แคลเซียมแลคเตท (Calcium lactate)
- โดย เภสัชกร อภัย ราษฎรวิจิตร
- 11 พฤศจิกายน 2564
- Tweet
สารบัญ
- บทนำ: คือยาอะไร?
- แคลเซียมแลคเตทมีสรรพคุณ (คุณสมบัติ) รักษาโรคอะไร?
- แคลเซียมแลคเตทมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?
- แคลเซียมแลคเตทมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?
- แคลเซียมแลคเตทมีขนาดรับประทานอย่างไร?
- เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?
- หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร?
- แคลเซียมแลคเตทมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?
- มีข้อควรระวังการใช้แคลเซียมแลคเตทอย่างไร?
- แคลเซียมแลคเตทมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?
- ควรเก็บรักษาแคลเซียมแลคเตทอย่างไร?
- แคลเซียมแลคเตทมีชื่ออื่นอีกไหม? ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- ยารักษาโรค (Pharmaceutical drug)
- ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด
- โรคกระดูกพรุน โรคกระดูกบาง (Osteoporosis and Osteopenia)
- ความหนาแน่นมวลกระดูก (BONE MINERAL DENSITY)
- โรคกระดูก (Bone disease)
- แคลเซียมคาร์บอเนต (Calcium Carbonate)
- แคลเซียมกลูโคเนต (Calcium gluconate)
- กระดูกน่วม โรคกระดูกอ่อน (Osteomalacia)
- ภาวะขาดแคลเซียม (Calcium inadequacy)
บทนำ: คือยาอะไร?
แคลเซียมแลคเตท (Calcium lactate หรือ Ca lactate) คือ ยารักษาผู้ป่วยภาวะขาดแคลเซียม มีลักษณะทางกายภาพเป็นผลึก กระบวนการเกิดแคลเซียมแลคเตทตามธรรมชาติได้จากการทำปฏิกิริยาระหว่างกรดแลคติก(Lactic acid) กับแคลเซียมคาร์บอเนต (Calcium carbonate) อีกทั้งจัดเป็นสารอาหารที่พบได้ในพวกชีส (Cheese /เนยแข็ง)ต่างๆ
อุตสาหกรรมอาหารได้นำแคลเซียมแลคเตทมาเป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำตาล และใช้เป็นจุดขายโดยระบุว่าไม่ทำให้ฟันผุด้วยมีสารแคลเซียมแลคเตทคอยเสริมสร้างเคลือบฟัน นอกจากนี้ในบางสูตรตำรับยังนำเอาสารแคลเซียมแลคเตทมาเป็นส่วนประกอบของ ยาลดกรดอีกด้วย
ทั่วไป ยาแคลเซียมแลคเตทจะปลดปล่อยธาตุแคลเซียมให้ร่างกายประมาณ 13% เท่านั้น ดังนั้นการบริโภคยากลุ่มแคลเซียมแลคเตทอาจต้องรับประทาน 2 - 3 ครั้งต่อวันเพื่อให้ร่างกายได้รับแคลเซียมอย่างพอเพียง
ยาแคลเซียมแลคเตทสามารถถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายจากลำไส้เล็ก เมื่อเข้าสู่กระแสเลือดก็จะถูกร่างกายนำไปซ่อมแซมกระดูกและรักษาสมดุลของเกลือแคลเซียมในเลือด แคลเซียมส่วนเกินจะถูกขับออกมากับปัสสาวะ และบางส่วนจะถูกขับออกมากับน้ำดี
ก่อนการใช้ยาประเภทแคลเซียมทั้งหลาย แพทย์มักจะมีการตรวจผู้ป่วยก่อน เช่น การตรวจร่างกาย, การตรวจมวลกระดูก(ความหนาแน่นมวลกระดูก), ตรวจเอกซเรย์ดูพยาธิสภาพของกระดูกหรือโรคกระดูก, รวมถึงสอบถามประวัติว่าเคยมีก้อนนิ่วในไต, หรือป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวกับต่อมพาราไทรอยด์(ต่อมเคียงไทรอยด์)หรือไม่
อนึ่ง การได้รับแคลเซียมน้อยเกินไป ก็จะไม่สามารถบำบัดรักษาอาการป่วยทางกระดูกได้ การได้รับมากเกินไปก็อาจก่อให้เกิดอันตรายโดยเฉพาะต่อระบบการทำงานของหัวใจ การใช้ยากลุ่มนี้จึงต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของแพทย์เท่านั้น
แคลเซียมแลคเตทมีสรรพคุณ (คุณสมบัติ) รักษาโรคอะไร?
