ภาวะเหล็กเกิน (Iron overload หรือ Hemochromatosis)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
- 2 มกราคม 2565
- Tweet
สารบัญ
- บทนำ: คือโรคอะไร?พบบ่อยไหม?
- ภาวะเหล็กเกินมีสาเหตุจากอะไร?มีกี่แบบ?
- ใครมีปัจจัยเสี่ยงเกิดภาวะเหล็กเกิน?
- ภาวะเหล็กเกินมีอาการอย่างไร?
- เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
- แพทย์วินิจฉัยภาวะเหล็กเกินได้อย่างไร?
- รักษาภาวะเหล็กเกินอย่างไร?
- ภาวะเหล็กเกินมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
- ดูแลตนเองอย่างไร?
- ป้องกันภาวะเหล็กเกินอย่างไร?
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- โรคธาลัสซีเมีย (Thalassemia)
- ยาขับเหล็ก (Iron Chelators)
- โรคตับแข็ง (Liver cirrhosis)
- ตับวาย ตับล้มเหลว (Liver failure)
- น้ำหนักลดผิดปกติ (Unintentional weight loss)
- ปวดข้อ อาการปวดข้อ (Arthralgia)
- ภาวะขาดประจำเดือน (Amenorrhea)
- นกเขาไม่ขัน (Erectile dysfunction)
- โรคกระดูกพรุน โรคกระดูกบาง (Osteoporosis and Osteopenia)
- ไขมันพอกตับ (Fatty liver)
บทนำ คือโรคอะไร?พบบ่อยไหม?
เหล็กเกิน (Iron overload) คือ โรค/ภาวะมีธาตุเหล็กสะสมในอวัยวะต่างๆเกินปกติจนส่งผลเสียต่อการทำงานของอวัยวะนั้นๆ จึงก่อให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆจากอวัยวะนั้นทำงานแย่ลงจนอาจถึงขั้นล้มเหลว ซึ่งที่พบบ่อยและอันตราย เช่น ตับวาย, ภาวะหัวใจล้มเหลว, ตับอ่อนล้มเหลว(โรคเบาหวาน), รังไข่ล้มเหลว(ภาวะขาดประจำเดือน), อัณฑะล้มเหลว(นกเขาไม่ขัน), สีผิวเปลี่ยนเป็นสีบรอนซ์, โรคนี้พบทุกอายุ พบบ่อยในเชื้อชาติยุโรปเหนือ เพศชายพบบ่อยกว่าเพศหญิง บางชนิดเกิดจากพันธุกรรมถ่ายทอดได้, บางชนิดเกิดจากโรคต่างๆที่ต้องได้รับการให้เลือดบ่อย หรือมีเม็ดเลือดแดงแตกต่อเนื่อง
เหล็กเกิน/ธาตุเหล็กเกิน/ภาวะเหล็กเกิน พบทั่วโลก พบพันธุกรรมผิดปกติที่เป็นสาเหตุโรคนี้ได้ประมาณ 2-14% พบสูงในคนผิวขาวโดยเฉพาะยุโรปเหนือ พบทุกอายุแต่มักแสดงอาการในวัยผู้ใหญ่อายุ 40-50ขึ้นไป เพศหญิงพบน้อยกว่าเพศชายเพราะร่างกายขับเหล็กออกมากกว่าผู้ชายจากประจำเดือน
อนึ่ง: เหล็กเกิน หรือ ธาตุเหล็กเกิน หรือ ภาวะเหล็กเกิน ชื่อทางการแพทย์ คือ ‘Hemochromatosis’
ภาวะเหล็กเกินมีสาเหตุจากอะไร?มีกี่แบบ?
