ยา (Drug, Medicines, Medication, Medicament, Pharmaceutical drug) เป็นสิ่งที่มีทั้งคุณและโทษ การกินยาหรือใช้ยา ผู้ใช้จึงควรมีความรู้หรือข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยา ซึ่งข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดที่ประชาชนควรรู้ และนำไปประยุกต์กับชีวิตประจำวัน เพื่อ ให้เกิดความปลอดภัยในการใช้ยา คือ
วันหมดอายุของยา หรือตัวย่อคือ อีเอกพี (Exp, Expiration date) ถือเป็นตัวบ่งบอกคุณภาพของยาที่จะใช้ เมื่อยาหมดอายุ ตัวยาสำคัญที่ใช้รักษาอาการเจ็บป่วยจะเสื่อมคุณภาพ และมีประสิทธิภาพในการรักษาลดลง นอกจากนี้ อาจก่อให้เกิดพิษ หรือผล ข้างเคียงกับร่างกาย การระบุวันหมดอายุของบริษัทยา จะระบุวัน เดือน ปี ที่หมดอายุไว้บนแผงยา กล่อง ขวด และที่บรรจุยา โดยหลายบริษัทมักระบุเป็นปี ค.ศ. ซึ่งสามารถแปลง ค.ศ.เป็น พ.ศ.โดยนำเอาตัวเลข 543 เข้าไปบวกเพิ่มที่ปี ค.ศ.
ตัวอย่างที่ 1 Exp 02 2014
02 หมายถึง เดือนกุมภาพันธ์
2014 หมายถึง ปี ค.ศ. 2014 หรือ ปี พ.ศ. 2557 (2014+543)
ตัวอย่างที่ 2 ยาสิ้นอายุ 17/03/2013
17 หมายถึง วันที่ 17 ของเดือน
03 หมายถึง เดือนมีนาคม
2013 หมายถึง ปี ค.ศ. 2013 หรือ ปี พ.ศ. 2556 (2013+543)
อนึ่ง ยาหลายประเภทเมื่อเปิดใช้แล้ว อายุของยาอาจจะสั้นกว่าวันหมดอายุที่ระบุในฉลาก ไม่ว่าจะเป็น ยาเม็ด ยาแคปซูล ยาน้ำ ยาครีม ยาขี้ผึ้ง ยาหยอดตา ยาผง ยาฉีด แต่เมื่อยังอยู่ภายใต้วันที่กำหนด ยังถือว่าสามารถใช้ยาได้โดยไม่เกิดผลข้างเคียงต่างจากปกติที่พึงมี
อย่างไรก็ตาม นอกจากต้องดูการกำหนดอายุการใช้ยาก่อนเปิดหรือหลังเปิดใช้ ยังต้องดูสภาพของยาเป็นองค์ประกอบด้วย ถึงแม้เพิ่งเปิดยาจากภาชนะบรรจุ หากสภาพยาเปลี่ยนไปจากมาตรฐานของบริษัทผู้ผลิต เช่น
เหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องสังเกต หากไม่แน่ใจในคุณภาพของยานั้น ให้ทิ้งไป หรือนำยาไปปรึกษากับเภสัชกร ซึ่งมีประจำตามร้านขายยาแผนปัจจุบันที่มีป้ายระบุชื่อเภสัชกรประจำ
ฉลากยา หรือเอกสารกำกับยาเป็นเอกสารที่ติดมากับภาชนะบรรจุ โดยระบุข้อ มูลเชิงวิชาการ เช่น ส่วนประกอบของยา รูปแบบผลิตภัณฑ์ ข้อบ่งใช้ ขนาดและวิธีรับประทาน หรือวิธีการใช้ยา/วิธีกินยา ของผู้ใหญ่ เด็ก หรือระบุขนาดการใช้ตามอายุและน้ำหนัก นอกจากนี้ จะมีคำเตือนต่างๆในการใช้ยา รวมถึงข้อควรระวังและข้อห้ามใช้ คุณสมบัติทางเภสัชศาสตร์ ปฏิ กิริยากับยาอื่น ความเป็นพิษของยา สภาพการเก็บรักษา และขนาดบรรจุ เป็นต้น เหล่านี้ถือเป็นข้อมูลที่ช่วยให้ผู้ใช้ยาทำความเข้าใจ และสามารถใช้ยาได้ถูกต้องและปลอดภัยมากขึ้น ประชา ชนสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากเภสัชกรซึ่งประจำอยู่ตามร้านขายยาดังกล่าวแล้ว
