การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในสตรี (Urinary incontinence in women)
- โดย รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิง ประนอม บุพศิริ
- 14 มกราคม 2566
- Tweet
สารบัญ
- การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในสตรีคืออะไร?
- การขับถ่ายปัสสาวะเกิดได้อย่างไร?
- การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่มีผลกระทบต่อสตรีอย่างไร?
- การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่มีกี่ประเภท และ สาเหตุมีอะไรบ้าง?
- ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในสตรีมีอะไรบ้าง?
- วิธีการค้นหาสาเหตุของการการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในสตรีมีอะไรบ้าง ?
- ควรดูแลตนเองอย่างไร?
- ควรพบแพทย์เมื่อไหร่?
- การรักษาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในสตรีมีอะไรบ้าง?
- ป้องกันการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ได้อย่างไร?
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- กระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis)
- วัยหมดประจำเดือน (Menopause)
- วัยใกล้หมดประจำเดือน (Perimenopause)
- โรคอ้วน และ น้ำหนักตัวเกิน (Obesity and overweight)
- แอนตี้มัสคารินิก (Antimuscarinic drugs)
- ยาทีซีเอ ยารักษาโรคซึมเศร้า (TCAs : Tricyclic and tetracyclic antidepressants)
- แคลเซียมแชนแนลบล็อกเกอร์ (Calcium channel blocker)
- กะบังลมหย่อน (Pelvic floor relaxation)
การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในสตรีคืออะไร?
การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในสตรี (Urinary incontinence in women) คือ การที่สตรีผู้นั้นไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะได้ตามที่ต้องการ ไม่สามารถกลั้นหรือหยุดยั้งการไหลของปัสสาวะในเวลาหรือในสถานที่ที่ไม่เหมาะสม, น้ำปัสสาวะไหลออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
การขับถ่ายปัสสาวะเกิดได้อย่างไร?
โดยทั่วไป คนเราสามารถควบคุมการถ่ายปัสสาวะหรือรอโอกาสที่จะปลดปล่อยปัสสาวะในสถานที่และในเวลาที่เหมาะสมได้, เมื่อมีความรู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะ จะมีการส่งกระแสประสาทไปที่สมอง สมองจะประมวลผลและส่งกระแสประสาทกลับมาที่กระเพาะปัสสาวะ ให้กระเพาะปัสสาวะบีบตัว,พร้อมๆกับสั่งให้หูรูดท่อปัสสาวะเปิดออก, เราก็จะถ่ายเป็นปัสสาวะออกมา, จากนั้นหูรูดท่อปัสสาวะก็จะปิดดังเดิมเป็นประตูคอยกลั้นไม่ให้ปัสสาวะเล็ดออกมา, ในขณะที่ไตจะผลิตน้ำปัสสาวะลงไปในกระเพาะปัสสาวะตลอดเวลาเพื่อรอการปล่อยออกของปัสสาวะในรอบต่อไป, หากมีสิ่งใดไปทำให้ระบบนี้เสียไป เช่น ระบบประสาทการสั่งการบีบตัวกระเพาะปัสสาวะ, การปิดเปิดของหูรูดท่อปัสสาวะ ผิดปกติ, ก็จะมีผลต่อการควบคุมการถ่ายปัสสาวะ
การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่มีผลกระทบต่อสตรีอย่างไร?
การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือ กลั้นปัสสาวะไม่ได้ พบบ่อยในสตรีสูงอายุ อุบัติการณ์ที่แท้จริงยังไม่ทราบ เพราะส่วนใหญ่มักไม่มาพบแพทย์ ทั่วไปพบอย่างน้อยประมาณ 25% โดยพบมากขึ้นเรื่อยๆเมื่ออายุมากขึ้น แต่สตรีส่วนมากคิดว่าเป็นภาวะปกติของสตรีในวัยนี้ จึงยอมรับว่าเป็นธรรมชาติ ทั้งๆที่เป็นปัญหา, อุบัติการณ์ที่รายงานจึงมักต่ำกว่าปกติมาก
การปัสสาวะบ่อยผิดปกติและไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้ จะมีผลกระทบชีวิตประจำวัน ทำให้เกิดความไม่มั่นใจในตนเองเพราะมีปัสสาวะราด ทำให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์, ทำให้ไม่อยากออกงานสังคม เพราะเกรงจะเกิดความอับอาย
การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่มีกี่ประเภทและสาเหตุมีอะไรบ้าง?
การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ มีหลายประเภท เช่น
- Stress incontinence (ปัสสาวะเล็ด เมื่อ ไอ จาม): มีลักษณะ คือ เวลาไอ จาม หรือเมื่อมีการเพิ่มของความดันในช่องท้อง (เช่น ยกของหนักเป็นประจำ หรือท้องผูกเรื้อรัง) จะทำให้มีน้ำปัสสาวะเล็ดออกมาโดยไม่ตั้งใจ สาเหตุมักเกิดจากการปิดของหูรูดของท่อปัสสาวะไม่ดี เนื่องจากมีการหย่อนยานของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน/ท้องน้อยที่ช่วยพยุงบริเวณคอกระพาะปัสสาวะตามอายุที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
- Urge incontinence (ปัสสาวะรด เมื่อปวดปัสสาวะ): มีลักษณะ คือ เวลารู้สึกปวดปัสสาวะ จะราดทันที มักไม่สามารถกลั้นจนไปเข้าห้องน้ำได้ทัน สาเหตุเกิดจากกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะทำงานไม่ปกติ
- Overflow incontinence (ปัสสาวะรดโดยไม่ปวดปัสสาวะ): มีลักษณะ คือ เมื่อกระเพาะปัสสาวะโป่งมากจากปริมาณน้ำปัสสาวะที่มากขึ้น, แต่เนื่องจากการทำงานของระบบประสาทที่ควบคุมการบีบรัดตัวของกระเพาะปัสสาวะเสียไป, ปัสสาวะก็จะท้นออกมา จะพบในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานนานๆ หรือผู้ป่วยที่ได้รับอุบัติเหตุบริเวณไขสันหลัง ทำให้เส้นประสาทที่ไปเลี้ยงกระเพาะปัสสาวะเสียไป
- True incontinence (กระเพาะปัสสาวะมีรูรั่ว): มีลักษณะ คือ จะมีน้ำปัสสาวะไหลออกมาตลอดเวลา ไม่สามารถกลั้นได้ สาเหตุหากไม่ใช่เป็นมาแต่กำเนิดที่มีความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะแล้ว, มักเป็นภาวะจากการผ่าตัดมดลูกแล้วมีการบาดเจ็บต่อกระเพาะปัสสาวะ ทำให้เกิดช่องเชื่อมต่อกันระหว่างกระเพาะปัสสาวะกับช่องคลอด (Vesico-vaginal fistula), หรืออาจเกิดจากการลุกลามของมะเร็งปากมดลูกไปที่กระเพาะปัสสาวะทำให้เกิดรูรั่วขึ้น
- Mixed incontinence (กลั้นปัสสาวะไม่อยู่หลายรูปแบบร่วมกัน): เป็นความผิดปกติหลายๆอย่างที่กล่าวแล้วร่วมกัน เช่นทั้ง Stress incontinence และ Urge incontinence
ปัจจัยสี่ยงที่ทำให้เกิดการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในสตรีมีอะไรบ้าง?
ปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในสตรี มีหลายอย่าง เช่น
- การคลอดบุตร: เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ การคลอดจะทำให้เกิดการฉีกขาดของเส้นประสาทของกล้ามเนื้อหูรูด,และของกล้ามเนื้อกะบังลมในอุ้งเชิงกราน (กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อต่างๆในอุ้งเชิงกราน), ทำให้เกิดอุ้งเชิงกรานหย่อน(กะบังลมหย่อน)
- ผู้สูงอายุ, วัยใกล้หมดประจำเดือน, วัยหมดประจำเดือน : โดยฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) จากรังไข่จะลดลง ทำให้ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อต่างๆเสียไป
- การไอเรื้อรัง หรือ ท้องผูกเรื้อรัง จะเพิ่มความดันในช่องท้อง
- โรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน: ที่จะส่งผลเพิ่มน้ำหนัก/ความดันในช่องท้อง, กระเพาะปัสสาวะ,รวมถึงต่อท่อปัสสาวะจึงส่งผลถึงการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
วิธีการค้นหาสาเหตุของการการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในสตรี มีอะไรบ้าง?
แพทย์วินิจฉัยสาเหตุกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ได้จาก
- การตรวจปัสสาวะ (Urine analysis หรือเรียกย่อว่า ยูเอ/ UA): เพื่อดูว่ามีการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ (โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ) หรือไม่ เพราะหากมีการติดเชื้อจะทำให้มีอาการปัสสาวะบ่อยได้ ซึ่งเป็นการตรวจเบื้องต้นที่จำเป็น และทำได้ง่าย ราคาไม่แพง, หากพบว่ามีการติดเชื้อต้องให้ยาปฏิชีวนะรักษาตามสาเหตุ
- การถ่ายภาพรังสี/เอกซเรย์ของระบบทางเดินปัสสาวะ (Film KUB) เพื่อดูว่ามีนิ่วในไต นิ่วในท่อไต หรือ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ หรือไม่
- การจดบันทึกการปัสสาวะประจำวัน (Voiding diary) หากการสืบค้นขั้นพื้นฐานไม่พบความผิดปกติ ขั้นต่อไปแพทย์จะให้ผู้ป่วยกลับไปบันทึกเกี่ยวกับประวัติการดื่มน้ำ, การรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม, การขับถ่ายปัสสาวะประมาณ 2-3 วัน, เพื่อนำมาประกอบการวิเคราะห์,และวินิจฉัยโรค
- การตรวจพลศาสตร์ระบบทางเดินปัสสาวะ (Urodynamic study) เป็นการตรวจการทำงานของกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะ เพื่อตรวจหาความผิดปกติของการทำงาน โดยจะมีการใส่น้ำเข้าไปในกระปัสสาวะ แล้ววัดการเปลี่ยนแปลงของความดันในกระเพาะปัสสาวะ, และอัตราการไหลของปัสสาวะในระยะต่างๆ เช่น ตอนรู้สึกเริ่มปวดปัสสาวะ และตอนอยากปัสสาวะมากที่สุด, เพื่อนำมาช่วยในการวินิจฉัยโรค
ควรดูแลตนเองอย่างไร?
การดูแลตนเอง:
ก. กรณีที่มีอาการปัสสาวะเล็ดเมื่อ ไอ จาม (Stress incontinence) ไม่มาก: การดูแลตนเองเบื้องต้นเป็นสิ่งจำเป็น เช่น
- การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม: เช่น
- ดื่มน้ำในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่เกิน 2 ลิตรต่อวัน
