ภาวะเกล็ดเลือดมาก (Thrombocytosis) และ ภาวะเกล็ดเลือดเกิน (Thrombocythemia)

สารบัญ

บทความที่เกี่ยวข้อง

 

บทนำ: คือโรคอะไร?

โรค/ภาวะเกล็ดเลือดมาก (Thrombocytosis) คือโรค/ภาวะที่เมื่อตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด(ซีบีซี/CBC)แล้วพบว่า มีค่าเกล็ดเลือดสูงเกินปกติ โดยผู้ป่วยอาจ มีอาการ หรือ ไม่มีอาการ ก็ได้ ทั้งนี้มีสาเหตุจากเซลล์สร้างเกล็ดเลือดของไขกระดูกทำงานมากเกินปกติ

เกล็ดเลือด (Platelet หรือ Thrombocyte) ย่อว่า Plt หรือ plt  คือ เซลล์เม็ดเลือดชนิดทำหน้าที่ช่วยป้องกันเลือดออกง่าย รวมถึงเมื่อมีเลือดออกก็จะช่วยให้เลือดหยุดโดยช่วยสร้างลิ่มเลือดเพื่ออุดกั้น/อุดตันรอยรั่วหรือบาดแผลที่ทำให้เลือดออก ทั้งนี้ปริมาณปกติของเกล็ดเลือดจากการตรวจซีบีซี  คือประมาณ 150,000-400,000 เซลล์ต่อเลือด 1 ไมโครลิตร (µL หรือ mcl หรือ Microliter)

เกล็ดเลือดมากมีสาเหตุจากอะไร? มีกี่แบบ? พบบ่อยไหม?

 

โรค/ภาวะเกล็ดเลือดมาก หรือ เกล็ดมาก หรือ เกล็ดเลือดสูง แบ่งโดยสาเหตุเป็น2  ชนิด/แบบ คือ ชนิดปฐมภูมิ และ ชนิดทุติยภูมิ 

ก. เกล็ดเลือดมากปฐมภูมิ (Primary Thrombocytosis อีกชื่อคือ Non-reactive thrombocytosis): คือ ภาวะเกล็ดเลือดมากที่เกิดจากความผิดปกติของตัวไขกระดูกเองที่ทำให้เซลล์สร้างเกล็ดเลือดในไขกระดูกทำงานมากเกินไป  ซึ่ง

  • ในผู้ป่วยที่แพทย์หาสาเหตุไม่พบ: จะเรียกภาวะนี้ว่า ‘Essential thrombocythemia หรือ Essential Thrombocytosis ซึ่งชื่อภาษาไทย คือ ‘ภาวะเกล็ดเลือดเกิน’ โดยเรียกย่อว่า อีที/ET   
  • แต่ผู้ป่วยบางราย(พบได้น้อย)พบสาเหตุโดยจากมีความผิดปกติทางพันธุกรรมชนิดไม่ถ่ายทอด: ซึ่งพันธุกรรม/จีน/ยีน/Gene ผิดปกติที่ทำให้เกิดภาวะนี้ เช่น  Janus kinase2 (JAK2), Calreticulin(CALR), Myeloproliferative leukemia virus oncogene (MPL), หรือ Thrombopoietin  genes(THPO)

*หมายเหตุ: คำแปลภาษาไทยของ Thrombocytosis และ Thrombocythemia มาจากหนังสือ ศัพท์แพทยศาสตร์ อังกฤษ-ไทย ไทย-อังกฤษ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2547

เกล็ดเลือดมากปฐมภูมิ มีธรรมชาติของโรคที่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว โรคคงอยู่ตลอดไป  รักษาไม่หาย  การรักษาเพียงเพื่อลดการสร้างเกล็ดเลือด  ซึ่งเมื่อหยุดรักษา ไขกระดูกก็จะกลับมาสร้างเกล็ดเลือดมากเกินอีก

ทั้งนี้ เกล็ดเลือดมากปฐมภูมิ พบประมาณ 30 รายต่อประชากร 1แสนคน, ส่วนใหญ่ พบในอายุตั้งแต่ 60ปีขึ้นไป  ประมาณ 20%พบในอายุน้อยกว่า 40 ปี และพบได้น้อยมากในเด็ก,  ในกลุ่มผู้สูงอายุ จะพบภาวะนี้ได้เท่ากันทั้งในเพศหญิงและเพศชาย แต่ในกลุ่มอายุน้อยจะพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชายประมาณ 2 เท่า

ข. เกล็ดเลือดมากทุติยภูมิ(Secondary thrombocytosis หรือ Reactive thrombocytosis) คือภาวะที่ปริมาณเกล็ดเลือดเพิ่มมากขึ้นจากเซลล์สร้างเกล็ดเลือด/ไขกระดูกถูกกระตุ้นให้ทำงานเกินจากปัจจัยภายนอกไขกระดูก ที่พบบ่อย เช่น  

