ไดซัลฟิแรม (Disulfiram)

สารบัญ

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ: คือยาอะไร?

ไดซัลฟิแรม (Disulfiram)  คือ ยาที่นำมาบำบัดการติดสุราเรื้อรัง ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1920 (พ.ศ. 2463) จากนั้นเป็นเวลาอีก28 ปีจึงค้นพบฤทธิ์ที่เป็นสรรพคุณของการรักษา โดยมีกลไกที่ไม่ค่อยซับซ้อนเท่าไรนักกล่าวคือ ยาไดซัลฟิแรมจะออกฤทธิ์มิให้ร่างกายทำลายแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดได้ทำให้พิษของแอลกอฮอล์อยู่ในร่างกายได้นานขึ้น ผลที่ตามมาจะทำให้ผู้ที่รับประทานยานี้ได้รับผลข้างเคียงของแอลกอฮอล์ได้เป็นเวลาที่ยาวนานและรุนแรงมากขึ้น ผู้ป่วยจึงเบื่อหน่ายในฤทธิ์ของสุราและค่อยๆปรับตัวจนเลิกรับประทานไปเอง 

รูปแบบของยาแผนปัจจุบันของยาไดซัลฟิแรมที่ใช้กันแพร่หลายจะเป็นยาชนิดรับประทาน โดยตัวยามีการดูดซึมจากระบบทางเดินอาหารอย่างช้าๆ ตับจะคอยเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของยาในกระ แสเลือดไปเป็นสารออกฤทธิ์ที่มีชื่อว่า Diethyldithiocarbamate ร่างกายต้องใช้เวลาประมาณ 60 - 120 ชั่วโมงในการกำจัดยาไดซัลฟิแรมจำนวน 50% ออกจากกระแสเลือด 

การใช้ยาไดซัลฟิแรมกับผู้ป่วยไปนานๆจะไม่ก่อให้เกิดอาการดื้อยาแต่อย่างใด แพทย์จะไม่ใช้ยานี้กับผู้ป่วยที่เพิ่งดื่มสุราภายใน 12 ชั่วโมงที่ผ่านมา และก่อนการใช้ยาต้องชี้แจงกับผู้ป่วยให้ความร่วมมือในการรักษาด้วยความตั้งใจ 

ทั้งนี้มีข้อจำกัดบางประการที่ทำให้แพทย์ไม่สามารถใช้ยาไดซัลฟิแรมกับผู้ป่วยได้ เช่น

  • ผู้ป่วยมีประวัติแพ้ยาชนิดนี้หรือแพ้ยาที่กระตุ้นการแพ้เหมือนยาไดซัลฟิแรม เช่น ยากลุ่ม Cephalosporins อย่างเช่นยา Cefoperazone, Cefamandole และ Cefotetan
  • ผู้ป่วยอยู่ในภาวะเมาสุราและไม่มีสติสัมปชัญญะในการรับรู้
  • เป็นผู้ป่วยมีโรคหัวใจและหลอดเลือดขั้นรุนแรง, ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดบริเวณหัวใจทำงานผิดปกติ หรือผู้ที่มีอาการทางจิตประสาท
  • ผู้ป่วยมีการรับประทานยาบางชนิดในขณะนั้น เช่นยา Metronidazole, ยาน้ำเชื่อมแก้ไอบางประเภท อาทิยา  Coldene Cough Syrup 15%, ยาต้านการแข็งตัวของเลือดอย่างเช่นยา Warfarin, ยากลุ่ม Benzodiazepines เช่นยา  Alprazolam 
  • เป็นกลุ่มผู้ป่วย เด็ก(นิยามคำว่าเด็ก)  วัยรุ่น สตรีตั้งครรภ์ สตรีที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร

อนึ่งเมื่อมีการสั่งจ่ายยาไดซัลฟิแรมให้กับผู้ป่วย แพทย์จะให้คำแนะนำเพิ่มเติมพร้อมกับข้อควรระวังในระหว่างการใช้ยานี้โดยจะคำนึงถึงความปลอดภัยและประโยชน์ที่ผู้ป่วยจะได้รับสูงสุด เช่น

