ท่อปัสสาวะอักเสบ (Urethritis)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
- 24 กันยายน 2565
- Tweet
สารบัญ
- บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
- โรคท่อปัสสาวะอักเสบเกิดได้อย่างไร?
- ใครมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคท่อปัสสาวะอักเสบ?
- โรคท่อปัสสาวะอักเสบมีอาการอย่างไร?
- แพทย์วินิจฉัยโรคท่อปัสสาวะอักเสบได้อย่างไร?
- รักษาโรคท่อปัสสาวะอักเสบได้อย่างไร?
- โรคท่อปัสสาวะอักเสบรุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงอย่างไร?
- ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
- ป้องกันโรคท่อปัสสาวะอักเสบได้อย่างไร?
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ (Urinary tract infection)
- โรคติดเชื้อ ภาวะติดเชื้อ (Infectious disease)
- ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics)
- กายวิภาคและสรีรวิทยาของระบบทางเดินปัสสาวะ (Anatomy and physiology of Urinary tract)
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually transmitted disease)
- ถุงยางอนามัยชาย (Male Condom)
- หนองใน (Gonorrhea)
- หนองในเทียม (Chlamydia infection)
บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
ท่อปัสสาวะอักเสบ (Urethritis) คือ การบาดเจ็บ อักเสบ บวม ของเซลล์เนื้อเยื่อเมือกที่บุท่อปัสสาวะ เกิดได้จากหลายสาเหตุแต่พบบ่อยที่สุด คือ จากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยเฉพาะจากเชื้อแบคทีเรีย, อาการพบบ่อย เช่น แสบขัดเมื่อปัสสาวะ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ อาจมีสารคัดหลั่งออกมาจากปากท่อปัสสาวะ และอาจมีปัสสาวะเป็นเลือดร่วมด้วย
ท่อปัสสาวะคืออวัยวะอะไร?
ท่อปัสสาวะ (Urethra) เป็นท่อยาวขนาดเล็ก มีท่อเดียว เชื่อมต่อออกจากกระเพาะปัสสาวะและเปิดออกสู่ภายนอกร่างกายในบริเวณอวัยวะเพศภายนอก (ปากท่อปัสสาวะ)
ท่อปัสสาวะ มีหน้าที่นำส่งปัสสาวะจากกระเพาะปัสสาวะออกสู่ภายนอกร่างกาย, ผนังท่อปัสสาวะประกอบด้วยเนื้อเยื่อหลัก คือเนื้อเยื่อเมือกบุภายในท่อ และกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่บีบตัวเพื่อการขับส่งน้ำปัสสาวะ
ในเพศชาย: ท่อปัสสาวะจะมีขนาดยาวโดยเฉลี่ยประมาณ 20 เซนติเมตร (ซม.) และมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3-4 มิลลิเมตร (มม.), โดยมีทั้งส่วนที่อยู่ภายใน และส่วนที่อยู่ภายนอกร่างกาย ส่วนสั้นๆจะอยู่ภายในร่างกาย เป็นส่วนที่ติดกับกระเพาะปัสสาวะ และหุ้มล้อมด้วยต่อมลูกหมาก, ส่วนที่เหลือต่อจากนั้น เป็นส่วนมีขนาดยาวกว่า อยู่ภายในตรงกลางตลอดความยาวของอวัยวะเพศชาย ท่อปัสสาวะเพศชายส่วนใหญ่จึงเป็นอิสสระอยู่ภายนอกร่างกาย และมีโอกาสสัมผัสกับเชื้อโรคโดยตรงได้น้อยกว่าในเพศหญิงมาก ดังนั้นโอกาสเกิดการติดเชื้อของท่อปัสสาวะในผู้ชายจึงพบน้อยกว่าในผู้หญิงมาก ซึ่งส่วนใหญ่ เกิดจาก ‘โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เรียกย่อว่า โรคเอสทีไอ หรือ โรคเอสทีดี (STI, Sexual transmitted infection หรือ STD, Sexual transmitted disease หรือ Venereal disease/กามโรค), ซึ่งโรคที่เป็นสาเหตุบ่อยของท่อปัสสาวะอักเสบ คือ โรค 'หนองใน' บางคนเรียกว่า โรคหนองในแท้,และโรค 'หนองในเทียม'
