร็งลำไส้ใหญ่
    • มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
    • มะเร็งปากมดลูก

อนึ่ง สำหรับสาเหตุของ ‘ปากมดลูกอักเสบเรื้อรัง’ ก็เหมือนกับสาเหตุที่ทำให้เกิดปากมดลูกอักเสบแบบเฉียบพลัน โดยส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์แล้วไม่ได้รับการรักษาที่ทันท่วงที ทำให้มีความผิดปกติ/การอักเสบของปากมดลูกมาเรื่อยๆเรื้อรังหรือเป็นๆหายๆ ส่วนสาเหตุอื่นที่ทำให้ปากมดลูกอักเสบเรื้อรังคือ

    • การสวนล้างช่องคลอดบ่อยๆ และ
    • การระคายเคืองจากการใส่ห่วงอนามัย

อาการของปากมดลูกอักเสบมีอะไรบ้าง?

ส่วนใหญ่ปากมดลูกอักเสบมักไม่มีอาการ มักตรวจพบโดยบังเอิญเช่น จากตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก

แต่เมื่อมีอาการ อาการของปากมดลูกอักเสบที่พบได้บ่อยได้แก่

  • มีตกขาว มีสีที่ผิดไปจากปกติเช่น เป็นสีเหลือง สีเขียวอ่อน สีเทา
  • บ่อยครั้งมีกลิ่นเหม็นร่วมด้วย
  • มีตกขาวปนเลือด
  • มีเลือดออกทางช่องคลอดหลังมีเพศสัมพันธ์

เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?

สตรีที่มีเพศสัมพันธ์แล้วควรพบแพทย์เพื่อทำการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก (วิธีการตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง)ทุกปีแม้จะไม่มีอาการผิดปกติใดๆก็ตาม ซึ่งจากการตรวจภายใน หากแพทย์พบมีความผิดปกติ แพทย์ก็จะแจ้งแก่ผู้ป่วยเพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องต่อไป

สำหรับสตรีที่มีอาการตกขาวผิดปกติ ตกขาวเป็นหนอง มีสีของตกขาวเปลี่ยนไป มีกลิ่นของตกขาวผิดปกติ มีอาการคันช่องคลอดผิดปกติ มีตกขาวปนเลือด มีเลือดออกหลังมีเพศสัม พันธ์ เหล่านี้ ก็ควรรีบไปพบแพทย์/สูตินรีแพทย์เพื่อทำการตรวจภายในหาสาเหตุที่แท้จริง

ใครเสี่ยงต่อภาวะปากมดลูกอักเสบ?

ผู้มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะปากมดลูกอักเสบได้แก่

  • สตรีที่มีเพศสัมพันธ์
  • สตรีที่มีคู่นอนหลายคน
  • สตรีที่มีเพศสัมพันธ์กับชายที่มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ส่วนสตรีผู้ที่เสี่ยงต่อปากมดลูกอักเสบเรื้อรังได้แก่

  • สตรีที่ใส่ห่วงอนามัย เพราะสายของห่วงอนามัยจะทำให้เกิดการระคายเคืองที่ปากมดลูกได้
  • สตรีที่สวนล้างช่องคลอดบ่อยๆ
  • สตรีที่สามีใช้อุปกรณ์เสริมต่างๆในขณะมีเพศสัมพันธ์ สามารถทำให้เกิดการระคายเคืองและเกิดแผลที่บริเวณปากมดลูกได้
  • สตรีที่ได้รับการฉายรังสีรักษาบริเวณอุ้งเชิงกราน หรือฝังแร่ในช่องคลอด

แพทย์วินิจฉัยภาวะปากมดลูกอักเสบอย่างไร?

