เกาต์เทียม (Pseudogout)
- โดย แพทย์หญิง สลิล ศิริอุดมภาส
- 4 มีนาคม 2566
- Tweet
สารบัญ
- บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
- โรคเกาต์เทียมมีพยาธิสภาพอย่างไร?
- อะไรเป็นสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคเกาต์เทียม?
- โรคเกาต์เทียมมีอาการอย่างไร?
- แพทย์วินิจฉัยโรคเกาต์เทียมอย่างไร?
- รักษาโรคเกาต์เทียมอย่างไร?
- โรคเกาต์เทียมรุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงจากโรคอย่างไร?
- ควรดูแลตนเองอย่างไรเมื่อเป็นโรคเกาต์เทียม?
- ควรพบแพทย์เมื่อไหร่?
- ป้องกันโรคเกาต์เทียมอย่างไร?
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- เกาต์ (Gout)
- ข้อเสื่อม เข่าเสื่อม (Osteoarthritis)
- โรคข้อรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis)
- ข้ออักเสบ (Arthritis)
- ข้ออักเสบติดเชื้อ ข้อติดเชื้อ (Septic arthritis)
- โคลชิซิน (Colchicine)
- อินโดเมธาซิน (Indomethacin)
- เซเลโคซิบ (Celecoxib)
บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
เกาต์เทียม (Pseudogout) คือ โรคจากมีการสะสมผลึกสารเคมีชื่อ ‘Calcium pyrophosphate’ ในข้อต่อต่างๆ, โดยยังไม่ทราบสาเหตุเกิดโรคที่ชัดเจน, โรคนี้มีอาการคล้ายโรคเกาต์ (แต่โรคเกาต์เกิดจากการสะสมผลึกของกรดยูริค/Uric acid crystal) จึงได้ชื่อว่า โรคเกาต์เทียม
ชื่อทางการของโรคนี้ คือ Calcium pyrophosphate dihydrate crystal deposition disease มักย่อว่า โรคซีพีพีดี/CPPD, และมีชื่ออื่น คือ Calcium pyrophosphate deposition disease, Pyrophosphate arthropathy,
ผู้เป็นโรคนี้ มีทั้งผู้ที่ไม่มีอาการ หรือ ที่มีอาการของข้ออักเสบเฉียบพลันเหมือนกับโรคเกาต์ชนิดเฉียบพลัน หรือมีอาการปวดข้อแบบเรื้อรังก็ได้, และยังไม่มียารักษาให้หาย แต่มียาสำหรับบรรเทาอาการต่างๆที่เกิดขึ้น
เกาต์เทียมเป็นโรคของผู้ใหญ่ มีรายงานจากยุโรปและสหรัฐอเมริกาพบในผู้ใหญ่ 4% - 7%, พบบ่อยในผู้สูงอายุ, เพศหญิงพบบ่อยกว่าเพศชายเล็กน้อยประมาณ 1.4 เท่า
โรคเกาต์เทียมมีพยาธิสภาพอย่างไร?
ในผู้ป่วยโรคเกาต์เทียม พบว่า ตามข้อต่างๆมีสารที่ให้พลังงานชื่อ Adenosine triphosphate (ATP) มากกว่าปกติ ซึ่งเกิดจากเอนไซม์ชื่อ Nucleoside triphosphate pyrophospho hydrolase ที่ทำหน้าที่ย่อยสลายสาร ATP มากขึ้นกว่าปกติ ทำให้เกิดเกลือแร่ที่ทำให้เกิดโรคนี้ที่ชื่อ Inorganic pyrophosphate มากขึ้น และเกลือแร่ที่มีปริมาณมากชนิดนี้จะไปจับตัวกับเกลือแร่ แคลเซียม (Calcium) และรวมตัวกันจนมีขนาดใหญ่กลายเป็นผลึกชื่อ Calcium pyrophosphate ผลึกชนิดนี้จะเกาะอยู่ตามกระดูกอ่อนของข้อต่างๆ และหากผลึกหลุดเข้ามาอยู่ในช่องว่างระหว่างข้อ เม็ดเลือดขาวชนิดต่างๆในร่างกาย ก็จะเข้ามาเพื่อพยายามกำจัดผลึกที่อยู่ในช่องระหว่างข้อเหล่านี้ และเม็ดเลือดขาวเหล่านี้จะหลั่งสารเคมีที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ และทำให้มีการอักเสบของข้อเกิดขึ้น ซึ่งก็คือ “โรคข้ออักเสบเกาต์เทียม หรือ โรคเกาต์เที่ยม” นั่นเอง
อะไรเป็นสาเหตุ และปัจจัยเสี่ยงของโรคเกาต์เทียม?