ในเพศหญิง: ท่อปัสสาวะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3-4 มม. เช่นเดียวกับในเพศชาย แต่มีขนาดสั้นกว่ามาก ยาวเพียงประมาณ 4 ซม. และอยู่ในร่างกายทั้งหมด, โดยมี รูเปิดนำปัสสาวะออกนอกร่างกายในบริเวณใต้แคมเล็กของอวัยวะเพศภายนอก ซึ่งใกล้กับปากช่องคลอดและปากทวารหนัก ดังนั้นท่อปัสสาวะในเพศหญิงจึงติดเชื้อได้ง่ายกว่าใน เพศชายมาก เพราะสัมผัสกับเชื้อโรคโดยตรงจาก อวัยวะเพศภายนอก มดลูก ปากมดลูก ช่องคลอด อุจจาระ/ปากทวารหนัก และจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
ท่อปัสสาวะอักเสบ/โรคท่อปัสสาวะอักเสบ พบบ่อยทั่วโลก(จากโรคหนองในประมาณ 62 ล้านคน/ปี, และจากโรคติดเชื้อที่’ไม่ใช่หนองใน’ประมาณ 89 ล้านคน/ปี), พบทุกเพศ (มีรายงานทั่วโลกพบท่อปัสสาวะอักเสบจากหนองในเทียมประมาณ3.8%ในเพศหญิง และ 0.7%ในเพศชาย), พบทุกวัย ตั้งแต่เด็ก (นิยามคำว่าเด็ก) จนถึงผู้สูงอายุ ซึ่งมักมีสาเหตุจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยเฉพาะจากหนองในเทียม ดังนั้นท่อปัสสาวะอักเสบจึงพบสูงในช่วงวัยที่มีเพศสัมพันธ์สูง คือ 20-35 ปี
โรคท่อปัสสาวะอักเสบเกิดได้อย่างไร?
สาเหตุที่ทำให้เกิดท่อปัสสาวะอักเสบ//โรคท่อปัสสาวะอักเสบ ที่พบบ่อย คือ จากการติดเชื้อ (ประมาณ 80-95%ของการอักเสบทั้งหมด) และสาเหตุที่ไม่ใช่จากการติดเชื้อ (ประมาณ 5-20%)
- สาเหตุจากการติดเชื้อ: ที่พบบ่อย คือ จากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และส่วนน้อยเกิดจากเชื้ออื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับเพศสัมพันธ์
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์: ยังแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มย่อย คือ
- กลุ่มติดเชื้อจากโรคหนองใน หรือโกโนเรีย
- และ กลุ่มติดจากเชื้อที่ไม่ใช่หนองใน: เช่น โรคเริม, โรคซิฟิลิส, โรคหนองในเทียม, การติดเชื้อทริโคโมแนส, เอชไอวี, หรือ โรคเอดส์
- การติดเชื้อที่ไม่ใช่จากเพศสัมพันธ์: เช่นเชื้อ อีโคไล ( coli), สแตฟ (Staphylococcus), หรือ ซูโดโมแนส (Pseudomonas) ซึ่งอาจติดต่อผ่านมาจาก ลำไส้ (ทางอุจจาระ), หรือทางไต/กระเพาะปัสสาวะและทางน้ำปัสสาวะ
- สาเหตุที่ไม่ใช่จากการติดเชื้อ: แต่อาจก่อการติดเชื้อตามมาได้ในภายหลัง ที่พบบ่อย เช่น
- การบาดเจ็บของท่อปัสสาวะจากการสวนปัสสาวะเช่น ในการผ่าตัด การใส่คา สายสวนปัสสาวะในผู้ป่วยอัมพาต
เนื้อเยื่อเมือกบุท่อปัสสาวะได้รับสารก่อการระคายเคืองต่างๆ เช่น น้ำยา หรือ สเปรย์ ต่างๆที่ใช้ทำความสะอาด หรือ ดับกลิ่น บริเวณอวัยวะเพศ
ใครมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคท่อปัสสาวะอักเสบ?
ผู้มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดท่อปัสสาวะอักเสบ/โรคท่อปัสสาวะอักเสบ เช่น
- ผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์
- ผู้ชายช่วงวัย 20-35 ปี
- มีเพศสัมพันธ์สำส่อน
- ไม่ใช้ถุงยางอนามัยชายในการมีเพศสัมพันธ์
- มีประวัติเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาก่อน
- มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักหรือ ทางปาก
- ผู้หญิงที่คุมกำเนิดโดยใช้ยาฆ่าเชื้ออสุจิเพราะยาจะก่อการระคายเคือง และบาดเจ็บต่ออวัยวะเพศและต่อปากท่อปัสสาวะจึงเกิดการติดเชื้อได้ง่าย
ผู้หญิงที่คุมกำเนิดด้วยการใส่ฝาครอบปากมดลูก (Diaphragm) เพราะในการสวมใส่ จะก่อการบาดเจ็บต่อช่องคลอดและปากท่อปัสสาวะ และ/หรือจากความไม่สะอาดของฝาครอบฯ จึงเกิดการติดเชื้อได้ง่าย
โรคท่อปัสสาวะอักเสบมีอาการอย่างไร?