แพทย์วินิจฉัยภาวะปากมดลูกอักเสบได้จาก

ก. ประวัติทางการแพทย์ต่างๆ: ผู้ป่วยมีประวัติตกขาวที่ผิดปกติ อาจเป็นสีเขียว สีเหลือง มีกลิ่นเหม็น ในกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อน (ผลข้างเคียง)มาก อาจมีอาการไข้ ปวดท้องน้อย ร่วมด้วย

ทั้งนี้ประวัติฯที่ช่วยส่งเสริมให้คิดถึงภาวะนี้มากขึ้นคือ

  • ประวัติการมีเพศสัมพันธ์มาก่อนหน้าที่จะมีอาการผิดปกติไม่นาน
  • มีเพศสัมพันธ์ขณะมีประจำเดือน
  • มีคู่นอนหลายคน
  • คู่นอนมีประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคหนองใน
  • มีหนองไหลทางท่อปัสสาวะ

ข.การตรวจร่างกาย: ได้แก่ การตรวจร่างกายทั่วไป ซึ่งกรณีมีภาวะนี้ที่รุนแรงจะมี ไข้ ปวดท้อง /ปวดท้องน้อย, แต่ในกรณีไม่รุนแรงมักไม่มีไข้ ไม่ปวดท้อง

ค. การตรวจภายใน: พบตกขาวมากผิดปกติ สีตกขาวผิดปกติ มีกลิ่นเหม็น ปากมดลูกบวมแดง อาจมีจุดเลือดออกเล็กๆที่ปากมดลูก บางครั้งมีอาการเจ็บที่มดลูกและอาจที่ปีกมดลูกร่วมด้วย

ง. การตรวจทางห้องปฎิบัติการ: ในกรณีที่มีตกขาวผิดปกติ แพทย์จะนำตกขาวไปตรวจเชื้อ เพื่อหาเชื้อก่อโรค โดยทั่วไปจะมีการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก(วิธีการตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง) ไปด้วย

นอกจากนี้ เนื่องจากการอักเสบของปากมดลูกส่วนใหญ่เกิดจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งอาจไม่ได้มีเฉพาะการอักเสบที่ปากมดลูกเท่านั้น อาจมีการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อย่างอื่นร่วมด้วย แพทย์จึงอาจแนะนำให้มีการตรวจเลือดเพื่อดูว่ามีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆร่วมด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะกรณีมีภาวะแทรกซ้อน/ผลข้างเคียงของปากมดลูกอักเสบ

รักษาปากมดลูกอักเสบอย่างไร?

แนวทางการรักษาปากมดลูกอักเสบได้แก่

ก. การรักษาปากมดลูกอักเสบติดเชื้อ: จะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค แต่ส่วนมากอาการไม่รุนแรง

  • ในกรณีที่อาการไม่รุนแรง: แนวทางการรักษาคือ
    • แพทย์จะให้รับประทานยาแก้อักเสบ/ยาฆ่าเชื้อ ตามสาเหตุของเชื้อก่อโรค
    • ในกรณีที่แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นการติดเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แพทย์จะให้การรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์นั้นๆกับสามีด้วย เพื่อการรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์นั้นๆให้หายขาด
  • ในกรณีที่อาการรุนแรง: คือมีภาวะแทรกซ้อน/ผลข้างเคียงที่ทำให้มีการอักเสบเข้าไปในอุ้งเชิงกราน (การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน) แพทย์ต้องให้นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล จากที่จำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำ

อนึ่ง เนื่องจากการอักเสบของปากมดลูกชนิดเรื้อรัง สาเหตุส่วนใหญ่ก็เกิดจาการติดเชื้อ แพทย์มักต้องให้ยาปฏิชีวนะไปรับประทานสักระยะจนครบตามกำหนดเวลาที่ควรจะเป็น หากรักษาไปหลายรอบแล้ว อาการยังไม่ดีขึ้น

  • แพทย์จะมีการตรวจอื่นๆเพื่อการสืบค้นให้แน่ชัดว่า ไม่ใช่เป็นมะเร็งปากมดลูก หลังจากนั้นอาจมีวิธีการรักษาต่อไปคือ การจี้เย็น (Cryotherapy) ที่ปากมดลูกเพื่อทำลายเซลล์ที่อักเสบผิดปกติที่ปากมดลูก หรือทำการรักษาโดยใช้แสงเลเซอร์ยิงทำลายเซลล์อักเสบผิดปกติที่ปากมดลูก เป็นต้น
  • หากการอักเสบเรื้อรังเกิดจากการใส่ห่วงอนามัย แพทย์มักให้ยาแก้อักเสบ/ยาปฏิชีวนะไปรับประทานก่อน หากอาการไม่ดีขึ้น จึงพิจารณาเอาห่วงอนามัยออก ยกเว้นหากมีการติดเชื้อแบคทีเรีย ชนิด Actinomycosis (มักวินิจฉัยได้จากการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก) ต้องเอาห่วงอนามัยออกเลย และไม่จำเป็นต้องให้ยาปฎิชีวนะ

ปากมดลูกอักเสบก่อผลข้างเคียงอย่างไร?