  • ภาวะโลหิตจาง/ภาวะซีด/โรคซีด โดยเฉพาะภาวะโลหิตจางจากขาดธาตุเหล็ก ที่เป็นสาเหตุพบบ่อย
  • ร่างกายติดเชื้อต่างๆ โดยเฉพาะชนิดเรื้อรัง เช่น วัณโรค ซึ่งเป็นสาเหตุพบบ่อยเช่นกัน
  • ร่างกายมีโรคที่เกิดจากการอักเสบที่ 'ไม่ใช่จากการติดเชื้อ' เช่น โรคข้อรูมาตอยด์ โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง    โรคซาร์คอยโดซิส
  • ร่างกายมีเลือดออก ทั้งแบบเลือดออกเฉียบพลัน(เช่น จากอุบัติเหตุ การผ่าตัดที่มีการเสียเลือด) หรือ แบบเลือดออกเรื้อรัง (เช่น จากโรคริดสีดวงทวาร)
  • โรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งในระบบโรคเลือด/ระบบโลหิตวิทยา เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาวซีเอ็มแอล
  • ผู้ที่ไม่มีม้าม ทั้งจาก ไม่มีม้ามแต่กำเนิด หรือ จากการตัดม้ามออก
  • ภาวะที่ทำให้เกิดการตายของเม็ดเลือดแดงก่อนกำหนด เช่น โลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตก ภาวะขาดเอนไซม์จีซิกพีดี   โรคธาลัสซีเมีย
  • ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด(อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา) เช่นยา Epinephrine, Tretinoin,  Heparin, Erythropoietin

ภาวะเกล็ดเลือดมากทุติยภูมิ พบได้บ่อย บ่อยกว่าชนิดปฐมภูมิมาก โดยในผู้ใหญ่พบเป็นประมาณ 88-97% ของภาวะเกล็ดเลือดมาก  และเป็นสาเหตุในเด็กเกือบ 100%

ภาวะเกล็ดเลือดมากทุติยภูมิ จะรักษาหายได้เสมอ โดยจะหายได้หลังดูแลรักษาสาเหตุหายแล้ว  และถ้าสาเหตุไม่รุนแรงและเกล็ดเลือดไม่สูงมากไม่จำเป็นต้องมีการรักษา โรคจะหายได้เอง เช่น ในกรณีเกิดหลังผ่าตัด เป็นต้น,  แต่อย่างไรก็ตาม  โรค/ภาวะนี้จะกลับเป็นซ้ำได้อีกเสมอเมื่อไขกระดูกถูกกระตุ้น/กระทบจากสาเหตุต่างๆ อีก

เกล็ดเลือดมากมีอาการอย่างไร?

อาการจากเกล็ดเลือดมาก  เป็นอาการที่เกิดโดยตรงจากภาวะเกล็ดเลือดมากที่จะเหมือนกันในผู้ป่วยแต่ละราย, ร่วมกับอาการจากสาเหตุ ที่จะแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละรายเป็นกรณีๆไปตามแต่ละสาเหตุ

ก. อาการโดยตรงจากมีเกล็ดเลือดมาก:  โดยทั่วไป ถ้าเกล็ดเลือดมาก แต่ปริมาณยังต่ำกว่า 1 ล้าน/ไมโครลิตร ผู้ป่วยมักไม่มีอาการ,  แต่ถ้าเกล็ดเลือดสูงกว่านี้ จะส่งผลเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดที่ส่งผลต่อเนื่องให้การไหลเวียนเลือดไม่ดี อวัยวะต่างๆจึงขาดเลือด/ขาดออกซิเจน จึงก่อให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆขึ้นจากอวัยวะที่ขาดเลือด  ซึ่งอาการเหล่านี้อาจเป็นๆหายๆ,  เกิดบ่อย,  หรือเกิดตลอดเวลา ก็ได้ เช่น  

  • อาการของ โรคหัวใจ:โรคหลอดเลือดหัวใจ เช่น เจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก เป็นลม
  • อาการของ อัมพาต:โรคหลอดเลือดสมอง เช่น ชาแขนขา แขนขาอ่อนแรง   
  • ปวดหัว วิงเวียนศีรษะ
  • เล็บ มือ เท้า  เขียวคล้ำ, ปวด/เจ็บ ปลายมือ ปลายเท้า
  • ตาพร่า
  • อาจมี ม้ามโต, บางรายอาจมีตับโตร่วมด้วย (แนะนำอ่านเพิ่มเติมบทความ เรื่อง ตับม้ามโต ในเว็บ com)

ข. อาการจากสาเหตุ: ซึ่งจะแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละรายตามสาเหตุ แนะนำอ่านเพิ่มเติมรายละเอียดของโรคต่างๆที่เป็นสาเหตุ (ดังกล่าวในหัวข้อ ‘สาเหตุฯ’) ที่รวมถึง ‘อาการ’ ได้ในเว็บ haamor.com เช่น  โลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตก, โลหิตจางจากขาดธาตุเหล็ก, ซาร์คอยโดซิส, ฯลฯ

เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?

ควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาล เมื่อ

  • กรณีไม่มีอาการ แต่ตรวจซีบีซีจากการตรวจสุขภาพทั่วไป แล้วพบเกล็ดเลือดมาก/สูงเกินค่าปกติ ควรตรวจซ้ำที่ประมาณ 3-4 สัปดาห์, ถ้าพบยังสูงเกินอยู่ ควรนำผลตรวจไปปรึกษาแพทย์/ไปโรงพยาบาล
  • กรณีมีอาการดังกล่าวในหัวข้อ ‘อาการฯ’ และผลตรวจซีบีซี พบเกล็ดเลือดมากเกินปกติ ควรรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาล
  • กรณีเกล็ดเลือดมากตั้งแต่ 1 ล้าน/ไมโครลิตร ควรต้องรีบด่วนพบแพทย์/ไปโรงพยาบาล

แพทย์วินิจฉัยและหาสาเหตุเกล็ดเลือดมากได้อย่างไร?

แพทย์วินิจฉัยภาวะเกล็ดเลือดมากได้จาก การตรวจความสมบูรณ์ของเลือดที่เรียกว่า ซีบีซี/CBC,  และหาสาเหตุเกล็ดเลือดมาก ได้จาก

  • อาการผู้ป่วย   
  • การตรวจร่างกาย
  • การสืบค้นอื่นๆเพิ่มเติมตามความผิดปกติที่แพทย์ตรวจพบและดุลพินิจของแพทย์ เช่น
    • ตรวจเลือดดูสารภูมิต้านทาน และ/หรือสารก่อภูมิต้านทาน เพื่อการวินิจฉัยภาวะติดเชื้อ หรือ ภาวะอักเสบของเนื้อเยื่อต่างๆ และ/หรือ
    • ตรวจไขกระดูกด้วยการตรวจทางเซลล์วิทยา และ/หรือการตรวจทางพยาธิวิทยา

รักษาภาวะเกล็ดเลือดมากอย่างไร?

แนวทางการรักษาภาวะเกล็ดเลือดมาก ได้แก่  การรักษาให้เกล็ดเลือดลดต่ำลงเป็นปกติ  ร่วมกับการรักษาสาเหตุ

ก. การรักษาให้เกล็ดเลือดต่ำลง:

  • กรณีเกล็ดเลือดต่ำกว่า 1ล้าน/ไมโครลิตร และผู้ป่วยไม่มีอาการ: จะไม่มีการรักษาทางการแพทย์ แต่แพทย์จะแนะนำการดูแลตนเองแก่ผู้ป่วย และแพทย์จะนัดผู้ป่วยเป็นระยะๆเพื่อตรวจติดตามโรค
  • กรณีมีอาการจากเกล็ดเลือดมาก แพทย์จะรักษาเพื่อให้เกล็ดเลือดลดต่ำลง โดยจะเลือกวิธีการใด หรือ เลือกใช้ยาตัวใด จะขึ้นกับสาเหตุและดุลพินิจของแพทย์ เช่น
  • เจาะเกล็ดเลือดทิ้ง(Plateletpheresis) หรือ
  • ให้ยาลดการสร้างเกล็ดเลือด เช่น ยาเคมีบำบัดในกลุ่ม Hydroxyurea, ยา Anagrelide    

ข. การรักษาสาเหตุ: ซึ่งจะต่างกันในผู้ป่วยแต่ละรายตามแต่ละสาเหตุ แนะนำอ่านเพิ่มเติมรายละเอียดของโรคต่างๆที่เป็นสาเหตุที่รวมถึง 'การรักษา' ได้ในเว็บ haamor.com  ทั้งนี้กรณีเกล็ดเลือดมากทุติยภูมิที่ทั่วไปเกล็ดเลือดจะไม่สูงมาก เกล็ดเลือดจะลดลงเป็นปกติได้ถ้าหยุดสาเหตุ ทั่วไปจึงมักไม่มีการรักษาด้วยวิธีอื่นใด แพทย์จะใช้การเฝ้าติดตามผู้ป่วยหลังดูแลรักษาสาเหตุได้ดีแล้ว เช่น หยุดใช้ยานั้นๆกรณีเกิดจากผลข้างเคียงของยา เป็นต้น

ค. การป้องกันการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือด เช่น  การเจาะเกล็ดเลือดทิ้งเพื่อลดจำนวนเกล็ดเลือดลงได้ทันที,  การให้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด/ ยาต้านเกล็ดเลือด เช่นยา Aspirin

ดูแลตนเองอย่างไร?

