ดีเฟอร็อกซามีน (Deferoxamine)
- โดย เภสัชกร อภัย ราษฎรวิจิตร
- 2 มกราคม 2565
- Tweet
สารบัญ
- บทนำ: คือยาอะไร?
- ดีเฟอร็อกซามีนมีสรรพคุณ (คุณสมบัติ)รักษาโรคอะไร?
- ดีเฟอร็อกซามีนมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?
- ดีเฟอร็อกซามีนมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?
- ดีเฟอร็อกซามีนมีขนาดการบริหารยาอย่างไร?
- เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?
- ดีเฟอร็อกซามีนมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?
- มีข้อควรระวังการใช้ดีเฟอร็อกซามีนอย่างไร?
- ดีเฟอร็อกซามีนมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?
- ควรเก็บรักษาดีเฟอร็อกซามีนอย่างไร?
- ดีเฟอร็อกซามีนมีชื่ออื่นอีกไหม? ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- ยารักษาโรค (Pharmaceutical drug)
- ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด
- ธาลัสซีเมีย (Thalassemia)
- โรคเลือด (Blood Diseases)
- วิตามินซี (Vitamin C or Ascorbic acid)
- ต้อกระจก (Cataract)
- โลหิตจาง เลือดจาง ซีด (Anemia)
- โรคตับแข็ง (Liver cirrhosis)
- ตับวาย ตับล้มเหลว (Liver failure)
บทนำ: คือยาอะไร?
ดีเฟอร็อกซามีน (Deferoxamine) ชื่ออื่นๆ เช่น Desferrioxamine B, Desferoxamine B, DFO-B, DFOA, DFB หรือ Desferal คือสารประกอบที่ผลิตจากแบคทีเรียกลุ่ม Actino bacteria ที่ชื่อว่า Streptomyces pilosus ทางคลินิกได้นำยาดีเฟอร็อกซามีนมาใช้กำจัดธาตุเหล็กที่มีมากเกินไปของร่างกาย พบว่ามีการใช้ยานี้มากกับผู้ป่วยเด็กที่ได้รับพิษจากธาตุเหล็กหรือภาวะเหล็กเกิน(Hemochromatosis)
กลไกการออกฤทธิ์ของยาดีเฟอร็อกซามีนนี้อยู่ในกระแสเลือด โดยยาดีเฟอร็อกซามีนจะเข้าจับกับธาตุเหล็กจนเป็นสารประกอบเชิงซ้อนแล้วถูกนำไปทิ้งออกจากร่างกายโดยผ่านไปกับปัสสาวะ ภาวะที่ร่างกายมีธาตุเหล็กเกินสามารถทำให้อวัยวะและเนื้อเยื่อในบริเวณต่างๆของร่างกายถูกทำลายอย่างเช่น ตับ รูปแบบของยาแผนปัจจุบันของยานี้จะเป็นยาฉีดโดยสามารถฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ฉีดใต้ผิวหนัง หรือจะฉีดเข้าเส้นเลือด/หลอดเลือดก็ได้ ซึ่งสามารถใช้รักษาภาวะธาตุเหล็กเกินทั้งแบบเฉียบพลันหรือมีธาตุเหล็กเกินแบบเรื้อรัง
ทั้งนี้เงื่อนไขสำหรับผู้ป่วยที่สามารถใช้ยาดีเฟอร็อกซามีนได้ คือ