ปัจจุบัน ยังไม่ทราบสาเหตุเกิดโรคเกาต์เทียมที่ชัดเจน สันนิษฐานว่า เมื่ออายุมากขึ้น ทำให้กระบวนการทางเคมีในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงไป จนก่อให้เกิดลักษณะดังกล่าวในหัว ข้อ พยาธิสภาพของโรค
การเป็นโรคบางอย่างก็ทำให้มีโอกาสเกิด/ปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกาต์เทียมมากขึ้น เนื่องจากทำให้สมดุลของระบบเกลือแร่ในร่างกาย โดยเฉพาะแคลเซียม และฟอสฟอรัส (Phosphorus) ผิดปกติ รวมทั้งมีกระบวนการทางเคมีของเกลือแร่ต่างๆเหล่านี้ที่ผิดปกติไป เช่น
- โรคที่มีฮอร์โมนจากต่อมพาราไทรอยด์ (ต่อมเล็กๆอยู่ใต้ต่อมไทรอยด์ที่ควบคุมการทำงานของแคลเซียมในร่างกาย) สูงผิดปกติ
- โรคที่มีการสะสมธาตุเหล็กในร่างกายมากผิดปกติ (Hemochromatosis)
- โรคที่มีฟอสฟอรัสในเลือดต่ำกว่าปกติ
- โรคที่มีแมกนีเซียมในเลือดต่ำกว่าปกติ (Hypomagnesemia)
- โรคอื่นๆที่พบว่าอาจทำให้มีโอกาสเป็นเกาต์เทียมได้มากขึ้น เช่น
- โรคเกาต์
- โรคข้อเสื่อม
- ภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ/ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน
นอกจากนี้พบว่า มีผู้ป่วยส่วนน้อยที่เป็นโรคนี้ มีความผิดปกติทางพันธุกรรมบนโครโมโซมแท่งที่ 5 หรือ 8 ซึ่งมีรหัสพันธุกรรมที่เกี่ยวกับการควบคุมการทำงานของสารเคมีชื่อ Pyrophosphate ที่ทำให้เกิดโรคนี้ และความผิดปกตินี้อาจถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้
โรคเกาต์เทียมมีอาการอย่างไร?
ผู้ป่วยโรคเกาต์เทียมมีอาการได้หลายรูปแบบ เช่น
- ไม่มีอาการ: คือ ผู้ป่วยจะไม่มีอาการใดปรากฏ แต่หากนำผู้ป่วยไปเอกซเรย์จะพบหินปูนเกาะบริเวณกระดูกอ่อนที่อยู่รอบข้อต่างๆ (ซึ่งก็คือผลึก Calcium pyrophosphate นั่นเอง)ที่เรียกว่า Chondrocalcinosis โดยข้อที่พบบ่อย ได้แก่ ข้อเข่า ข้อมือ ข้อต่อกระดูกบริเวณหัวหน่าว และข้อสะโพก
- อาการข้ออักเสบเฉียบพลัน: ผู้ป่วยกลุ่มนี้พบได้ประมาณ 25% อาการจะคล้ายผู้ป่วยที่เป็นโรคเกาต์จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกโรคนี้ว่า ‘เกาต์เทียม’ โดยทั่วไป อาการ เช่น
- มีอาการปวดและบวมเฉียบพลันเกิดขึ้นที่ข้อ
- ผิวหนังรอบๆข้อมีสีแดง จับแล้วจะรู้สึกร้อน
- ส่วนใหญ่จะเป็นแค่ข้อเดียว หรือ 2-3 ข้อ