อาการของท่อปัสสาวะอักเสบ/โรคท่อปัสสาวะอักเสบ ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย มีทั้งที่เหมือนกัน และที่แตกต่างกัน ทั้งนี้เพราะจากลักษณะทางกายวิภาคบางอย่างที่แตกต่างกันในทั้ง 2 เพศ
ก. อาการท่อปัสสาวะอักเสบใน’เพศหญิง’: ที่พบบ่อย เช่น
- อาจไม่มีอาการ: แต่เมื่อมีการตรวจปัสสาวะแล้วพบผิดปกติ แต่เชื้อโรคสามารถติดต่อสู่คู่นอนได้ถ้าเกิดจากการติดเชื้อ
- ปวดแสบ ขัด เวลาถ่ายปัสสาวะ
- ปัสสาวะบ่อย มักครั้งละน้อยๆ แต่ทั้งนี้ขึ้นกับปริมาณน้ำดื่มด้วย
- อาจมีปัสสาวะเป็นเลือด เป็นหนอง และ/หรือขุ่น กลิ่นฉุนกว่าปกติ
- ปวดท้องน้อย/อุ้งเชิงกราน แต่บางคนอาจปวดท้องทั่วไปร่วมด้วยได้
- บางคนอาจมีไข้ มีได้ทั้งไข้สูง หรือไข้ต่ำ อาจรู้สึกหนาวสั่น
- อาจมีตกขาว เมื่อเกิดร่วมกับการติดเชื้อของ มดลูก ปากมดลูก และ/หรือช่องคลอด
- เจ็บปวดเมื่อมีเพศสัมพันธ์/ เจ็บเมื่อร่วมเพศ
ข. อาการท่อปัสสาวะอักเสบใน’เพศชาย’: ที่พบบ่อย เช่น
- อาจไม่มีอาการ: ตรวจพบได้จากการตรวจปัสสาวะพบผิดปกติ แต่เชื้อโรคสามารถติดต่อสู่คู่นอนได้เมื่อเกิดจากการติดเชื้อ เช่นเดียวกับในเพศหญิง
- ปัสสาวะแสบ ขัด อาจ ปัสสาวะเป็นเลือดเป็นหนอง ขุ่น ปัสสาวะบ่อย กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
- อาจมีไข้มีได้ทั้งไข้สูง หรือไข้ต่ำ หรือ ไม่มีไข้
- อาจมีหนองออกจากปลายท่อปัสสาวะ (ปลายอวัยวะเพศ)
- อาจคลำได้ต่อมน้ำเหลืองขาหนีบบวมโตเจ็บ ข้างเดียว หรือ ทั้งสองข้าง
- เจ็บปวด เมื่อมีเพศสัมพันธ์ และเมื่อหลั่งน้ำอสุจิ
แพทย์วินิจฉัยโรคท่อปัสสาวะอักเสบได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยท่อปัสสาวะอักเสบ/โรคท่อปัสสาวะอักเสบ ได้จาก:
- ประวัติอาการของผู้ป่วย ประวัติการมีเพศสัมพันธ์
- การตรวจร่างกายรวมถึงการตรวจอวัยวะเพศภายนอก
- การตรวจภายในในผู้หญิง
- การตรวจปัสสาวะรวมถึง การตรวจเชื้อ และ/หรือ การตรวจเพาะเชื้อจากปัสสาวะ และ/หรือจากสารคัดหลั่งจากท่อปัสสาวะ
อาจมีการตรวจอื่นๆเพื่อการสืบค้นเพิ่มเติมตามดุลพินิจของแพทย์ เพื่อหาสาเหตุ เช่น ตรวจเลือดเมื่อสงสัยติดเชื้อเอชไอวีหรือโรคเอดส์ เป็นต้น
รักษาโรคท่อปัสสาวะอักเสบได้อย่างไร?