- ผู้ป่วยต้องไม่แพ้ยานี้หรือแพ้ส่วนประกอบในสูตรตำรับยานี้
- ผู้ป่วยต้องมีการทำงานของไตหรือการทำงานของระบบขับถ่ายปัสสาวะที่เป็นปกติ
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลสำคัญๆที่ผู้ป่วยควรต้องแจ้งแพทย์เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบก่อนการใช้ ยาดีเฟอร็อกซามีนในการบำบัดอาการธาตุเหล็กเกิน ดังนี้
- กรณีผู้ป่วยเป็นสตรีอยู่ในภาวะตั้งครรภ์หรืออยู่ในภาวะให้นมบุตรหรือไม่
- แพ้อาหารหรือแพ้ยาชนิดใดอยู่บ้าง
- มีอาการป่วยด้วยโรคอื่นอยู่ก่อนหรือไม่เช่น โรคสมอง, โรคธาลัสซีเมีย, โรคหัวใจ, มีปัญหาด้านการได้ยินหรือการมองเห็นภาพ, หรือมีภาวะสาร Ferritin (สารโปรตีนในเซลล์ที่เป็นตัวเก็บธาตุเหล็ก)ในร่างกายต่ำหรือไม่
- เป็นผู้ป่วยที่ต้องฟอกไต(การล้างไต)หรือไม่
- ปัจจุบันผู้ป่วยมีการใช้ Vitamin C อยู่หรือไม่ด้วยการใช้ยาดีเฟอร็อกซามีนร่วมกับVitamin C อาจเป็นเหตุให้หัวใจทำงานผิดปกติหรือกระตุ้นให้เกิดภาวะต้อกระจก
ปัจจุบันคณะกรรมการอาหารและยาของไทยได้บรรจุให้ยาดีเฟอร็อกซามีนอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ โดยปฏิบัติตามนโยบายขององค์การอนามัยโลกที่กำหนดให้ยาดีเฟอร็อกซามีนเป็นยาจำเป็นขั้นพื้นฐานที่สถานพยาบาลควรมีคงคลังสำรองใช้กับผู้ป่วย และพระราชบัญญัติยาของไทยได้กำหนดให้ยาดีเฟอร็อกซามีนเป็นยาควบคุมพิเศษที่จะต้องใช้ตามคำสั่งแพทย์เท่านั้น เราจะพบเห็นการใช้ยานี้แต่ในสถานพยาบาลเท่านั้น
ดีเฟอร็อกซามีนมีสรรพคุณ (คุณสมบัติ)รักษาโรคอะไร?
ยาดีเฟอร็อกซามีนมีสรรพคุณ/ข้อบ่งใช้เพื่อ:
- บำบัดการได้รับพิษจากธาตุเหล็กทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง
ดีเฟอร็อกซามีนมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?
กลไกการออกฤทธิ์ของยาดีเฟอร็อกซามีนคือ ตัวยาเป็นสารที่มีคุณสมบัติเข้ารวมตัวกับเกลือ ของโลหะเช่น เหล็กที่มีประจุบวกรวมถึงเหล็กที่รวมตัวกับสารโปรตีนที่เรียกว่า Ferritin และสารประ กอบของเหล็กที่มีชื่อว่า Hemosiderin จากนั้นจะเกิดเป็นสารประกอบเชิงซ้อนที่สามารถละลายน้ำได้ ร่างกายจะลำเลียงสารประกอบเชิงซ้อนของเหล็กดังกล่าวมาที่ไตเพื่อขับทิ้งไปกับปัสสาวะ
ดีเฟอร็อกซามีนมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?
ยาดีเฟอร็อกซามีนมีรูปแบบการจัดจำหน่าย:
- ยาฉีดขนาด 500 มิลลิกรัม/7.5 มิลลิลิตร
ดีเฟอร็อกซามีนมีขนาดการบริหารยาอย่างไร?