- มักเกิดที่ข้อเข่าและข้อมือ, ข้ออื่นๆที่พบได้ เช่น ข้อเท้า ข้อระหว่างข้อเท้าและนิ้วเท้า ข้อนิ้วมือ ข้อศอก ข้อไหล่ ข้อสะโพก
- ถ้าไม่ได้ยารักษา: อาการจะเป็นอยู่นานประมาณ 5-12 วัน หรืออาจนานหลายสัปดาห์ได้
- แต่ถ้าได้ยารักษา: ส่วนใหญ่อาการจะดีขึ้นภายใน 24 ชั่วโมง
- เมื่อเกิดอาการขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้ว จะมีโอกาสเกิดอาการซ้ำขึ้นได้อีก โดยความถี่ของการเกิดจะไม่แน่นอน อาจเกิดขึ้นทุกๆ 2-3 สัปดาห์ หรืออาจเกิดขึ้นเพียงปีละครั้ง
- โดยการเกิดในครั้งหลังๆ อาการจะรุนแรงขึ้น และระยะเวลาที่เกิดอาการจะยาวนานขึ้น
- และเมื่อเป็นหลายๆครั้งกระดูกอ่อนและกระดูกของข้อนั้นๆ ก็จะค่อยๆถูกทำลายและทำให้เกิดข้อผิดรูปตามมาได้
- อาการข้ออักเสบเรื้อรังคล้ายโรคข้อเสื่อมอักเสบ: เป็นกลุ่มที่พบมากที่สุด คือประมาณ 50% โดยจะมีอาการ
- ปวดข้อเป็นๆหายๆ หรือปวดแบบเรื้อรังต่อเนื่อง
- ปวดมากขึ้นเมื่อใช้งานข้อนั้นๆ, แต่จะดีขึ้นเมื่อพักใช้งาน
- ในรายที่โรคเป็นมานานแล้ว อาจมีอาการปวดตลอดเวลา มีอาการข้อฝืด ข้อยึด โดยจะเป็นหลังจากหยุดการใช้ข้อเป็นเวลานานๆ เช่น หลังตื่นนอนเช้าแต่เมื่อได้ขยับเคลื่อนไหวสักระยะหนึ่งก็จะขยับได้เป็นปกติ
- มีอาการข้อบวมเป็นๆ หายๆ และเมื่อเป็นนานๆ ข้อจะผิดรูปได้ซึ่งทำให้การเคลื่อนไหวข้อทำได้ลดน้อยลง
- ข้อที่พบเกิดอาการบ่อย คือ ข้อระหว่างข้อมือและนิ้วมือ ข้อมือ ข้อศอก และข้อไหล่
- อาการข้ออักเสบคล้ายโรคข้อรูมาตอยด์: ผู้ป่วยกลุ่มนี้พบประมาณ 5% อาการคือปวดที่ข้อระหว่างกระดูกนิ้วมือ หรือ ข้อที่อยู่ระหว่างข้อมือและนิ้วมือ โดยจะเป็นเหมือนกันทั้งข้างซ้ายและข้างขวา, อาการปวดเป็นแบบเรื้อรัง, มีอาการบวมของข้อ, และมีข้อแข็ง, ข้อยึดหลังตื่นนอนในตอนเช้าโดยจะเป็นอยู่นานเป็นชั่วโมง
- อาการข้ออักเสบคล้ายโรคข้อที่เรียกว่า Neuropathic joint (Pseudoneuropathic joint), Neuropathic joint คือโรคข้อเสื่อมที่มักพบในผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือโรคที่เส้นประสาทส่วนปลายมีการเสื่อม, ผู้ป่วยกลุ่มนี้พบน้อยกว่า 5% โดยจะมีอาการปวดข้อเรื้อรัง ข้อบวม กระดูกอ่อนและกระดูกรอบๆข้อถูกทำลายอย่างมากจากการอักเสบเรื้อรัง ทำให้ข้อผิดรูปร่างและใช้งานไม่ได้, มักพบในข้อเข่า
แพทย์วินิจฉัยโรคเกาต์เทียมอย่างไร?