ยาแคลเซียมแลคเตทมีสรรพคุณรักษาโรค/ข้อบ่งใช้: เช่น
- บำบัดรักษาภาวะขาดแคลเซียมของร่างกาย
- รักษาอาการกระดูกน่วมกระดูกอ่อน(Osteomalacia, โรคที่กระดูกมีลักษณะอ่อนนิ่มไม่แข็งจากร่างกายขาดสมดุลของน้ำและเกลือแร่/ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส)
- รักษาภาวะกระดูกพรุน (Osteoporosis)
- รักษาภาวะความผิดปกติของต่อมพาราไทรอยด์/ต่อมเคียงไทรอยด์(Pseudohypoparathyroidism)
แคลเซียมแลคเตทมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?
กลไกการออกฤทธ์ของยาแคลเซียมแลคเตท คือ ตัวยาจะปลดปล่อยเกลือแคลเซียมเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อสร้างสมดุลที่เหมาะสมของเกลือแร่ในร่างกาย และถูกนำไปซ่อมแซมกระดูกที่สึกหรอ อีกทั้งป้องกันการสูญเสียแคลเซียมจากกระดูก นอกจากนี้เกลือแคลเซียมยังช่วยทำให้ระบบประสาทและกล้ามเนื้อโดยเฉพาะที่กล้ามเนื้อหัวใจทำงานได้อย่างปกติ
แคลเซียมแลคเตทมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?
ยาแคลเซียมแลคเตทมีรูปแบบการจัดจำหน่าย:
- ยาเม็ดชนิดรับประทาน ขนาด 300 มิลลิกรัม/เม็ด
- ยาเม็ดฟู่ละลายน้ำที่ประกอบด้วยเกลือแคลเซียมชนิดอื่น เช่น
Calcium lactate 2.93 กรัม + Calcium gluconate 0.01 กรัม + Calcium carbonate 0.3 กรัม
*หมายเหตุ:
- ยาแคลเซียมแลคเตทมีเกลือแคลเซียมเป็นส่วนประกอบประมาณ 13% มีการดูดซึมเข้าร่างกายได้ปานกลาง มักนำไปใช้เป็นยาลดกรดอีกด้วย
- ยาแคลเซียมคาร์บอเนตมีเกลือแคลเซียมเป็นส่วนประกอบประมาณ 40% ราคาถูกที่สุด พบในอาหารทะเลเป็นส่วนมาก ร่างกายมีการดูดซึมได้ต่ำ ต้องรับประทานพร้อมมื้ออาหารจึงจะดูดซึมได้ดี
- ยาแคลเซียมกลูโคเนตมีเกลือแคลเซียมเป็นส่วนประกอบประมาณ 9% ซึ่งเป็นปริมาณต่ำ หากใช้เป็นองค์ประกอบหลักของยาเม็ดจะต้องรับประทานต่อวันเป็นปริมาณมาก มีการดูดซึมเข้าร่างกายได้ในอัตราที่ไม่แน่นอนนัก และต้องรับประทานพร้อมหรือหลังอาหาร
แคลเซียมแลคเตทมีขนาดรับประทานอย่างไร?
ขนาดการใช้ยา/ขนาดรับประทานยาแคลเซียมแลคเตทขึ้นกับชนิดของอาการ/โรค จึงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษาเป็นหลัก ซึ่งในที่นี้ขอยกตัวอย่างดังนี้เช่น
ก.สำหรับภาวะขาดแคลเซียม และอาการกระดูกน่วมกระดูกอ่อน:เช่น
- ผู้ใหญ่: เช่น รับประทานครั้งละ 325 - 650 มิลลิกรัมวันละ 2 - 3 ครั้ง อาจรับประทานร่วมกับวิตามินดีตามคำสั่งแพทย์
ข.สำหรับรักษาอาการกระดูกพรุน: เช่น
- ผู้ใหญ่: รับประทานครั้งละ 325 - 650 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง
*อนึ่ง:
- เด็ก (นิยามคำว่าเด็ก): การใช้ยาแคลเซียมแลคเตทกับเด็ก มักเป็นกรณีที่ร่างกายของเด็กมีแคลเซียมต่ำ และต้องใช้ตามคำสั่งแพทย์ผู้รักษาเท่านั้น ตัวอย่างเช่น มีขนาดรับประทาน 45 - 65 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วันโดยแบ่งรับประทานเป็น 4 ครั้ง
- การรับประทานยานี้พร้อมอาหารจะช่วยเพิ่มการดูดซึมของแคลเซียมแลคเตทได้ดียิ่งขึ้น
*****หมายเหตุ: ขนาดยาและระยะเวลาในการใช้ยาที่ระบุในบทความนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำสั่งใช้ยาของแพทย์ได้ การใช้ยาที่เหมาะสมควรต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?
เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดที่รวมถึงยาแคลเซียมแลคเตท ผู้ป่วยควรแจ้ง แพทย์ พยาบาล และเภสัชกร เช่น
- ประวัติแพ้ยาทุกชนิด เช่น กินยา/ใช้ยาแล้วคลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือแน่นหายใจติดขัด/หายใจลำบาก/ หอบเหนื่อย
- มีโรคประจำตัวต่างๆ รวมทั้งกำลังกินยา/ช้ยาอะไรอยู่ เพราะยาแคลเซียมแลคเตทอาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรืออาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆที่กิน/ที่ใช้อยู่ก่อน
- หากเป็นสุภาพสตรีควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์/มีครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร เพราะยาหลายประเภทสามารถผ่านทางน้ำนมหรือรก และเข้าสู่ทารกจนก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้
หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร?
หากลืมรับประทานยาแคลเซียมแลคเตท สามารถรับประทานเมื่อนึกขึ้นได้ ถ้าเวลาใกล้เคียง กับการรับประทานยาในมื้อถัดไป ไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่า
แคลเซียมแลคเตทมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?
ยาแคลเซียมแลคเตทสามารถก่อให้เกิดผล/ อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา (ผลข้างเคียง/อาการข้างเคียง) เช่น
- ผื่นคัน
- หายใจไม่ออก/หายใจลำบาก
- ใบหน้า-ริมฝีปาก-ลิ้น-คอ เกิดอาการบวม
- คลื่นไส้อาเจียน
- เบื่ออาหาร
- ท้องผูก
- ปากคอแห้ง
- กระหายน้ำ
- ปัสสาวะบ่อย
อนึ่ง: สำหรับผู้ที่ได้รับยาแคลเซียมแลคเตทเกินขนาดจะพบอาการคลื่นไส้ร่วมกับอาเจียน เบื่ออาหาร รู้สึกสับสน และผู้ป่วยบางรายอาจเกิดภาวะโคม่า หากพบอาการเหล่านี้ควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที/ฉุกเฉิน
มีข้อควรระวังการใช้แคลเซียมแลคเตทอย่างไร?
มีข้อควรระวังการใช้ยาแคลเซียมแลคเตท เช่น
- ห้ามใช้กับผู้แพ้ยานี้
- ห้ามใช้กับ
- ผู้ที่ลำไส้มีการเคลื่อนตัวผิดปกติ
- ผู้ที่ป่วยด้วยโรคนิ่วในไต
- ผู้ที่มีภาวะต่อมพาราไทรอยด์(ต่อมเคียงไทรอยด์)ทำงานมากกว่าปกติ
- ผู้ที่ตรวจปัสสาวะพบมีภาวะเกลือแคลเซียมในปัสสาวะมาก
- ผู้ที่อยู่ในภาวะเกลือแคลเซียมในเลือดสูง
- ผู้ที่อยู่ในภาวะร่างกายสูญเสียน้ำ (ภาวะขาดน้ำ)
- ระวังการใช้แคลเซียมในเด็กเล็กที่มีภาวะเกลือโพแทสเซียมในเลือดต่ำ ด้วยเกลือ แคลเซียมสามารถลดระดับเกลือโพแทสเซียมในกระแสเลือดได้
- ระวังการใช้ยานี้กับผู้ป่วยโรคไต และ โรคหัวใจ
- การใช้ยาในสตรีตั้งครรภ์ สตรีที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร เด็ก และผู้สูงอายุ ควรต้องมีคำสั่งจากแพทย์เท่านั้น
- ห้ามแบ่งยาให้ผู้อื่นใช้
- ห้ามใช้ยาหมดอายุ
- ห้ามเก็บยาหมดอายุ
***** อนึ่ง ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา” ที่รวมถึงยาแผนปัจจุบันทุกชนิด (รวมยาแคลเซียมแลคเตทด้วย) ยาแผนโบราณ อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทุกชนิดและสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกครั้งควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ (อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอด้วยเช่นกัน
แคลเซียมแลคเตทมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?
ยาแคลเซียมแลคเตทมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่น เช่น
- การใช้ยาแคลเซียมแลคเตท ร่วมกับยาต้านเอชไอวี เช่นยา Dolutegravir จะทำให้การดูดซึมของยา Dolutegravir ลดน้อยลงจนส่งผลถึงประสิทธิภาพของการรักษา หากจำเป็นต้องใช้ยาร่วมกันควรรับประทานยา Dolutegravir ก่อนแคลเซียมแลคเตท 2 ชั่วโมง หรือหลังจากรับประทานแคลเซียมแลคเตทไปแล้ว 6 ชั่วโมง
- การใช้ยาแคลเซียมแลคเตท ร่วมกับยาขับปัสสาวะประเภท Hydrochlorothiazide จะทำให้ระดับแคลเซียมในกระแสเลือดเพิ่มสูงมากจนอาจทำให้เกิดอาการวิงเวียน ง่วงนอน อ่อนเพลีย ปวดหัว คลื่นไส้อาเจียน ชักเกร็ง หากจำเป็นต้องใช้ยาร่วมกันแพทย์จะปรับขนาดรับประทานให้เหมาะสมเป็นรายบุคคลไป
- การใช้ยาแคลเซียมแลคเตท ร่วมกับ ยาปฏิชีวนะบางประเภท เช่นยา Tetracycline , Doxycycline จะทำให้ลดประสิทธิภาพในการรักษาของยาปฏิชีวนะดังกล่าว กรณีจำเป็นต้องใช้ยาร่วมกันให้เว้นระยะเวลารับประทานของยาทั้ง 2 กลุ่มห่างกันประมาณ 2 - 3 ชั่วโมง
- การใช้ยาแคลเซียมแลคเตท ร่วมกับ ยาลดความดัน เช่นยา Amlodipine หรือ Verapamil อาจทำให้การออกฤทธิ์ของยาลดความดันโลหิตดังกล่าวด้อยประสิทธิภาพลง หากต้องใช้ยาร่วม กันควรต้องเฝ้าระวังและควบคุมความดันโลหิตให้เป็นปกติเสมอ หรือแพทย์ปรับขนาดการใช้ยาให้เหมาะสมเป็นกรณีไป
ควรเก็บรักษาแคลเซียมแลคเตทอย่างไร?
ควรเก็บยาแคลเซียมแลคเตท: เช่น
- เก็บยาภายในอุณหภูมิห้องที่เย็น
- ไม่เก็บยาในห้องน้ำหรือในรถยนต์
- เก็บยาในภาชนะที่ปิดมิดชิด พ้นแสง/ แสงแดด ความร้อน และความชื้น
- เก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
แคลเซียมแลคเตทมีชื่ออื่นอีกไหม? ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?
ยาแคลเซียมแลคเตทที่จำหน่ายในประเทศไทย มียาชื่อการค้าอื่นและบริษัทผู้ผลิตเช่น
ชื่อการค้า | บริษัทผู้ผลิต |
---|---|
Calcium lactate tablets BP (แคลเซียมแลคเตท แทบเล็ต บีพี) | Actavis UK Limited |
KAL-forte (คาลฟอร์ท) | B L Hua |
บรรณานุกรม
- https://en.wikipedia.org/wiki/Calcium_lactate [2021,Nov6]
- https://www.drugs.com/mtm/calcium-lactate.html [2021,Nov6]
- https://www.webmd.com/drugs/2/drug-3709/calcium-lactate-oral/details#precautions [2021,Nov6]
- https://www.mims.com/Thailand/drug/search/?q=calcium%20lactate [2021,Nov6]
- https://www.medicines.org.uk/emc/medicine/23857 [2021,Nov6]
- https://www.mims.com/Thailand/Drug/info/KAL-forte/?type=brief [2021,Nov6]
- https://www.everydayhealth.com/drugs/calcium-lactate [2021,Nov6]