ปากมดลูกอักเสบก่อผลข้างเคียง/ภาวะแทรกซ้อนได้ดังนี้เช่น

  • เชื้อโรคจากปากมดลูกลุกลามเข้าในโพรงมดลูก ปีกมดลูก หรือในช่องท้องน้อย/อุ้งเชิงกราน ทำให้เกิด
    • การอักเสบในโพรงมดลูก (เยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ)
    • ในปีกมดลูก (ปีกมดลูกอักเสบ)
    • ในช่องเชิงกราน (การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน)
  • ปวดท้องน้อยเรื้อรังจากการที่มีอักเสบและเกิดพังผืดในช่องเชิงกราน
  • มีบุตรยาก
  • มีโอกาสเกิดท้องนอกมดลูกมากกว่าคนที่ไม่มีการอักเสบที่ปากมดลูก โดยเฉพาะเมื่อลามเป็นการอักเสบติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน

ดูแลตนเองอย่างไร?

การดูแลตนเองเมื่อมีปากมดลูกอักเสบได้แก่

  • รับประทานยาตามแพทย์สั่งจนครบ ไม่ขาดยา ไม่หยุดยาเอง
  • รักษาความสะอาดบริเวณอวัยวะลืบพันธุ์ตามคำแนะนำของ แพทย์ พยาบาล
  • ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเช่น การรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ)
  • งดดื่มสุรา
  • งดการมีเพศสัมพันธ์ขณะมีตกขาวผิดปกติ หรือต้องสวมถุงยางอนามัยชายหากต้องมีเพศสัมพันธ์
  • หากมีอาการ ไข้ หนาวสั่น ปวดท้องน้อย ตกขาวมากขึ้น ต้องรีบไปพบแพทย์/ไปโรงพยา บาลก่อนวันนัด

ปากมดลูกอักเสบมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?

ปากมดลูกอักเสบมีการพยากรณ์โรคดังนี้

ก. ปากมดลูกอักเสบเฉียบพลัน: มีพยากรณ์โรคที่ดี โรคหายได้หากได้รับการรักษาถูกต้องรวดเร็ว และรับประทานยาครบตามคำแนะนำของแพทย์

ข. ปากมดลูกอักเสบเรื้อรัง: มีการพยากรณ์โรคไม่ดีเท่าปากมดลูกอักเสบเฉียบพลัน เนื่องจากอาการไม่ชัดเจน ผู้ป่วยมักไม่ค่อยมาพบแพทย์ และมีโอกาสกลายเป็นมะเร็งปากมดลูกได้แต่พบได้น้อยมาก

อนึ่ง ปากมดลูกอักเสบที่ภายหลังรักษาได้หายแล้ว สามารถกลับมีการอักเสบซ้ำได้เสมอ ถ้ายังมีปัจจัยเสี่ยงที่กล่าวแล้วในหัวข้อ “ปัจจัยเสี่ยงฯ”

ป้องกันปากมดลูกอักเสบได้อย่างไร?

ป้องกันปากมดลูกอักเสบได้โดย

  • มีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนคนเดียว
  • สวมถุงยางอนามัยชายขณะมีเพศสัมพันธ์
  • ไม่สวนล้างช่องคลอด

หากมีปากมดลูกอักเสบเมื่อไหร่จึงตั้งครรภ์ได้?

หากกำลังมีการอักเสบของปากมดลูกอยู่ ควรได้รับการรักษาให้หายดีเสียก่อน ควรใช้ถุง ยางอนามัยชายร่วมด้วยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ หรืองดการมีเพศสัมพันธ์สักระยะ

เมื่อได้รับการรักษาปากมดลูกอักเสบจนหายเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถหยุดคุมกำเนิด และตั้งครรภ์ได้ แต่ควรปรึกษาสูตินรีแพทย์ก่อนเพื่อวางแผนการตั้งครรภ์เสมอ

บรรณานุกรม

  1. https://emedicine.medscape.com/article/253402-overview [2021,April17]
  2. https://www.emedicinehealth.com/cervicitis/article_em.htm [2021,April17]