กระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
- 17 ธันวาคม 2565
- Tweet
สารบัญ
- บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
- กระเพาะปัสสาวะอักเสบมีปัจจัยเสี่ยงจากอะไรบ้าง?
- กระเพาะปัสสาวะอักเสบมีอาการอย่างไร?
- แพทย์วินิจฉัยกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้อย่างไร?
- รักษากระเพาะปัสสาวะอักเสบได้อย่างไร?
- กระเพาะปัสสาวะอักเสบมีผลข้างเคียงไหม?
- กระเพาะปัสสาวะอักเสบรุนแรงไหม?
- ดูแลตัวเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
- ป้องกันกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้อย่างไร?
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ (Urinary tract infection)
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually transmitted disease)
- กรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis)
- มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ (Urinary bladder cancer)
- ปวดท้องน้อย (Pelvic pain)
- นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ (Vesical calculi)
- ท่อปัสสาวะอักเสบ (Urethritis)
- ต่อมลูกหมากโต หรือ บีพีเอช (Benign prostatic hypertrophy or BPH)
บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis หรือ Lower urinary tract infection) คือ โรคที่เกิดจากกระเพาะปัสสาวะติดเชื้อแบคทีเรีย พบได้ทุกอายุ ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ ทั่วไปพบสูงในช่วงอายุ 20-50 ปี, พบในเพศหญิงบ่อยกว่าเพศชายมาก อธิบายจาก ท่อปัสสาวะเพศหญิงสั้นกว่าของเพศชายมาก เชื้อโรคบริเวณปากท่อปัสสาวะจึงเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะได้ง่ายกว่า, นอกจากนั้น ปากท่อปัสสาวะเพศหญิง ยังเปิดสู่ภายนอกในบริเวณใกล้กับ ช่องคลอด และทวารหนัก จึงมีโอกาสติดเชื้อทั้งจากทั้งช่องคลอดและทวารหนัก สูงกว่าในเพศชาย
อนึ่ง: เชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของกระเพาะปัสสาวะอักเสบมีหลายชนิด แต่ประมาณ 75-95% เกิดจากเชื้อ อีโคไล (E. coli, Escherichia coli)
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ พบเกิดได้ทั้งจาก ‘กระพะปัสสาวะอักเสบเฉียบพลัน’ ที่อาการเกิดทันที และรักษาหายได้ภายใน 1-3 สัปดาห์, หรือจาก ‘กระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรัง’ ซึ่งมีการอักเสบเป็นๆ หายๆ เรื้อรังแต่มักมีอาการรุนแรงน้อยกว่าการอักเสบเฉียบพลัน
ทั่วโลก กระเพาะปัสสาวะอักเสบพบบ่อยโดยเฉพาะเพศหญิง ไม่ขึ้นกับเชื้อชาติ แต่ยังไม่มีรายงานสถิติเกิดเฉพาะของกระเพาะปัสสาวะ มักรายงานรวมอยู่ในโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ (กรวยไตอักเสบ, กระเพาะปัสสาวะอักเสบ,และท่อปัสสาวะอักเสบ), มีรายงานจากประเทศสวีเดนพบสตรีสวีเดน1ใน5รายจะเกิดโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะอย่างน้อย1ครั้งในชีวิต
กระเพาะปัสสาวะอักเสบมีปัจจัยเสี่ยงจากอะไรบ้าง?