ในกรณีได้รับยาจากโรงพยาบาล ควรอ่านหน้าซองยา ถึงวิธีใช้ยา/กินยาให้เข้าใจรวมทั้ง
คำแนะนำอื่นๆที่เขียนไว้ ซึ่งปัจจุบันเภสัชกรหลายโรงพยาบาลมักเขียนคำแนะนำสำคัญ เช่น อาการแพ้ยา หรือวันหมดอายุ ทั้งนี้ ข้อความต่างๆบนซองยา เมื่อไม่เข้าใจ ให้สอบถามให้เข้า ใจจากเภสัชกรประจำห้องยา หรือนำยากลับมาถามแพทย์ พยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยเสมอ
อนึ่ง ไม่ควรใช้ยา/กินยาทั้งๆที่ไม่เข้าใจสิ่งที่เขียนไว้ในฉลากยา หรือบนซองยา หรือเมื่อมีข้อสงสัย ควรต้องสอบถามแพทย์ พยาบาล หรือ เภสัชกรให้เข้าใจก่อนเสมอ
ทั้งนี้เพื่อให้ร่างกายได้รับประสิทธิผลของยาได้เป็นอย่างดี ซึ่งวิธีกินยาโดยทั่วไป ได้แก่
อนึ่ง หากกินอาหารไปแล้ว และลืมกินยาก่อนอาหาร ให้รอประมาณ 2 ชั่วโมง เพื่อให้อา หารถูกบีบไล่จากกระเพาะอาหารเข้าสู่ลำไส้จนหมดแล้ว จึงกินยาก่อนอาหารตามปกติ โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยา
อนึ่ง มียาหลายกลุ่มที่สามารถกินขณะท้องว่าง หรือหลังอาหาร หรือพร้อมอาหารก็ได้ และยังคงประสิทธิภาพทางการรักษาไม่แตกต่างกัน หากไม่แน่ใจให้สอบถามจากเภสัชกรว่า ยาชนิดใดควรกินอย่างไร
วิธีกินยา มีดังนี้ คือ
มือ เป็นอวัยวะที่ใช้หยิบจับสิ่งของมากมาย จึงมีโอกาสปนเปื้อนหรือสัมผัสกับสิ่งสกปรก เช่น แบคทีเรีย ไวรัส ฝุ่นละออง ฯลฯ หากรับประทานสิ่งเหล่า นี้เข้าไป อาจส่งผลเสียต่อร่างกาย เช่น ท้องเสีย มีการติดเชื้อร่วมด้วย เพื่อมิให้สิ่งแปลกปลอมเหล่านี้ติดไปกับยาที่จะรับประทาน เราควรต้องล้างมือก่อนกินยาทุกครั้ง หลังกินยาเราควรฝึกนิสัยในการล้างมือเช่นกัน ด้วยยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะจะใช้กับผู้ที่มีอาการติดเชื้อจากเชื้อโรคชนิดต่างๆ หากมือของผู้ป่วยสัมผัสกับปากซึ่งเป็นบริเวณที่อาจมีจำนวนเชื้อโรคอยู่มาก หากไม่ทำการล้างมือก็อาจจะมีการกระจายของเชื้อโรคจากมือผู้ป่วยไปยังคนรอบข้าง ดังนั้น เพื่อประโยชน์ต่อผู้บริโภคและของคนข้างเคียง เราควรฝึกนิสัยในการล้างมือก่อนและหลังกินยาทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆ
ถึงแม้จะรู้สึกว่าหายแล้ว ยังมีอา การโรคหลายอย่างที่ต้องได้รับยาจนครบตามคำแนะนำของแพทย์ ถึงแม้อาการจะดีขึ้นแล้ว เช่น ยาปฏิชีวนะ ต้องกินจนหมดเพื่อป้องกันมิให้มีการดื้อยาของเชื้อโรคชนิดนั้นๆ (เชื้อดื้อยา) หรือยากลุ่มที่ใช้รักษาโรคเรื้อรัง เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคไทรอยด์ โรคภูมิแพ้ เหล่านี้ต้องกินยาเป็นประจำหรือต้องกินตลอดชีวิต เพื่อคงสภาพความสมดุลและทำให้ร่างกายทำงานได้อย่างปกติ