แนวทางการรักษาท่อปัสสาวะอักเสบ/โรคท่อปัสสาวะอักเสบ คือ การรักษาสาเหตุ ซึ่งส่วนใหญ่ คือ การกินยาปฏิชีวนะเพราะมักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวแล้ว ซึ่งชนิดยาปฏิชีวนะรวมถึงขนาดยาและระยะเวลาใช้ยาจะต่างกันขึ้นกับแต่ละโรค(แนะนำอ่านรายละเอียดโรคต่างๆที่เป็นสาเหตุฯได้จากเว็บhaamor.com)
นอกจากนั้น คือ การรักษาตามอาการ เช่น
- ให้ยาบรรเทาอาการปวด แสบ เมื่อปัสสาวะ
- ดื่มน้ำมากกว่าปกติ เช่น วันละ 8-10 แก้ว หรือ 1-2 ลิตร เมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม
- ควรหยุดมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะรักษาโรคได้หาย
*อนึ่ง: ที่สำคัญที่สุดอีกประการ คือ ควรต้องให้การรักษาคู่นอนด้วยเมื่อโรคเกิดจากการติดเชื้อ ถึงแม้บางคนไม่มีอาการก็ตาม
โรคท่อปัสสาวะอักเสบรุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงอย่างไร?
ความรุนแรง/การพยากรณ์โรคของท่อปัสสาวะอักเสบ/โรคท่อปัสสาวะอักเสบ ขึ้นกับสาเหตุ แต่โดยทั่วไปเป็นโรคไม่รุนแรง รักษาได้หายเสมอ ยกเว้นในโรคติดเชื้อ เอชไอวี หรือโรคเอดส์ หรือ เมื่อเกิดจากการต้องใส่คาสายสวนปัสสาวะตลอดไปจากโรคอัมพาต
ผลข้างเคียงจากโรคท่อปัสสาวะอักเสบ: มักเกิดจากได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง เช่น ซื้อยาปฏิชีวนะกินเองจนเกิดเชื้อดื้อยา, และที่พบบ่อยในเพศหญิง คือ การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน, ภาวะมีบุตรยาก, และการท้องนอกมดลูก
อนึ่ง: โรคท่อปัสสาวะอักเสบ ไม่เป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคมะเร็ง และไม่กลายพันธ์เป็นโรคมะเร็ง
ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
การดูแลตนเอง การพบแพทย์/มาโรงพยาบาล เมื่อมีท่อปัสสาวะอักเสบ/โรคท่อปัสสาวะอักเสบ หรือคู่นอนมีอาการ คือ
- ควรพบแพทย์/มาโรงพยาบาลเสมอ ไม่ควรรักษาตัวเองเมื่อมีอาการดังกล่าวใน’หัวข้อ อาการฯ’ และโดยเฉพาะเป็นกลุ่มเสี่ยงดังกล่าวใน’หัวข้อ ผู้มีปัจจัยเสี่ยงฯ’ ทั้งนี้เพื่อ แพทย์วินิจฉัยหาสาเหตุ หลังจากนั้น กินยาและปฏิบัติตามแพทย์แนะนำ รวมทั้งนำคู่นอนมาพบแพทย์ด้วย
- นอกจากนั้น เช่น
- งดมีเพศสัมพันธ์จนกว่าโรคจะหาย
- ไม่สำส่อนทางเพศ
- ใช้ถุงยางอนามัยชายเสมอเมื่อมีเพศสัมพันธ์
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ดื่มน้ำสะอาดให้มากขึ้นดังกล่าวแล้วใน’หัวข้อการรักษาฯ’
- กินอาหารมีประโยชน์ห้าหมู่ครบทุกมื้อ เพื่อให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน(สุขบัญญัติแห่งชาติ)
- ไม่ซื้อยาปฏิชีวนะกินเอง เพื่อป้องกันเชื้อดื้อยา
ป้องกันโรคท่อปัสสาวะอักเสบได้อย่างไร?
การป้องกันท่อปัสสาวะอักเสบ/ โรคท่อปัสสาวะอักเสบ คือการป้องกันสาเหตุ ซึ่งต่างกันในแต่ละสาเหตุ แต่สาเหตุพบบ่อยที่สุด คือ การติดเชื้อจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งการป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ ที่สำคัญ คือ
- ไม่สำส่อนทางเพศ
- เมื่อเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ควรต้องได้รับการรักษาที่ถูกต้องจากแพทย์ ทั้งตัวผู้ป่วยเอง และทั้งคู่นอน
- ใช้ถุงยางอนามัยชายชนิดที่ได้มาตรฐานเสมอเมื่อมีเพศสัมพันธ์
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เสมอ
บรรณานุกรม
- Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
- J. (2010). Diagnosis and treatment of urethritis in men. Am Fam Physician 81, 873-878.
- Kodner, C., and Gupton, E. (2010). Recurrent urinary tract infections in women: Diagnosis and management. Am Fam Physician. 82, 638-643.
- https://en.wikipedia.org/wiki/Urethra [2022,Sept24]
- https://emedicine.medscape.com/article/438091-overview#showall [2022,Sept24]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Urethritis [2022,Sept24]