  • หลีกเลี่ยงการขับขี่ยวดยานพาหนะใดๆด้วยตัวยาอาจก่อให้เกิดอาการง่วงนอนซึ่งจะส่งผลต่อการขับขี่จนอาจเกิดอันตรายได้
  • หลังใช้ยานี้แล้วพบอาการ ตัวเหลือง- ตาเหลือง ปัสสาวะมีสีคล้ำ เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ซึ่งเป็นอาการที่ผิดปกติอันเนื่องมาจากตับ ต้องรีบนำตัวผู้ป่วยมาพบแพทย์/มาโรงพยาบาลโดยเร็ว
  • กรณีที่ผู้ป่วยต้องเข้ารับการผ่าตัดหรือเข้าคลินิกทันตกรรมจะต้องแจ้งให้แพทย์/ทันตแพทย์ทราบด้วยว่าตนเองใช้ยาไดซัลฟิแรมอยู่
  • ระหว่างการใช้ยานี้ ต้องหลีกเลี่ยงการดื่มสุราหรือบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบด้วยเด็ดขาด
     

สำหรับประเทศไทยเราโดยคณะกรรมการอาหารและยาได้บรรจุให้ยาไดซัลฟิแรมเป็นยาที่อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติโดยอยู่ในหมวดของยาอันตราย การใช้ยาจะต้องเป็นไปตามคำสั่งแพทย์เท่านั้น ห้ามมิให้ผู้ป่วย/ผู้บริโภคไปซื้อหายามารับประทานเองโดยเด็ดขาด
หมายเหตุ: ในต่างประเทศยาชื่อการค้าของยานี้คือ Antabuse, Antabus

ไดซัลฟิแรมมีสรรพคุณ (คุณสมบัติ) รักษาโรคอะไร?

ไดซัลฟิแรม

ยาไดซัลฟิแรมมีสรรพคุณ/ข้อบ่งใช้: เช่น

  • รักษาอาการติดสุราเรื้อรัง

ไดซัลฟิแรมมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?

กลไกการออกฤทธิ์ของยาไดซัลฟิแรมคือ ตัวยาจะเข้าปิดกั้นและออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่มีชื่อว่า Aldehyde dehydrogenase ทำให้กลไกในการทำลายแอลกอฮอล์ในเลือดลดน้อยลงไป ส่งผลให้ร่างกายตอบสนองต่อฤทธิ์ของแอลกอฮอล์รุนแรงขึ้น แม้แต่การรับประทานแอลกอฮอล์เพิ่มเข้าไปเล็กน้อยก็จะกระตุ้นให้ร่างกายผู้ป่วยได้รับพิษจากแอลกอฮอล์มากยิ่งขึ้น จากกลไกเหล่านี้ ทำให้ผู้ที่ติดสุราเกิดความกลัวที่จะดื่มสุราจึงลดปริมาณการดื่มลง จนเป็นที่มาของสรรพคุณ

ไดซัลฟิแรมมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?

ยาไดซัลฟิแรมมีรูปแบบการจัดจำหน่าย:

  • ยาเม็ดชนิดรับประทาน ขนาด 250 และ 500 มิลลิ กรัม/เม็ด

ไดซัลฟิแรมมีขนาดรับประทานอย่างไร?

ยาไดซัลฟิแรมมีขนาดรับประทาน เช่น

  • ผู้ใหญ่: เริ่มรับประทาน 500 มิลลิกรัมวันละครั้งเป็นเวลา 1 - 2 สัปดาห์จนผู้ป่วยงดดื่มแอล กอฮอล์ ขนาดยาที่ใช้คงระดับการรักษารับประทาน 250 มิลลิกรัม/วันเป็นเวลา 6 เดือน - 1 ปีโดยต้องเป็นไปตามคำสั่งแพทย์ และขนาดรับประทานสูงสุดไม่เกิน 500 มิลลิกรัม/วัน
  • เด็ก (นิยามคำว่าเด็ก): ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดถึงผลข้างเคียงและความปลอดภัยในการใช้ยานี้ในเด็ก การใช้ยานี้ ในเด็กจึงต้องอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษาเป็นกรณีๆไป

*อนึ่ง:

  • การรับประทานยาไดซัลฟิแรมจะเริ่มได้เมื่อมีการหยุดดื่มสุราอย่างน้อย 12 ชั่วโมงไปแล้ว
  • สามารถรับประทานยานี้ก่อนหรือพร้อมอาหารก็ได้

*****หมายเหตุ: ขนาดยาและระยะเวลาในการใช้ยาที่ระบุในบทความนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำสั่งใช้ยาของแพทย์ได้ การใช้ยาที่เหมาะสมควรต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ

เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?

เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมถึงยาไดซัลฟิแรม ผู้ป่วยควรแจ้ง  แพทย์ พยาบาล และเภสัชกร เช่น

  • ประวัติแพ้ยาทุกชนิด เช่น กินยา/ใช้ยาแล้วคลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือแน่นหายใจ/หายใจลำบาก/หอบเหนื่อย
  • มีโรคประจำตัวต่างๆ รวมทั้งกำลังกินยา/ใช้ยาอะไรอยู่ เพราะยาไดซัลฟิแรมอาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรืออาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆที่กิน/ที่ใช้อยู่ก่อน
  • หากเป็นสุภาพสตรีควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์/มีครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร เพราะยาหลายประเภทสามารถผ่านทางน้ำนมหรือทางรก และเข้าสู่ทารกจนเกิดผลข้างเคียงได้

หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร?

หากลืมรับประทานยาไดซัลฟิแรม สามารถรับประทานเมื่อนึกขึ้นได้ ถ้าเวลาใกล้เคียงกับการรับประทานยาในมื้อถัดไป ไม่จำเป็นต้องเพิ่มขนาดรับประทานเป็น 2 เท่า

อย่างไรก็ตามเพื่อประสิทธิผลของการรักษา ควรรับประทานยาไดซัลฟิแรมให้ตรงเวลาเสมอ

ไดซัลฟิแรมมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?

ยาไดซัลฟิแรมก่อให้เกิดผล/ อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา (ผลข้างเคียง/อาการข้างเคียง)  เช่น

  • ประสาทตาอักเสบ
  • ปลายประสาทอักเสบ/โรคเส้นประสาท
  • ตับอักเสบ
  • ตับหยุดหลั่งน้ำดี
  • อาจเกิดอาการแพ้ทางผิวหนัง/ผด-ผื่นตามผิวหนัง
  • ง่วงนอน
  • อ่อนเพลีย
  • ปวดหัว
  • เกิดสิว
  • การรับรสชาติเปลี่ยนไป
  • อาจเกิดภาวะทางจิตผิดปกติขึ้นได้

มีข้อควรระวังการใช้ไดซัลฟิแรมอย่างไร?

มีข้อควรระวังการใช้ยาไดซัลฟิแรม เช่น

  • ห้ามใช้กับผู้แพ้ยานี้
  • ห้ามใช้ยาไดซัลฟิแรมในขณะที่ผู้ป่วยได้รับยาต่อไปนี้ เช่นยา Metronidazole, Paraldehyde   หรือเพิ่งดื่มแอลกอฮอล์ หรือได้รับยาที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบแม้เพียงเล็กน้อยก็ตามอย่างเช่น ยาแก้ไอชนิดน้ำ
  • ห้ามใช้ยานี้กับผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดขั้นรุนแรงรวมถึงโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดแดงในบริเวณหัวใจทุกกรณี
  • ญาติควรให้กำลังใจและสนับสนุนชักจูงโน้มน้าวให้ผู้ป่วยลด-ละ-เลิกการดื่มสุราพร้อมทั้งจัดสภาพแวดล้อมที่ปลอดจากสุรา

*อนึ่ง กรณีที่รับประทานยาไดซัลฟิแรมไปแล้วและมีการดื่มสุราหรือเครื่องดื่มหรือรับประทานยาที่มีแอลกอฮอล์เป็นองค์ประกอบ จะทำให้ร่างกายได้รับพิษจากแอลกอฮอล์มากขึ้น โดยอาจมีอาการ เช่น ใบหน้าแดง ปวดตุบๆในศีรษะ-คอ  อึดอัด/หายใจลำบาก  คลื่นไส้อาเจียน เหงื่อออกมาก กระหายน้ำ เจ็บหน้าอก  ชีพจรเต้นผิดจังหวะ  หัวใจเต้นเร็วอาจหยุดหายใจ  ความดันโลหิตต่ำ  ตาพร่า รู้สึกสับสน ซึ่งหากมีอาการรุนแรงมากอาจทำให้หลอดเลือดบริเวณหัวใจทำงานล้มเหลวและเต้นผิดจังหวะ หมดสติ มีอาการชัก  เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว จนถึงขั้นตายได้ในที่สุด ดังนั้นผู้ป่วยและครอบครัวต้องตระหนักอย่างที่สุดถึงผลข้อนี้  อย่างไรก็ตามเมื่อผู้ป่วยมีอาการดังกล่าวต้องรีบไปโรงพยาบาลทันที/ฉุกเฉิน