เพื่อความปลอดภัยต่อผู้บริโภค และคงคุณภาพในการรักษาของยาชนิดต่างๆ ควรถือหลักปฏิบัติในการเก็บยา ดังนี้
เพื่อให้เห็นยาชัดเจน ดูให้แน่ใจว่าเป็นยาที่ถูกต้องก่อนใช้ยาเสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายจากการกินยาผิดชนิด ผิดขนาด ผิดเวลา ผิดบุคคล จึงควรต้องอ่านรายละเอียดบนฉลากยาอย่างระมัดระวัง ไม่ควรใช้ความเคยชิน หรือรูปร่าง สีสัน ของยาเป็นแค่ตัวบ่งบอกในการรับประทาน
ทั้งนี้ ด้วยอาการของโรคหลายชนิด อาจมีอาการคล้ายคลึงกันแต่มีต้นเหตุแตกต่างกัน การใช้ยาในการรักษาจึงต้องระบุการใช้ได้อย่างถูกต้องโดยให้แพทย์เป็นผู้วินิจฉัย จะเป็นการปลอดภัย เช่น การให้ยาแอสไพรินกับผู้ป่วยที่มีไข้จากโรคไข้เลือดออกกลับจะเป็นผลเสียกับผู้ป่วย เพราะจะทำให้เกร็ดเลือดในร่างกายทำ งานได้น้อยลง และเป็นสาเหตุให้เกิดสภาวะเลือดออกภายในร่างกายมากขึ้น หรือเกิดการแพ้ยาแอสไพรินได้ หรือยาบางชนิดถึงแม้จะใช้รักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคเดียวกันก็ตาม บางคนไม่แพ้ยาดังกล่าวในขณะที่ยาตัวเดียวกันก่อให้เกิดการแพ้ยากับอีกคนหนึ่ง
ในกรณีของยาหยอดตายิ่งไม่ควรใช้ร่วมกัน ด้วยอาจทำให้เกิดภาวะติดเชื้อของดวงตาจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง โดยเฉพาะการใช้ยาหยอดตาผิดประเภทในบางโรคของดวงตาอาจก่อให้เกิดผลเสียร้ายแรงตามมา จนเกิดสภาวะพิการทางสายตาได้
ยาหลายชนิดอาจก่อให้เกิดผลอันไม่พึงประสงค์หรือการแพ้ยา ซึ่งแม้แต่แพทย์เองก็ไม่สามารถพยากรณ์ได้ว่า ใครจะแพ้ยา ดังนั้นเมื่อกินยา/ใช้ยา จึงควรต้องสังเกตอาการหลังการกิน/ใช้ยาเสมอ หากมีอาการผิดปกติหลังการกินยา/ใช้ยา เช่น เวียนศีรษะ ตามัว คลื่นไส้ อาเจียน ผื่นขึ้นตามร่างกาย หายใจไม่ออก ให้หยุดยา และควรรีบพบแพทย์โดยเร็วหรือฉุกเฉิน ขึ้นกับความรุนแรงของอาการ
อนึ่ง หากทราบว่าเราแพ้ยาชนิดใด ควรจดบันทึกชื่อยาที่แพ้และพกติดตัวไว้ทุกครั้ง ให้แจ้งแพทย์ พยาบาล เภสัชกร ก่อนเข้าทำการรักษาในสถานพยาบาลและร้านยา ก็จะเป็นการป้องกันและสร้างความปลอดภัยในการใช้ยาของผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น
ยาที่ไม่ใช้แล้วไม่ควรเก็บไว้ เพราะอาจเป็นสาเหตุให้หยิบกินยาผิดพลาดได้ ส่วนยาหมดอายุไม่ควรเก็บไว้ เพราะเมื่อนำมาบริโภค อาจก่อผลข้าง เคียงจนอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้
Updated 2014, April 26