ปัจจัยเสี่ยงของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เช่น
- เพศหญิง: ด้วยเหตุผลทางสรีรวิทยาดังกล่าวแล้วใน ‘บทนำฯ’
- เพศหญิงวัยหมดประจำเดือน: จากร่างกาย/อวัยวะเพศขาดฮอร์โมนเพศหญิงจึงแห้งและติดเชื้อได้ง่ายที่รวมไปถึงการติดเชื้อของกระเพาะปัสสาวะ/ปัสสาวะอักเสบที่เรียกว่า ’โรคจีเอสเอ็ม (GSM: Genitourinary syndrome of menopause: กลุ่มอาการทางอวัยวะเพศและปัสสาวะในวัยหมดประจำเดือน, อ่านรายละเอียด บทความนี้ได้จากเว็บ haamor.com)
- ผู้สูงอายุ: เพราะสุขอนามัยบริเวณอวัยวะเพศไม่ดีโดยเฉพาะผู้ที่ขาดคนดูแล นอกจากนั้นมักไม่ค่อยได้เคลื่อนไหว มักนั่งๆนอนๆ และดื่มน้ำน้อย, ปัสสาวะจึงแช่ค้าง หรือกักคั่งในกระเพาะปัสสาวะ ส่งผลเชื้อโรค/แบคทีเรียจึงเจริญเติบโตได้ดี
- กลั้นปัสสาวะนาน: ส่งผลให้ปัสสาวะแช่ค้างในกระเพาะปัสสาวะ เชื้อโรคในปัสสาวะจึงเจริญเติบโตได้ดี
- ดื่มน้ำน้อย: จึงส่งผลให้ไม่ค่อยปวดปัสสาวะ ปัสสาวะจึงแช่ค้างในกระเพาะปัสสาวะที่ส่งผลให้เชื้อโรคในปัสสาวะจึงเจริญได้ดี
- โรคเบาหวาน: เพราะเป็นโรคก่อการอักเสบติดเชื้อของเนื้อเยื่อต่างๆได้ง่ายรวมทั้งของกระเพาะปัสสาวะ
- โรคที่ต้องนั่งๆนอนๆตลอดเวลา: เช่น โรคหลอดเลือดสมอง/อัมพาต ฯลฯ จะส่งผลให้ปัสสาวะแช่ค้างอยู่นานในกระเพาะปัสสาวะ
- ใช้สายสวนปัสสาวะ: โดยเฉพาะต้องคาสายสวนปัสสาวะนานๆ หรือตลอดเวลา เช่น หลังผ่าตัด หรือ ในโรคอัมพฤกษ์/อัมพาต เพราะกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะจะบาดเจ็บจากสายสวนนั้น จึงติดเชื้อได้ง่าย รวมทั้งอาจติดเชื้อจากเชื้อที่ตัวสายสวนปัสสาวะเองที่ดูแลไม่สะอาดพอ
- มีโรคเรื้อรังของท่อปัสสาวะหรือท่อปัสสาวะตีบ: จากสาเหตุต่างๆ เช่น จากการใช้สายสวนปัสสาวะต่อเนื่อง, จากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (เช่น โรคหนองใน โรคหนองในเทียม), จึงส่งผลให้ปัสสาวะลำบาก จึงมีปัสสาวะคั่งในกระเพาะปัสสาวะ แบคทีเรียในปัสสาวะจึงเจริญเติบโตได้ดี
- โรคนิ่วระบบทางเดินปัสสาวะ ทั้งนิ่วในไต และนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ที่จะส่งผลให้ปัสสาวะไหลออกยาก ปัสสาวะจึงกักคั่งในกระเพาะปัสสาวะจนเกิดเป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรีย
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์: ที่จะส่งผลให้แบคทีเรียลุกลามเข้าระบบปัสสาวะที่อยู่ใกล้เคียงได้ง่าย
- หญิงตั้งครรภ์: เพราะการกดเบียดทับของครรภ์ต่อกระเพาะปัสสาวะ มักก่อปัญหาปัสสาวะไม่หมด เกิดปัสสาวะแช่ค้างในกระเพาะปัสสาวะ จึงเกิดการติดเชื้อได้ง่าย
- ใช้สเปรย์ดับกลิ่นบริเวณอวัยวะเพศ: เพราะจะก่อการระคายเคืองเนื้อเยื่อปากท่อปัสสาวะ และปากช่องคลอด (ในเพศหญิง) เพิ่มโอกาสเกิดการบาดเจ็บและ ติดเชื้อของเนื้อเยื่อเหล่านั้น และลามเป็นการติดเชื้อของกระเพาะปัสสาวะได้ง่าย
- ผู้หญิงซึ่งใช้วิธีคุมกำเนิดด้วยยาฆ่าอสุจิ (อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง การคุมกำเนิดด้วยยาฆ่าอสุจิ), หรือการใช้ฝา/หมวกครอบปากมดลูก (Cervical diaphragm), เพราะเป็นสาเหตุก่อการระคายเคืองและบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อปากท่อปัสสาวะและปากช่องคลอด ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย
- ในเพศชาย: มักสัมพันธ์กับต่อมลูกหมากโต และ/หรือ ต่อมลูกหมากอักเสบติดเชื้อ ส่งผลให้ปัสสาวะไม่หมดเพราะท่อปัสสาวะจะถูกกดทับหรือระคายอักเสบจากโรคดังกล่าว ปัสสาวะจึงแช่ค้างในกระเพาะปัสสาวะ ส่งผลให้แบคทีเรียเจริญได้ดี กระเพาะปัสสาวะจึงอักเสบได้ง่าย
กระเพาะปัสสาวะอักเสบมีอาการอย่างไร?