ยาดีเฟอร็อกซามีนมีขนาดการบริหารยา/ใช้ยา เช่น
ก. สำหรับบำบัดการได้รับพิษจากธาตุเหล็กแบบเฉียบพลัน: เช่น
- ผู้ใหญ่และเด็กอายุ3 ปีขึ้นไป: ขนาดเริ่มต้นฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อหรือเข้าหลอดเลือดดำขนาด 1,000 มิลลิกรัม ขนาดที่ใช้คงระดับการรักษาอยู่ที่ 500 มิลลิกรัมฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือเข้าหลอดเลือดทุกๆ 4 ชั่วโมง 2 ครั้ง แพทย์อาจเพิ่มขนาดยาอีก 500 มิลลิกรัมทุกๆ 4 - 12 ชั่วโมง โดยขึ้นกับการตอบสนองของร่างกายผู้ป่วย ขนาดการใช้ยาสูงสุดไม่เกิน 6,000 มิลลิกรัม/24 ชั่ว โมง การฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อเหมาะกับผู้ป่วยที่ไม่ได้อยู่ใน
ภาวะช็อก การฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำควรฉีดอย่างช้าๆควรใช้กับผู้ป่วยที่มีภาวะ Cardiovascular collapse (สมองและร่างกายขนาดเลือดเฉียบพลัน) หรือภาวะล้มเหลวทางระบบไหลเวียนเลือด
- เด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี: ทางคลินิกยังไม่มีข้อมูลขนาดการใช้ยานี้ในเด็กที่อายุต่ำกว่า 3 ปี การใช้ยานี้ในเด็กกลุ่มวัยนี้จึงอยู่ในดุลพินิจของแพทย์เป็นกรณีไป
ข. สำหรับบำบัดการได้รับพิษจากธาตุเหล็กแบบเรื้อรัง: เช่น
- ผู้ใหญ่: ฉีดยาใต้ผิวหนังหรือทางกล้ามเนื้อขนาด 1,000 - 2,000 มิลลิกรัมในช่วง 8 - 24 ชั่วโมง/วัน หรือฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ 40 - 50 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วันทุกๆ 8 - 12 ชั่วโมง โดยให้ยา 5 - 7 วัน/สัปดาห์ ขนาดการใช้ยาสูงสุดทางหลอดเลือดดำคือ 60 มิลลิกรัม/น้ำ หนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน หรือขนาดการใช้ยาสูงสุดทางกล้ามเนื้ออยู่ที่ 1,000 มิลลิกรัม/วัน
- เด็กอายุ 3 ปีขึ้นไป: ฉีดยาใต้ผิวหนังหรือกล้ามเนื้อขนาด 1,000 - 2,000 มิลลิกรัมใน ช่วง 8 - 24 ชั่วโมง/วัน หรือฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ 20 - 40 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วันทุกๆ 8 - 12 ชั่วโมง โดยให้ยา 5 - 7 วัน/สัปดาห์ ขนาดการใช้ยาสูงสุดทางหลอดเลือดดำคือ 40 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน หรือขนาดการใช้ยาสูงสุดทางกล้ามเนื้ออยู่ที่ 500 - 1,000 มิลลิกรัม/วัน
- เด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี: ทางคลินิกยังไม่มีข้อมูลขนาดการใช้ยาในเด็กที่อายุต่ำกว่า 3 ปี การ ใช้ยานี้ในเด็กกลุ่มวัยนี้จึงอยู่ในดุลพินิจของแพทย์เป็นกรณีไป
*****หมายเหตุ: ขนาดยาและระยะเวลาในการใช้ยาที่ระบุในบทความนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำสั่งใช้ยาของแพทย์ได้ การใช้ยาที่เหมาะสมควรต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?
เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมยาดีเฟอร็อกซามีน ผู้ป่วยควรแจ้ง แพทย์ พยาบาล และ เภสัชกร เช่น
- ประวัติแพ้ยาทุกชนิด เช่น กินยา/ใช้ยาแล้วคลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือแน่นหายใจติดขัด/หายใจลำบาก/หอบเหนื่อย
- มีโรคประจำตัวต่างๆ รวมทั้งกำลังกินยา/ใช้ยาอะไรอยู่ เพราะยาดีเฟอร็อกซามีนอาจส่ง ผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรืออาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆที่กิน/ใช้อยู่ก่อน
- หากเป็นสุภาพสตรีควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร เพราะยาหลายประเภทสามารถผ่านทางน้ำนมหรือรกและเข้าสู่ทารก จนก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้
ดีเฟอร็อกซามีนมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?
ยาดีเฟอร็อกซามีนสามารถก่อให้เกิดผล/ อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา (ผลข้างเคียง/อาการช้างเคียง) เช่น
- ทำให้เล็บ-ริมฝีปาก-ผิวหนังมีสีคล้ำ
- ตาพร่า
- อาการชัก
- หัวใจเต้นเร็ว
- หายใจลำบาก/หอบเหนื่อย การรับฟังเสียงผิดปกติ
- ปวดหัว
- เกิดลมพิษ
- คลื่นไส้
- มีไข้
- อาเจียน
- ความรู้สึกสัมผัสเพี้ยน
- การใช้ยานี้กับเด็ก (นิยามคำว่าเด็ก) อาจส่งผลทำให้เด็กมีการเจริญเติบโตช้า
- *อาการข้างเคียงที่พบได้น้อยแต่สามารถเกิดขึ้นได้ เช่น ท้องเสีย, ไตทำงานผิดปกติ, และมีภาวะความดันโลหิตต่ำ
มีข้อควรระวังการใช้ดีเฟอร็อกซามีนอย่างไร?