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มมีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง
- ลดหรือควบคุมน้ำหนักตัว
- เพิ่มการรับประทานอาหารที่มีกากมากๆ เพื่อลดอาการท้องผูก
- งดสูบบุหรี่เพราะจะช่วยลดอาการไอเรื้อรัง
- หลีกเลี่ยงการออกแรงที่จะทำให้มีการเพิ่มแรงดันในช่องท้องเป็นประจำ
- การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน โดยการฝึกทำ Kegel exercise หรือ 'การขมิบช่องคลอด' นั่นเอง การทำไปนานๆ จะทำให้กล้ามเนื้อที่พยุงอวัยวะในอุ้งเชิงกรานแข็งแรง ช่วยพยุงบริเวณหูรูดปัสสาวะให้แข็งแรงขึ้น วิธีการทำมีดังนี้
- ครั้งแรก ให้ฝึกขมิบช่องคลอดเพื่อหยุดปัสสาวะขณะที่กำลังถ่ายปัสสาวะ แล้วจำความรู้สึกนั้นไว้ (มีข้อห้ามที่ไม่ควรฝึกขมิบหลังตื่นนอนทันที เพราะมีน้ำปัสสาวะคั่งมาตลอดคืน)
- ต่อไปฝึกขมิบช่องคลอด โดยขมิบแล้วกลั้นไว้ นับ 1 ถึง 10 ต่อจากนั้นให้คลายการขมิบ นับเป็น 1 ครั้ง ทำเป็นชุดๆละ 30 ครั้ง เวลาใดก็ได้ที่สะดวก ทำ 3 เวลาต่อวัน นาน 3-6 เดือน
*ทั้งนี้ หากดูแลปฏิบัติด้วยตนเองไป 3-6 เดือนแล้ว อาการยังไม่ดีขึ้น สมควรที่จะไปพบแพทย์/สูตินรีแพทย์
ข. กรณีที่มีอาการปัสสาวะรดเมื่อปวดปัสสาวะ (Urge incontinence) แต่อาการยังไม่มาก: นอกจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และการขมิบช่องคลอดแล้ว ควรทำการฝึกการทำงานกระเพาะปัสสาวะ หรือยืดเวลาในการขับถ่าย (Bladder training) ให้เกิดความเคยชินในการบีบตัวของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ โดยให้บีบตัวหรือขับถ่ายให้เป็นเวลาตามที่เรากำหนด คือเมื่อรู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะให้ลองกลั้นไว้สัก 5 นาทีก่อน แล้วจึงไปปัสสาวะ ฝึกทุกครั้งให้กระเพาะปัสสาวะเริ่มชิน แล้วค่อยๆเพิ่มเวลาทีละ 5 นาทีไปเรื่อยๆ จนเกือบเท่าคนปกติ หากไม่สำเร็จ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับประทานยาร่วมด้วย
ค. กรณีปัสสาวะรดโดยไม่ปวดปัสสาวะ (Overflow incontinence) และ/หรือ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในหลายรูปแบบร่วมกัน (Mixed incontinence): ควรต้องพบแพทย์แต่แรก ซึ่งแพทย์จะให้คำแนะนำรักษาดูแลผู้ป่วยเป็นรายๆไป ตามความรุนแรงของอาการ, สาเหตุ, และดุลพินิจของแพทย์
ง. กรณีที่เป็นการปัสสาวะไหลตลอดเวลาจากกระเพาะปัสสาวะมีรูรั่ว (True incontinence): ต้องไปพบแพทย์เพื่อทำการผ่าตัดรักษา, ไม่มีการการรักษาด้วยตนเอง
ควรพบแพทย์เมื่อไหร่?
หากผู้ป่วยมีการฝึกพฤติกรรมเต็มที่แล้ว (ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น) แต่อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ยังไม่บรรเทา ควรที่จะไปพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเพื่อได้รับการวินิจฉัย และการรักษาที่เหมาะสม
การรักษาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ในสตรีมีอะไรบ้าง?
วิธีการรักษาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ มีหลายวิธี เช่น
- รักษาด้วยการทำพฤติกรรมบำบัด: ตามที่กล่าวมาแล้ว เบื้องต้นต้องทำควบคู่กับการรักษาแบบอื่นๆร่วมไปด้วยเสมอ และทำไประยะยาว ตลอดชีวิต
- รักษาด้วยยา: มียาหลายชนิดที่นำมาใช้ จะใช้รักษาผู้ป่วยในกลุ่มที่เป็นปัสสาวะรดเมื่อปวดปัสสาวะ (Urge incontinence) เป็นหลัก แต่บางชนิดก็ใช้รักษาปัสสาวะเล็ดเมื่อ ไอ จาม (Stress incontinence) ได้ โดยยาแต่ละชนิดจะมีกลไกการออกฤทธิ์แตกต่างกันไป, ยาที่ใช้ เช่น
- ยาในกลุ่ม Anticholinergic/Antimuscarinic/แอนตี้มัสคารินิก: โดยยาจะไปยับยั้งการบีบรัดตัวของกระเพาะปัสสาวะ เช่นยา Oxybutynin chloride, Tolteridine, Flavoxate, และ Trospium chloride
- ยารักษาโรคซึมเศร้ากลุ่ม Tricyclic antidepressants (TCA): โดยยาจะไปออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลาง ลดการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ
- ยาในกลุ่ม แคลเซียมแชนแนลบล็อกเกอร์ (Calcium channel blocker): โดยยาจะทำให้กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะไม่หดรัดตัว
- ยาฮอร์โมนเอสโตรเจน: เพื่อช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ
- การใส่วงแหวนพยุงในช่องคลอด (Vaginal pessary): เคยมีการใช้ในสมัยก่อนและหยุดใช้ไป, ปัจจุบันได้มีการนำมาใช้ใหม่ จะเป็นวงยางนิ่มๆ มีหลายขนาด ที่ใส่เข้าไปในช่องคลอด ค้างไว้และนำออกมาล้างและใส่เข้าไปใหม่ทุกวัน ส่วนมากจะได้ผลในกรณีที่มีการหย่อนของมดลูก หรือของช่องคลอดร่วมด้วย สามารถใช้ได้ในผู้ป่วยที่ไม่อยากหรือมีข้อห้ามในการผ่าตัด
- การผ่าตัด: เป็นการรักษาหลักในผู้ป่วยที่เป็น Stress incontinence มีหลากหลายวิธี เช่น
- การเย็บช่องคลอด (Anterior colporrhaphy with Kelly plication)
- การเย็บบริเวณคอกระเพาะปัสสาวะ (Retropublic colposuspension)
- การคล้องบริเวณท่อปัสสาวะด้วยเส้นเทป (Tension free vaginal tape)
- การกระตุ้นประสาทกระเพาะปัสสาวะด้วยไฟฟ้า
- การฝังเข็ม
ป้องกันการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ได้อย่างไร?
ไม่มีสตรีคนใดอยากมีปัสสาวะเล็ด ปัสสาวะราด เพราะจะทำให้อับอาย หรือไม่สะดวกในการเข้าสังคม, วิธีการป้องกันการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เช่น
- ดื่มน้ำในปริมาณที่พอเหมาะด้วยการสังเกตอาการปัสสาวะของตนเองต่อปริมาณน้ำดื่ม/วันเพราะจะต่างกันในแต่ละผู้ป่วย
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีน เพราะจะทำให้มีปริมาณปัสสาวะมาก เช่น ชา กาแฟ
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ป้องกันการไอเรื้อรัง
- รับประทานผัก ผลไม้ มากๆ เพื่อหลีกเลี่ยงอาการท้องผูก ที่จะไปเสริมแรงดันช่องท้องขณะเบ่งถ่าย
- ควรลดน้ำหนัก หากมีโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน
- บริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Kegel exercise)/ขมิบช่องคลอด โดยการฝึกขมิบช่องคลอดตามที่กล่าวมาแล้ว ต้องทำอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องตลอดไป และ
- ควรบริหารตั้งแต่อายุยังน้อย และสามารถบริหารได้ตั้งแต่ตอนตั้งครรภ์ (*ปรึกษาสูตินรีแพทย์ก่อน) ไปจนถึงระยะหลังคลอด จะให้ผลดีกว่าการไปรอบริหารเมื่อหลังคลอด หรือตอนเป็นผู้สูงอายุแล้ว
บรรณานุกรม
- Culligan PJ, Heit M. Urinary incontinence in women: evaluation and management. Am Fam Physician 2000; 62 :2433-44.
- Nygaard I, Menefee SA, Wall LL. Lower urinary tract disorder. In: Berek JS, ed. Berek& Novak’s Gynecology. Philadelphia : Lippincott Williams & Wilkins, 2007: 849-96.
- O’Neil B, Gilmour D. Approach to urinary incontinence in women. Can Fam Phy 2003; 49: 611-8.
- https://emedicine.medscape.com/article/452289-overview#showall [2023,Jan14]