โรค/ภาวะเหล็กเกิน/ธาตุเหล็กเกิน มี 2 แบบ/ชนิด คือ แบบปฐมภูมิ,และแบบทุติยภูมิ
- ภาวะเหล็กเกินปฐมภูมิ(Primary iron overload หรือ Hereditary hemochromatosis หรือ Classical hemochromatosis ): เกิดจากพันธุกรรมถ่ายทอดได้ชนิดจีน/ยีนด้อย คือ ต้องทั้งพ่อและแม่มีจีนนี้ ลูกจึงจะเกิดโรคนี้ แต่ถ้าพ่อหรือแม่เพียงคนใดคนหนึ่งมีจีนนี้ ลูกอาจปกติ หรืออาจเป็นพาหะโรค โรคกลุ่มนี้พบบ่อยที่สุด มักพบในคนผิวขาวโดยเฉพาะยุโรปเหนือ พบน้อยในชาวเอเชีย พบทุกวัย แต่มักแสดงอาการเมื่อเป็นผู้ใหญ่เพราะเหล็กจะค่อยๆสะสมมากขึ้นๆในอวัยวะต่างๆจึงเริ่มแสดงอาการเมื่อเป็นผู้ใหญ่
อนึ่ง: พันธุกรรม/ยีนที่เกี่ยวกับ การสันดาปธาตุเหล็ก, การดูดซึมธาตุเหล็กจากลำไส้เล็ก, การนำธาตุเหล็กไปใช้, และ/หรือไปเก็บสะสมตามอวัยวะต่างๆ เรียกว่า เอชเอฟอียีน (HFe คือ Human ferrum/Fe ตัวย่อของธาตุเหล็ก) ซึ่งจะส่งผลให้ลำไส้เล็กดูดซึมธาตุเหล็กได้มากขึ้นและร่างกายนำไปสะสมตามอวัยวะต่างๆมากขึ้นจนก่ออาการ ที่สำคัญคือที่ ตับ หัวใจ ระบบต่อมไร้ท่อ( เช่น ตับอ่อน ต่อมไทรอยด์ อัณฑะ รังไข่) ข้อต่างๆ กระดูก สมอง และ ผิวหนังที่รวมถึงขนและเล็บ
- ภาวะเหล็กเกินทุติยภูมิ(Secondary iron overload หรือ Acquired iron overload): เกิดจากร่างกาย/เลือดมีธาตุเหล็กสูงผิดปกติจากบางโรคหรือจากวิธีรักษา บางโรค เช่น
- โรคเลือดที่ทำให้เกิดโรคซีดเรื้อรังจากเม็ดเลือดแดงอายุสั้น หรือเม็ดเลือดแดงแตก ที่จำเป็นต้องรักษาโดยให้เลือดต่อเนื่อง เช่น โรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรง, โรคเม็ดเลือดแดงรูปเคียว
- กินธาตุเหล็ก และ/หรือวิตามินซี เสริมอาหารปริมาณสูง ต่อเนื่อง
- ไตวายเรื้อรังที่รักษาด้วยการฟอกเลือด
- โรคตับแข็งจาก ติดสุรา, โรคไวรัสตับอักเสบบี, โรคไวรัสตับอักเสบซี, โรคไขมันพอกตับ เพราะโรคตับเหล่านี้กระตุ้นให้ร่างกายสะสมเหล็กในตับเพิ่มขึ้น
ใครมีปัจจัยเสี่ยงเกิดภาวะเหล็กเกิน?
ผู้มีปัจจัยเสี่ยงเกิดโรค/ภาวะเหล็กเกิน/ธาตุเหล็กเกิน ได้แก่
- มีความผิดปกติของยีน/จีนควบคุมการดูดซึมและการใช้ธาตุเหล็ก(HFE gene)
- คนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคนี้
- เชื้อชาติผิวขาวโดยเฉพาะยุโรปเหนือ
- เพศชาย: เพราะมีธาตุเหล็กในร่างกายสูงกว่าเพศหญิง จากไม่สูญเสียธาตุเหล็กจากประจำเดือน
ภาวะเหล็กเกินมีอาการอย่างไร?