อาการพบบ่อยของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เช่น
- ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะครั้งละน้อยๆ ปวด เบ่ง แสบ โดยเฉพาะตอนสุดปัสสาวะ
- ปัสสาวะเป็นเลือด อาจมองเห็นด้วยตาเปล่า คือ ปัสสาวะสีชมพู หรือเป็นเลือด หรือมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าแต่ตรวจพบเม็ดเลือดแดงได้จากการตรวจปัสสาวะ
- ปัสสาวะขุ่น (ปัสสาวะปกติต้องใส) หรือ อาจเป็นหนองขึ้นกับความรุนแรงของโรค และ/หรือ มีกลิ่นผิดกติ
- ปวดท้องน้อย
- มีไข้ มีได้ทั้งไข้สูงหรือไข้ต่ำ(พบได้บ่อยกว่า) แต่มักไม่มีไข้เมื่อเป็นการอักเสบเรื้อรัง
- บางครั้งอาจมีสารคัดหลังบริเวณอวัยวะเพศร่วมด้วย เมื่อเกิดจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- อาจมีคลื่นไส้อาเจียนได้ เมื่อเป็นการติดเชื้อเฉียบพลัน
- อาจมีนิ่วปนออกมาในปัสสาวะ เมื่อเกิดร่วมกับ นิ่วในไต หรือ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
แพทย์วินิจฉัยกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้จาก
- ประวัติอาการ
- การตรวจร่างกาย
- การตรวจปัสสาวะ และ
- อาจมีการสืบค้นอื่นๆเพิ่มเติมขึ้นกับอาการผู้ป่วยและดุลพินิจของแพทย์ เช่น
- ตรวจเลือดซีบีซี (CBC)
- ตรวจเพาะเชื้อจากปัสสาวะ และ/หรือ
- ส่องกล้องตรวจกระเพาะปัสสาวะ
รักษากระเพาะปัสสาวะอักเสบได้อย่างไร?
แนวทางการรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ:
- ให้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งชนิด ขนาดยา ขึ้นกับแพทย์ที่รักษา
- รักษาสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง เช่น รักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ , ให้ฮอร์โมนชดเชยกรณีมีปัจจัยเสี่ยงจากภาวะขาดฮอร์โมนเพศ
- และการรักษาประคับประคองตามอาการ/รักษาตามอาการ: เช่น ยาแก้ปวดชนิดออกฤทธิ์คลายการบีบตัวของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ, และดื่มน้ำมากๆ เช่น วันละอย่างน้อย 1.5-2 ลิตร เมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม (เช่น ภาวะหัวใจล้มเหลว)
กระเพาะปัสสาวะอักเสบมีผลข้างเคียงไหม?
ผลข้างเคียงจากกระเพาะปัสสาวะอักเสบ คือ การลุกลามเป็นการอักเสบของกรวยไต (กรวยไตอักเสบ) และของไต (ไตอักเสบติดเชื้อ) ซึ่งเมื่อกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เรื้อรังอาจส่งผลให้เกิดโรคไตเรื้อรังได้, หรือเมื่อการอักเสบติดเชื้อที่รุนแรงอาจลุกลามเป็นภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด(ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ), ซึ่งทั้ง2กรณีหลัง เป็นสาเหตุให้ถึงตายได้
กระเพาะปัสสาวะอักเสบรุนแรงไหม?