มีข้อควรระวังการใช้ยาดีเฟอร็อกซามีน เช่น
- ห้ามใช้กับผู้ที่แพ้ยานี้ หรือแพ้ส่วนประกอบของยาดีเฟอร็อกซามีน
- ห้ามใช้ยานี้กับผู้ที่มีภาวะไตทำงานผิดปกติหรือผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะปัสสาวะไม่ออก
- ห้ามใช้ยานี้กับสตรีตั้งครรภ์ สตรีที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร เด็ก และผู้สูงอายุ โดยไม่มีคำสั่งจากแพทย์
- การให้ยานี้ทางหลอดเลือดดำอย่างรวดเร็วจะทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตต่ำติดตามมา
- การใช้ยาดีเฟอร็อกซามีนเป็นเวลานานๆเกินจากคำสั่งแพทย์อาจทำให้เกิดภาวะได้ยินเสียง และการมองเห็นภาพผิดปกติไปจากเดิม
- การได้รับยาดีเฟอร็อกซามีนในขนาดหรือปริมาณสูงในผู้ป่วยเด็กที่มีสาร Ferritin ในร่างกาย ต่ำสามารถทำให้การเจริญเติบโตของเด็กช้าลง
- ห้ามแบ่งยาให้ผู้อื่นใช้
- ห้ามใช้ยาหมดอายุ
- ห้ามเก็บยาหมดอายุ
***** อนึ่ง ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา” ที่รวมถึงยาแผนปัจจุบันทุกชนิด (รวมยาดีเฟอร็อกซามีนด้วย) ยาแผนโบราณ อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ทุกชนิด และสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกครั้งควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ (อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอด้วยเช่นกัน
ดีเฟอร็อกซามีนมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?
ยาดีเฟอร็อกซามีนมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่น เช่น
- การใช้ยาดีเฟอร็อกซามีน ร่วมกับยา Prochlorperazine อาจทำให้ระดับการรับรู้หรือ ระดับการรู้สึกตัวของผู้ป่วยแย่ลง หากไม่มีความจำเป็นใดๆควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาร่วมกัน
- การใช้ยาดีเฟอร็อกซามีน ร่วมกับยา Vigabatrin อาจเพิ่มความเสี่ยงให้ผู้ป่วยสูญ เสียการมองเห็น เพื่อป้องกันมิให้เกิดภาวะดังกล่าวจึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาทั้งสองร่วมกัน
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาดีเฟอร็อกซามีนร่วมกับVitamin C ด้วยจะก่อให้เกิดภาวะหัวใจทำงานผิดปกติรวมถึงอาจเกิดต้อกระจกขึ้นได้
ควรเก็บรักษาดีเฟอร็อกซามีนอย่างไร?
ควรเก็บยาดีเฟอร็อกซามีน:
- เก็บยาภายใต้อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส (Celsius)
- ไม่เก็บยาในช่องแช่แข็งของตู้เย็น
- เก็บยาในภาชนะที่ปิดมิดชิด พ้นแสง/แสงแดด ความร้อน และความชื้น
- เก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
ดีเฟอร็อกซามีนมีชื่ออื่นอีกไหม? ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?
ยาดีเฟอร็อกซามีน มียาชื่อการค้าอื่น และบริษัทผู้ผลิต เช่น
ชื่อการค้า | บริษัทผู้ผลิต |
---|---|
Desferal (เดสเฟอรอล) | Novartis |
บรรณานุกรม
- https://en.wikipedia.org/wiki/Deferoxamine [2022,Jan1]
- https://www.drugs.com/pro/deferoxamine.html [2022,Jan1]
- https://www.mims.com/Thailand/drug/search?q=Deferoxamine%20 [2022,Jan1]
- http://ndi.fda.moph.go.th/drug_info/index?name=Deferoxamine&brand=&rctype=&drugno= [2022,Jan1]
- https://www.drugs.com/mtm/deferoxamine.html [2022,Jan1]