อาการของเหล็กเกิน/ธาตุเหล็กเกิน จะเกิดจากธาตุเหล็กค่อยๆสะสมมากขึ้นๆในอวัยวะต่างๆ ดังนั้นทั่วไประยะแรกของโรค ผู้ป่วยมักไม่มีอาการ, จะปรากฏอาการเมื่ออยู่ในวัยกลางคนขึ้นไป จากอวัยวะต่างๆมีเหล็กสะสมมากจนกระทบต่อการทำงาน ในเพศหญิงมักเกิดอาการในวัยหมดประจำเดือน
อนึ่ง: ผู้ป่วยบางรายไม่มีอาการ เพราะขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น ปริมาณเหล็กที่สะสม ระยะเวลาที่สะสม สาเหตุ สุขภาพการทำงานเดิมของแต่ละอวัยวะ ฯลฯ แต่สามารถตรวจพบได้จากตรวจหาปริมาณธาตุเหล็กจากตรวจเลือด
ส่วนในผู้ป่วยที่มีอาการ อาการที่พบได้ เช่น
- อาการทั่วไป: เช่น
- อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
- น้ำหนักลดผิดปกติ
- ปวดท้องเรื้อรัง
ข. อาการจากเหล็กสะสมในอวัยวะต่างๆ: เช่น
- สะสมที่ตับ: เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ตัวเหลืองตาเหลืองบวมน้ำ จากโรคตับแข็ง เป็นการสะสมที่พบบ่อยที่สุดและมักจะสะสมมากกว่าอวัยวะอื่น จึงมีโอกาสเกิดตับวายได้สูงที่รุนแรงอาจถึงตายได้
- สะสมที่ตับอ่อน: เช่น เบาหวาน
- สะสมที่หัวใจ: เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ ภาวะหัวใจล้มเหลว
- สะสมที่ต่อมไทรอยด์: เช่น ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน
- สะสมที่ข้อ: เช่น ปวดข้อเรื้อรังจากข้ออักเสบ
- สะสมที่กระดูก: เช่น โรคกระดูกพรุน
- สะสมที่รังไข่: เช่น ภาวะขาดประจำเดือน
- สะสมที่อัณฑะ: เช่น ภาวะนกเขาไม่ขัน,
- สะสมที่สมอง: เช่น โรคสมองเสื่อม อาการบ้านหมุน/วิงเวียนศีรษะ
- สะสมที่ผิวหนัง: เช่น
- ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีบรอนซ์
- ผมร่วง
- เล็บเป็นรูปช้อน(Spoon nail)
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
เมื่อมีอาการดังกล่าวใน ’หัวข้อ อาการฯ’ โดยเฉพาะเมื่อมีคนในครอบครัวเป็นโรค/ภาวะเหล็กเกิน, หรือมีปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคนี้ ควรรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาลเพื่อแพทย์วินิจฉัยว่าอาการเกิดจากสาเหตุใด หรือ ตรวจวินิจฉัยว่ามีธาตุเหล็กสูงในเลือดหรือมีพันธุกรรมเกี่ยวกับโรคนี้หรือไม่ เพื่อได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสม
แพทย์วินิจฉัยภาวะเหล็กเกินได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยโรค/ภาวะเหล็กเกิน/ธาตุเหล็กเกินได้จาก
- ซักถามประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วย เช่น อาการต่างๆ โรคประจำตัว การใช้ยาต่างๆ และประวัติโรคในครอบครัว
- การตรวจร่างกายทั่วไป ร่วมกับการตรวจวัดสัญญาณชีพ
- ตรวจเลือดด้วยวิธีต่างๆทางห้องปฏิบัติการ: เช่น
- ค่าธาตุเหล็กในเลือด
- ประเมินการทำงานของอวัยวะต่างๆเพื่อวินิจฉัยโรคที่เกิดจากการสะสมของเหล็กในอวัยวะนั้นๆตามอาการผู้ป่วยและดุลพินิจของแพทย์ เช่น
- ค่าความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดดูการทำงานของไขกระดูก/ซีบีซี, โรคซีด
- การทำงานของตับ
- น้ำตาลในเลือด ดูโรคเบาหวาน
- ฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ ดูภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน)
- อาจตรวจเอมอาร์ไอภาพตับเพื่อประเมินภาวะธาตุเหล็กที่สะสมในตับ
- ตัดชิ้นเนื้อตับเพื่อประเมินพยาธิสภาพของตับรวมถึงปริมาณธาตุเหล็กที่สะสมในตับ
- ตรวจทางพันธุกรรมเพื่อดูจีน/ยีนผิดปกติที่เป็นสาเหตุโรคนี้ ทั่วไปเป็นการตรวจจากเลือดหรือจากเซลล์กระพุ้งแก้มที่ได้จากการขูดหรือการป้ายเซลล์(Swab)
รักษาภาวะเหล็กเกินอย่างไร?
