เรื่องเฉพาะสตรี...มะเร็งปากมดลูก ตอนที่ 10

การป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกมีวิธีการใดบ้าง?

การป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ คือ

  1. การป้องกันปฐมภูมิ คือ การป้องกันโดยการหลีกเลี่ยงการได้รับสารก่อมะเร็ง การลดหรือการกำจัด สาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยง ที่เกี่ยวข้องกับการก่อให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูก หรือการทำให้ร่างกายสามารถต่อต้านสารก่อมะเร็งได้ (เช่น การให้วัคซีนต่อต้านไวรัสหูดหงอนไก่/วัคซีนเอชพีวี/วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก) การดำเนินชีวิตตามแนวทางชีวจิต โดยเฉพาะการได้รับสารอาหารจำพวกแคโรทีน (Carotene) วิตามินซี และวิตามินอี ในปริมาณที่เพียงพอ อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้) ตัวอย่างวิธีการป้องกันปฐมภูมิสำหรับมะเร็งปากมดลูก ได้แก่
    1. การไม่มีเพศสัมพันธ์เลย หรือมีกับคู่ของตนเพียงคนเดียว
    2. การหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย
    3. การหลีกเลี่ยงการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะโรคหูดหงอนไก่
    4. การคุมกำเนิดโดยใช้ถุงยางอนามัย (ลดการติดเชื้อลง แต่ไม่สามารถป้องกันได้ 100%)
    5. การงดสูบบุหรี่
  2. การป้องกันทุติยภูมิ คือ การค้นหามะเร็งให้เจอเสียตั้งแต่ในระยะความผิดปกติก่อนมะเร็ง หรือในระยะแรกเริ่มซึ่งการรักษาได้ผลดีอยู่ โรคมะเร็งปากมดลูกสามารถทำการตรวจคัดกรองได้โดย
    1. การทดสอบแพป หรือแพปสเมียร์ (Pap smear) ซึ่งมีอยู่ 2 วิธี คือ
      • แบบสามัญ มีความไวของการตรวจ 50-60%
      • แบบแผ่นบาง มีความไวของการตรวจ 70-85%
    2. การป้ายปากมดลูกด้วยน้ำส้มสายชูแล้วตรวจดูด้วยตาเปล่า มีความไวของการตรวจ 80-90%
    3. การตรวจหาเชื้อไวรัสหูดหงอนไก่ในสิ่งคัดหลั่งของปากมดลูกและช่องคลอด มีความไวของการตรวจสูงถึง 95-100% โดยความก้าวหน้าทางการแพทย์ในปัจจุบัน สามารถตรวจหาเชื้อไวรัสหูดหงอนไก่ชนิดก่อมะเร็งได้แล้ว แต่ยังมีค่าใช้จ่ายสูงอยู่ในประเทศไทยหากจะนำมาใช้เป็นการตรวจคัดกรอง
  3. การป้องกันตติยภูมิ ก็คือ การรักษาโรคมะเร็งให้ได้ผลดี ให้ผู้ป่วยได้หายจากโรคมะเร็ง มีชีวิตรอดอยู่ยาวนาน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีทั้งในระหว่างและภายหลังการรักษา

แหล่งข้อมูล:

  1. ตำรานรีเวชวิทยา ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
  2. ตำรานรีเวชวิทยา ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  3. http://www.cancer.gov/ access date 1st October, 2004.