หลักการวินิจฉัยโรคเกาต์เทียม คือ เมื่อจะให้การวินิจฉัยว่าผู้ป่วยเป็นโรคนี้ แพทย์จะต้องตรวจหาโรคอื่นๆที่เป็นปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคนี้ดังได้กล่าวใน‘หัวข้อ สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงฯ’ ซึ่งผู้ป่วยโรคนี้อาจเป็นร่วมอยู่และเป็นสาเหตุเกิดโรคนี้ได้
อย่างไรก็ตาม การวินิจฉัยโรคเกาต์เทียม แพทย์อาศัยจาก ประวัติอาการ, การตรวจร่างกาย, และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ร่วมกัน โดย
ก. ประวัติอาการ: เช่น
- ในผู้ป่วยที่มีข้ออักเสบเฉียบพลัน: อาการจะคล้ายกับผู้ที่เป็นโรคเกาต์มาก ต้องอาศัยการตรวจทางห้องปฏิบัติการช่วยในการวินิจฉัย
- ในผู้ป่วยเกาต์เทียมที่มีข้ออักเสบเรื้อรัง: อาการจะคล้ายโรคข้อเสื่อมแต่ข้อที่มักเป็นโรคเกาต์เทียม คือ ข้อระหว่างมือและนิ้วมือ ข้อมือ ข้อศอก และข้อไหล่, ซึ่งจะไม่เหมือนผู้เป็นโรคข้อเสื่อมที่มักจะเป็นที่ ข้อเข่า ข้อนิ้วมือส่วนต้น และข้อกระดูกสันหลัง
- และในผู้ป่วยเกาต์เทียมที่มีอาการคล้ายโรคข้อรูมาตอยด์ และ Neuropathic joint: ต้องอาศัยการตรวจทางห้องปฏิบัติการช่วยในการวินิจฉัย, แยกจากกันด้วยอาการไม่ได้
ข. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ: เช่น
- เอกซเรย์บริเวณข้อ: จะพบหินปูนเกาะที่กระดูกอ่อนเรียกว่า Chondrocalcinosis ซึ่งมักจะไม่พบในโรคข้ออื่นๆ
- เจาะน้ำในข้อไปตรวจ: ในผู้ป่วยที่มีน้ำในข้อ หากเจาะน้ำไปตรวจดูด้วยกล้องจุลทรรศน์จะพบผลึก Calcium pyrophosphate ซึ่งจะเห็นเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู, และเมื่อใช้กล้องจุลทรรศน์ชนิดพิเศษที่เรียกว่า Polarized microscopy มาตรวจดูก็จะเห็นสีขึ้นมา (ผลึกที่เกิดจากโรคที่ต่างชนิดกันจะให้สีที่ต่างกัน) ซึ่งสีที่เห็นจะเป็นแบบที่เรียกว่า Weakly positive birefringent การเห็นผลึกนี้จะช่วยวินิจฉัยแยกออกจากโรคเกาต์ได้, โดยผลึกของโรคเกาต์จะเรียวแหลมเหมือนแท่งเข็มและการตรวจดูด้วย Polarized microscopy จะเห็นสีแบบที่เรียกว่า Strongly negative birefringent
- ในผู้ป่วยที่เกิดข้ออักเสบแบบเฉียบพลัน: การวินิจฉัยจะต้องแยกออกจากข้ออักเสบติดเชื้อด้วย ซึ่งอาการจะคล้ายกัน การเจาะน้ำในข้อไปตรวจจะพบเม็ดเลือดขาวเหมือนกัน, และนอกจากนี้ผู้ป่วยโรคเกาต์เทียมที่มีข้ออักเสบเฉียบพลันอาจมีการติดเชื้อเป็นข้ออักเสบติดเชื้อร่วมด้วยได้ ดังนั้นการเจาะน้ำในข้อไปตรวจจึงต้องนำไปเพาะหาเชื้อด้วย
- เมื่อวินิจฉัยได้แล้วว่าผู้ป่วยเป็นโรคเกาต์เทียมต้องตรวจผู้ป่วยต่อไปว่ามีโรคอื่นๆร่วมด้วยหรือไม่ เช่น เจาะเลือดตรวจหาระดับ กรดยูริค (Uric acid), ระดับฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ และฮอร์โมนจากต่อมพาราไทรอยด์, ตรวจหาระดับเกลือแร่ในเลือด เช่น ฟอสฟอรัส และธาตุเหล็กในร่างกาย
***อนึ่ง: สิ่งสำคัญที่จะต้องตระหนัก คือ
- ผู้ป่วยอาจเป็นทั้งข้ออักเสบเฉียบพลันจากโรคเกาต์เทียมและจากโรคเกาต์ร่วมกันได้ หรือ
- อาจเป็นโรคข้อเสื่อมอยู่แล้วและเกิดข้ออักเสบเฉียบพลันจากโรคเกาต์เทียมขึ้นมาก็ได้
รักษาโรคเกาต์เทียมอย่างไร?