แนวทางการรักษาเหล็กเกิน/ธาตุเหล็กเกิน ได้แก่ การลดปริมาณธาตุเหล็กในเลือด/ในร่างกาย, รักษาโรคต่างๆที่ส่งผลมีการสะสมธาตุเหล็กในร่างกาย, และร่วมกับการดูแลตนเองทั่วๆไป
- การลดปริมาณธาตุเหล็กในเลือด/ในร่างกาย: เช่น
- เอาเลือดออกจากร่างกายเป็นระยะๆด้วยวิธีคล้ายบริจาคเลือดที่เรียกว่า Phlebotomy หรือ Venesection ซึ่งความถี่ในการรักษาขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์และค่าธาตุเหล็กในเลือด เพราะเม็ดเลือดแดงมีส่วนประกอบของธาตุเหล็กสูง การเอาเม็ดเลือดแดงออกจากร่างกายจึงเป็นการลดปริมาณธาตุเหล็กได้รวดเร็วและในปริมาณมาก
- การให้ยาที่มีคุณสมบัติขับธาตุเหล็กออกจากเลือด(ยาขับเหล็ก)ซึ่งมีรูปแบบของยาฉีด และยารับประทาน เช่นยา ดีเฟอริโพรน, ดีเฟอร็อกซามีน, ดีเฟอราซีร็อกซ์
- การรักษาโรคต่างๆที่เกิดจากมีธาตุเหล็กสะสมในอวัยวะต่างๆมากเกินปกติ: เช่น ตับแข็งเมื่อเหล็กสะสมมากในตับ ฯลฯ (แนะนำอ่านรายละเอียดโรคต่างๆที่เกิดจากมีธาตุเหล็กสะสมมากเกินปกติ ดังได้กล่าวใน’ หัวข้อ อาการฯ’ ที่รวมถึงวิธีรักษาได้จากเว็บ haamor.com)
- การดูแลตนเองทั่วๆไป: ที่สำคัญคือ
- ลด/จำกัดบริโภคธาตุเหล็ก: ได้แก่
- จำกัดบริโภคอาหารธาตุเหล็กสูง(ธาตุเหล็กชนิดร่างกายดูดซึมได้สูง คือ Heme iron) ที่สำคัญคือ เนื้อแดงทุกชนิด(เนื้อแดง-เนื้อขาวเนื้อดำ), ปลาทูนา
- ไม่ควรกินธาตุเหล็ก หรือ วิตามินรวมที่มีเหล็กอยู่ด้วย ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
- จำกัดกัดการกินวิตามินซีปริมาณสูงเพราะเป็นวิตามินช่วยดูดซึมธาตุเหล็ก ควรปรึกษาแพทย์ก่อนซื้อบริโภค
- จำกัดอาหาร แป้ง และน้ำตาล เพราะมีโอกาสเป็นเบาหวานง่ายจากตับอ่อนทำงานลดลงเพราะเซลล์ตับอ่อนสะสมเหล็กมากเกินปกติ
- ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ เพราะเป็นสาเหตุโรคตับแข็ง และเป็นตัวช่วยให้เซลล์ตับจับสะสมธาตุเหล็กสูงขึ้น จึงเป็นปัจจัยเสี่ยงเกิดตับวายสูง
ภาวะเหล็กเกินมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
ทั่วไปเหล็กเกิน/ธาตุเหล็กเกิน เมื่อตรวจพบตั้งแต่ยังไม่มีอาการ โดยเฉพาะยังไม่มีอาการของโรคตับ ผู้ป่วยจะมีอายุขัยและคุณภาพชีวิตได้เหมือนคนปกติเมื่อได้รับการดูแลจากแพทย์ แต่ถ้ามีอาการโรคตับร่วมด้วย โอกาสเปลี่ยนเป็นตับแข็งจะสูงซึ่งจะเพิ่มโอกาสเกิดมะเร็งตับร่วมด้วย การพยากรณ์โรคจึงไม่ดี
นอกจากนี้ ถ้ามีเหล็กสะสมมากในหลายๆอวัยวะจนก่อหลากหลายอาการ การพยากรณ์โรคจะแย่กว่าการมีเหล็กสะสมจำกัดในแต่ละอวัยวะและยังไม่มีอาการ
เนื่องจากผู้ป่วยโรค/ภาวะเหล็กเกิน/ธาตุเหล็กเกินมีพยาธิสภาพเกิดได้กับหลากหลายอวัยวะแตกต่างกันในแต่ละผู้ป่วย ดังนั้นการพยากรณ์โรคจึงต่างกันในแต่ละผู้ป่วย แพทย์ผู้ดูแลรักษาเท่านั้นที่จะให้การพยากรณ์โรคได้เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยเป็นรายๆไป
ดูแลตนเองอย่างไร?