โดยทั่วไป กระเพาะปัสสาวะอักเสบมีการพยากรณ์โรคที่ดี โรคไม่รุนแรง, แพทย์รักษาได้หายเสมอ, แต่ถ้ามีอาการมากและไม่พบแพทย์เพื่อให้ได้การรักษาที่ถูกต้อง อาจกลายเป็นการติดเชื้อรุนแรงจนเกิดผลข้างเคียงดังกล่าวใน หัวข้อ ผลข้างเคียงฯ
ดูแลตัวเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
ก. ควรพบแพทย์เมื่อ:
- มีอาการดังกล่าวใน’หัวข้อ อาการฯ’ โดยเฉพาะเมื่อมีอาการครั้งแรก เพราะกระเพาะปัสสาวะอักเสบมีสาเหตุที่หลากหลายที่ต้องวินิจฉัยให้ถูกต้อง และควรต้องได้ ยาปฏิชีวนะ ซึ่งการซื้อยากินเองอาจทำให้ได้ยาไม่ตรงกับสาเหตุ หรือกับชนิดของเชื้อโรค, ขนาดและระยะเวลาในการใช้ยาไม่ถูกต้อง, จึงอาจส่งผลให้โรคไม่หาย และอาจกลายเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบเรื้อรัง หรือ เกิดเชื้อดื้อยาได้
- มีปัสสาวะเป็นเลือด เพราะอาจเกิดจาก
- โรคไต
- นิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น นิ่วในไต นิ่วในท่อไต, นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
- มะเร็งระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น มะเร็งไต, มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
- โรคเลือด ที่ทำให้มีเกล็ดเลือดต่ำ
- กินยา/ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่นยา แอสไพริน, วาร์ฟาริน (Warfarin)
ข. การดูแลตนเองก่อนพบแพทย์: ที่สำคัญคือ
- ดื่มน้ำให้มากๆ อย่างน้อยวันละ5-2ลิตรเมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม
- ไม่กลั้นปัสสาวะ
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- รีบพบแพทย์เมื่อ อาการไม่ดีขึ้นหลังดูแลตนเอง, หรืออาการแย่ลง, หรืออาการแย่ตั้งแต่แรก โดยเฉพาะในสตรีวัยหมดประจำเดือนจากโรคจีเอสเอ็ม
ค. การดูแลตนเองหลังพบแพทย์แล้ว: ที่สำคัญ เช่น
- ปฏิบัติตามแพทย์ พยาบาล แนะนำ
- กินยา/ใช้ยาที่แพทย์สั่งให้ถูกต้อง ไม่หยุดยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ก่อน
- ดื่มน้ำสะอาดมากๆ อย่างน้อย 1.5-2 ลิตรต่อวัน เมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม
- ไม่กลั้นปัสสาวะนาน
- พยายามเคลื่อนไหวร่างกายเสมอ
- ไม่ควรใช้สเปรย์ดับกลิ่นบริเวณอวัยวะเพศ เพราะจะก่อการระคายเคืองเนื้อเยื่อปากท่อปัสสาวะและปากช่องคลอด เพิ่มโอกาสเกิดการบาดเจ็บและการติดเชื้อของเนื้อเยื่อ
- ในผู้หญิงเมื่อทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศ หรือในการขับถ่าย ต้องทำจากด้านหน้าไปด้านหลังเสมอ เพื่อป้องกันการปนเปื้อนแบคทีเรียจากปากทวารหนัก เข้าสู่ปากช่องคลอดและปากท่อปัสสาวะ
- ในผู้หญิง ไม่ใช้วิธีคุมกำเนิดด้วยยาฆ่าอสุจิ หรือ การใช้ฝาครอบปากมดลูก เพราะเป็นสาเหตุก่อการระคายเคืองและบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อปากท่อปัสสาวะและปากท่อช่องคลอด ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ลดโอกาสติดเชื้อรุนแรง และลดเชื้อแพร่ไปสู่ผู้อื่น
- พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามนัดเสมอ และรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัดเมื่อ
- มีอาการผิดปกติไปจากเดิม เช่น ปัสสาวะเป็นเลือด หรือ เป็นเลือดมากขึ้น
- อาการต่างๆแย่ลง
- กังวลในอาการ
ป้องกันกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้อย่างไร?
การป้องกันโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ที่สำคัญ เช่น
- ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว เมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม
- ไม่กลั้นปัสสาวะนาน
- พยายามเคลื่อนไหวร่างกายเสมอ, ไม่นั่งนานๆ
- รักษาควบคุมโรคต่างๆที่เป็นปัจจัยเสี่ยงให้ได้ดี
- รักษาความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศและในการขับถ่าย, และควรล้าง/เช็ด เมื่ออุจจาระ/ปัสสาวะจากด้านหน้าไปด้านหลัง (ในเพศหญิง)
- ไม่ควรใช้สเปรย์ หรือ ยาดับกลิ่นตัวในบริเวณอวัยวะเพศ
- ในเพศหญิง: ไม่ควรใช้วิธีคุมกำเนิดด้วยการใช้น้ำยาฆ่าอสุจิ หรือการใช้ฝาครอบปากมดลูก
- การอาบน้ำในอ่าง อาจเพิ่มโอกาสติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
- ไม่ส่ำส่อนทางเพศ, และฝ่ายชายควรใช้ถุงยางอนามัยชายในเพศสัมพันธ์ทุกครั้งเพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ)เพื่อสุขภาพแข็งแรง ลดโอกาสติดเชื้อต่างๆ รวมทั้งโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
บรรณานุกรม
- Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
- Mehnert-Kay, S. (2005). Diagnosis and management of uncomplicated urinary tract infections. Am Fam Physician. 72, 451-456.
- https://emedicine.medscape.com/article/233101-overview#showall [2022,Dec17]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Urinary_tract_infection [2022,Dec17]
- https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6502976/ [2022,Dec17]