การดูแลตนเองในภาวะเกล็ดเลือดมาก ทั่วไปได้แก่

  • ปฏิบัติตาม แพทย์ พยาบาล แนะนำ
  • กินยา/ใช้ยาต่างๆที่แพทย์สั่งให้ครบถ้วน ไม่หยุดยาเอง
  • พบแพทย์/มาโรงพยาบาลตามแพทย์นัดเสมอ
  • ควรใช้ยาตามแพทย์สั่ง และควรต้องรู้ผลข้างเคียงของยาที่ใช้เสมอ
  • ไม่ควรใช้ยาพร่ำเพื่อ
  • การซื้อยาใช้เอง ควรปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาเสมอโดยเฉพาะเรื่องผลข้างเคียงของยา

เกล็ดเลือดมากก่อผลข้างเคียงอย่างไร?

เกล็ดเลือดมาก ที่ปริมาณเกล็ดเลือดไม่สูงมาก  และผู้ป่วยไม่มีอาการ มักไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียง

แต่กรณีเกล็ดเลือดสูงเกินกว่า 1ล้าน/ไมโครลิตรจะส่งผลเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด ที่ส่งผลต่อเนื่องให้การไหลเวียนเลือดไม่ดี อวัยวะต่างๆจึงขาดเลือด/ขาดออกซิเจน จึงก่อให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆขึ้น ที่สำคัญคือ อาจก่อให้เกิด โรคหัวใจ/โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง/อัมพาต

ภาวะเกล็ดเลือดมากมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?

การพยากรณ์โรคของภาวะเกล็ดเลือดมาก ทั่วไป เช่น

  • กรณีเป็นโรคในชนิดปฐมภูมิ: การรักษาโรคให้หายเป็นไปไม่ได้ เพราะเป็นโรคทางพันธุกรรม และในบางคน เป็นโรคที่แพทย์หาสาเหตุไม่ได้ โรคกลุ่มนี้ อาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาเพื่อควบคุมปริมาณเกล็ดเลือดไปตลอดชีวิต และมีโอกาสที่จะกลายพันธ์ไปเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวเอเอ็มแอล(Acute myelogenous leukemia, AML)ได้ประมาณ 5%-5%
  • กรณีเป็นโรคชนิดทุติยภูมิ: การพยากรณ์โรคจะขึ้นกับ สาเหตุ รวมถึงผลการรักษาว่าควบคุมสาเหตุได้ดีหรือไม่  แต่ทั่วไปเป็นกลุ่มผู้ป่วยที่รักษาให้หายได้

ป้องกันภาวะเกล็ดเลือดมากอย่างไร?

การป้องกันภาวะเกล็ดเลือดมาก: ทั่วไป เช่น

  • กรณีชนิดปฐมภูมิ: ปัจจุบันยังไม่สามารถป้องกันโรคกลุ่มนี้ได้เพราะบางส่วนแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุ, และอีกบางส่วนเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมชนิดไม่ถ่ายทอด
  • กรณีเป็นชนิดทุติยภูมิ: การป้องกันคือการพยายามหลีกเลี่ยงสาเหตุที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะเกล็ดเลือดมากที่สำคัญ เช่น
    • รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง เพื่อลดโอกาสติดเชื้อต่างๆ วิธีง่ายๆคือการรักษาสุขอนามับพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ)
    • การไม่ใช่ยาพร่ำเพื่อ ก่อนซื้อยาใช้เอง ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนเสมอ
  • ถ้ามีโรค/ภาวะผิดปกติต่างๆ เช่น ซีด/โลหิตจาง ควรต้องรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาลและรักษาควบคุมโรค/ภาวะนั้นๆให้ได้ดี,  โดยปฏิบัติตามคำแนะนำของ แพทย์ พยาบาล, และพบ/แพทย์/มาโรงพยาบาลตามแพทย์นัดเสมอ

บรรณานุกรม

  1. https://cancer.ca/en/cancer-information/cancer-types/leukemia/what-is-leukemia/essential-thrombocytosis [2023,Jan7]  
  2. https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/thrombocytosis/symptoms-causes/syc-20378315 [2023,Jan7]
  3. https://en.wikipedia.org/wiki/Thrombocythemia [2023,Jan7]  
  4. https://emedicine.medscape.com/article/206811-overview#showall [2023,Jan7]
  5. https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/13350-thrombocytosis [2023,Jan7]  
  6. https://haamor.com/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94 [2023,Jan7]