การดูแลตนเองเมื่อมีโรค/ภาวะเหล็กเกิน/ธาตุเหล็กเกิน ได้แก่
- ปฏิบัติตาม แพทย์ พยาบาล แนะนำ
- กินยา/ใช้ยาที่แพทย์สั่งให้ถูกต้อง ไม่หยุดยาเอง
- ดูแลตนเองทั่วไป ดังได้กล่าวใน ‘ข้อย่อย ค. หัวข้อ การรักษาฯ’
- พบแพทย์/มาโรงพยาบาลตามแพทย์นัด
- พบแพทย์/มาโรงพยาบาลก่อนแพทย์นัดเมื่อ
- อาการต่างๆแย่ลงทั้งๆที่ กินยา/ใช้ยา และดูแลตนเองตามแพทย์ พยาบาล แนะนำแล้ว
- บวมน้ำต่อเนื่อง
- มีผลข้างเคียงต่อเนื่องจนกระทบการใช้ชีวิตประจำวันจากยาที่แพทย์สั่ง เช่น คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง
- กังวลในอาการ
ป้องกันภาวะเหล็กเกินอย่างไร?
การป้องกันโรค/ภาวะเหล็กเกิน/ ธาตุเหล็กเกิน คือ การหลีกเลี่ยงสาเหตุปัจจัยเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงได้
- กรณีมีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้: ควรพบแพทย์เพื่อตรวจว่าตนเองมีพันธุกรรมผิดปกติหรือไม่เพื่อการดูแลตนเองในชีวิตประจำวันและเพื่อการวางแผนครอบครัวเมื่อจะแต่งงานหรือจะมีบุตร
- กรณีเป็นโรคต่างๆที่เป็นปัจจัยเสี่ยง/สาเหตุเกิดโรคนี้ การป้องกันโรค/ภาวะเหล็กเกิน คือ รักษา ควบคุมโรคนั้นๆที่เป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงให้ได้ดี
- ดูแลตนเอง ไม่ใช้ยา อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร พร่ำเพื่อโดยไม่รู้ส่วนประกอบและผลข้างเคียง ควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนเสมอ โดยเฉพาะธาตุเหล็ก และวิตามินซี
- ไม่ดื่ม หรือ ควรจำกัดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: เพราะแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดตับแข็งและมีธาตุเหล็กสะสมในตับสูงเกินปกติ
- รีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาลเมื่อมีอาการผิดปกติต่างๆดังกล่าวใน’หัวข้ออาการฯ’ เพื่อหาสาเหตุของอาการเหล่านั้น เพื่อการวินิจฉัยและรักษาได้รวดเร็วก่อนอวัยวะเหล่านั้นเสียหายจนรักษาแก้ไขรักษาไม่ได้
บรรณานุกรม
- https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/14971-hemochromatosis-iron-overload [2022,Jan1]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Iron_overload [2022,Jan1]
- https://emedicine.medscape.com/article/177216-overview#showall [2022,Jan1]
- https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK526131/ [2022,Jan1]
- https://www.niddk.nih.gov/health-information/liver-disease/hemochromatosis [2022,Jan1]