แนวทางการรักษาโรคเกาต์เทียม คือ
ก. ผู้ป่วยกลุ่ม 'ไม่มีอาการ': ไม่จำเป็นต้องให้การรักษา
ข. ผู้ป่วยกลุ่มอื่นๆ: การรักษาหลัก คือ ให้ยาแก้ปวดและลดบวมของข้อต่างๆ ซึ่งยามีให้เลือกหลายกลุ่ม หลายชนิด เช่น
- การให้ยาแก้ปวดลดการอักเสบชนิดไม่ติดเชื้อกลุ่มเอ็นเสดส์ เช่น Voltaren, Indomethacin, Celebrex, ซึ่งอาจให้ในรูปแบบกินหรือฉีด
- การให้ยาลดอักเสบกลุ่มสเตียรอยด์ในผู้ป่วยที่มีข้ออักเสบแบบเฉียบพลัน มักให้ยาโดยการฉีดเข้าไปในข้อที่อักเสบโดยตรง หรืออาจจะให้ในรูปแบบกินหรือฉีด หากมีข้ออักเสบเกิดขึ้นหลายข้อ
- การให้ยา Colchicine ซึ่งปกติเป็นยาสำหรับรักษาโรคเกาต์ โดยการให้ยาในขนาดสูงจะช่วยลดอาการในผู้ป่วยที่มีอาการข้ออักเสบเฉียบพลันได้ แต่จะไม่เลือกใช้เป็นยากลุ่มแรกๆในการรักษาเพราะจะมีผลข้างเคียงทำให้ถ่ายอุจจาระเหลวรุนแรงได้, แพทย์อาจเลือกให้กินยานี้ในขนาดต่ำๆ ในผู้ป่วยที่เคยมีข้ออักเสบเฉียบพลัน เพื่อลดโอกาสการเกิดข้ออักเสบเฉียบพลันขึ้นมาอีก แต่ประสิทธิภาพยังไม่แน่นอน
- ผู้ป่วยที่ข้อบวมมากซึ่งเกิดจากมีน้ำในข้อมาก การเจาะดูดเอาน้ำในข้อเพื่อเป็นการระบายน้ำออกจะช่วยลดอาการปวดและการอักเสบของข้อลงได้
- ผู้ป่วยที่เกิดข้อผิดรูปร่างแล้วอาจเลือกรักษาโดยการผ่าตัดเปลี่ยนข้อ ซึ่งจะทำได้เฉพาะบางข้อเท่านั้น
โรคเกาต์เทียมรุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงจากโรคอย่างไร?
ผลข้างเคียงและความรุนแรงจากโรคเกาต์เทียม เช่น
- ผู้ป่วยที่มีข้ออักเสบเฉียบพลัน: เมื่อเป็นหลายๆครั้งกระดูกอ่อนและกระดูกของข้อนั้นๆก็จะค่อยๆถูกทำลายและทำให้เกิดข้อผิดรูปได้
- ผู้ป่วยในกลุ่มอื่นๆ: ในที่สุดจะเกิดข้อผิดรูปจนใช้งานไม่ได้เหมือนปกติ
- การให้ยารักษาดังกล่าวข้างต้น:
- เป็นเพียงการบรรเทาอาการเท่านั้น ไม่สามารถหยุดการดำเนินของโรค/ธรรมชาติของโรคได้
- และไม่มียาที่จะช่วยรักษาให้ข้อที่เสื่อมและผิดรูปไปแล้วกลับมาปกติได้
ควรดูแลตนเองอย่างไรเมื่อเป็นโรคเกาต์เทียม?
การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคเกาต์เทียม เช่น
- การเกิดข้ออักเสบเฉียบพลันในผู้ป่วยที่เป็นเกาต์เทียมนี้ ‘ไม่เกี่ยวข้อง’ กับชนิดของอาหารที่กินเหมือนกับในโรคเกาต์ที่จะเกิดอาการข้ออักเสบเฉียบพลันขึ้นมา หากกินอาหารที่มีกรดยูริคในปริมาณสูงเข้าไป, ผู้ป่วยโรคนี้จึงไม่จำเป็นต้องควบคุมชนิดของอาหารที่กินเหมือนในโรคเกาต์เว้นแต่จะเป็นโรคเกาต์ร่วมอยู่ด้วย
- เมื่อเกิดข้ออักเสบเฉียบพลันเกิดขึ้น ควรหยุดพักการใช้งานของข้อนั้นๆ การใช้ความเย็นประคบอาจช่วยลดอาการได้
- ผู้ที่มีอาการ ปวดบวม ของข้อแบบเรื้อรัง ควรพบแพทย์ที่ดูแลเป็นประจำสม่ำเสมอ เพื่อประโยชน์ในการใช้และปรับเปลี่ยนยาให้เหมาะสม และติดตามอาการรวมทั้งผลข้างเคียงแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นมาได้
- ไม่ควรใช้ สมุนไพร ยาต้ม ยาลูกกลอน เพราะมักมีสารกลุ่มสเตียรอยด์ผสม ซึ่งการใช้สมุนไพรในช่วงแรกอาจดูเหมือนได้ผลดี แต่หลังจากนั้นจะทำให้เกิดผลข้างเคียงแทรกซ้อนตามมาอีกมากมาย เช่น กระดูกพรุน กระเพาะอาหารอักเสบก่อให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร และเกิดเลือดออกจากกระเพาะอาหาร/เลือดออกในทางเดินอาหารได้
- หลีกเลี่ยงการกระทำที่ส่งผลให้ข้อต่างๆต้องรับน้ำหนักหรือได้รับความกระทบกระเทือนมากขึ้น เช่น ไม่ยก ไม่แบกของหนักเกินกำลัง, ไม่กระโดดจากที่สูง, ไม่ปล่อยให้เกิดโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน
- ดูแล รักษา ควบคุมโรคต่างๆที่เป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงให้ได้ดี
ควรพบแพทย์เมื่อไหร่?
เมื่อมีอาการปวด และบวมของข้อแบบเฉียบพลัน หรือแบบเรื้อรัง ควรพบแพทย์/มาโรงพยาบาลเพื่อหาสาเหตุและเพื่อการรักษาที่เหมาะสมเสมอ
ป้องกันโรคเกาต์เทียมอย่างไร?
เมื่อดูจากสาเหตุแล้ว การป้องกันโรคเกาต์เทียมเป็นไปได้ยาก อาจลดโอกาสเกิดลงได้บ้าง จากการดูแลรักษา ควบคุมโรคต่างๆที่เป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง, และเมื่อเป็นโรคแล้ว การกินยาตามแพทย์แนะนำสม่ำเสมอ ถูกต้อง จะช่วยป้องกัน/ลดความรุนแรงของอาการ และช่วยลดโอกาสเกิดการอักเสบเฉียบพลันย้อนกลับเป็นซ้ำลงได้
บรรณานุกรม
- Antonio J. Reginato, Gout and other crystal arthropathies, in Harrison’s Principles of Internal Medicine, 17th edition, Braunwald , Fauci, Kasper, Hauser, Longo, Jameson (eds). McGrawHill, 2001
- https://en.wikipedia.org/wiki/Calcium_pyrophosphate_dihydrate_crystal_deposition_disease [2023,March 4]