  • ห้ามปรับเปลี่ยนขนาดรับประทานด้วยตนเอง
  • ห้ามใช้ยาที่มีสภาพเปลี่ยนไป
  • ห้ามใช้ยานี้กับสตรีตั้งครรภ์ สตรีที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร และเด็ก โดยไม่มีคำสั่งจากแพทย์
  • หากพบอาการแพ้ยานี้ควรส่งตัวผู้ป่วยพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลทันที/ฉุกเฉิน
  • มาพบแพทย์ตามนัดทุกครั้งเพื่อประเมินสภาพและอาการของผู้ป่วยว่าดีขึ้นเป็นลำดับหรือไม่ เพื่อการรักษาที่เหมาะสม
  • ห้ามแบ่งยาให้ผู้อื่นใช้
  • ห้ามใช้ยาหมดอายุ
  • ห้ามเก็บยาหมดอายุ

***** อนึ่ง ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา” ที่รวมถึงยาแผนปัจจุบันทุกชนิด (รวมยาไดซัลฟิแรมด้วย) ยาแผนโบราณ   อาหารเสริม   ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ทุกชนิด และสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกครั้งควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ (อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอด้วยเช่นกัน

ไดซัลฟิแรมมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?

ยาไดซัลฟิแรมมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่น เช่น

  • ห้ามใช้ยาไดซัลฟิแรม ร่วมกับยาต้านไวรัส Amprenavir/ Fosamprenavir ชนิดน้ำด้วยในสูตรตำรับ Amprenavir มีส่วนประกอบของแอลกอฮอล์ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยได้รับอาการข้างเคียงจากยาไดซัลฟิแรมมากยิ่งขึ้น
  • การใช้ยาไดซัลฟิแรม ร่วมกับยา Cetirizine อาจทำให้ผู้ป่วยได้รับอาการข้างเคียงได้มากขึ้น เช่น มีอาการวิงเวียน ง่วงนอน ขาดสมาธิ หากไม่มีความจำเป็นใดๆควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาร่วมกัน
  • การใช้ยาไดซัลฟิแรม ร่วมกับยา Theophylline อาจทำให้ผู้ป่วยได้รับอาการข้างเคียงจากยา Theophylline มากยิ่งขึ้นเช่น คลื่นไส้อาเจียน นอนไม่หลับ กระสับกระส่าย หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือ ไม่ก็เกิดอาการลมชัก หากจำเป็นต้องใช้ยาร่วมกันแพทย์จะปรับขนาดรับประทานให้เหมาะสมเป็นกรณีไป
  • การใช้ยาไดซัลฟิแรม ร่วมกับยา Lovastatin จะเพิ่มความเสี่ยงเกิดการทำลายของเส้นประสาท กรณีจำเป็นต้องใช้ยาร่วมกันแพทย์จะปรับขนาดรับประทานให้เหมาะสมเป็นรายบุคคลไป

ควรเก็บรักษาไดซัลฟิแรมอย่างไร?

ควรเก็บยาไดซัลฟิแรม:

  • เก็บยาในช่วงอุณหภูมิ 20 - 25 องศาเซลเซียส (Celsius)
  • ไม่เก็บยาในช่องแช่แข็งของตู้เย็น
  • ไม่เก็บยาในห้องน้ำหรือในรถยนต์
  • เก็บยาในภาชนะที่ปิดมิดชิด พ้นแสง/ แสงแดด ความร้อน และความชื้น  
  • เก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง

ไดซัลฟิแรมมีชื่ออื่นอีกไหม? ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?

ยาไดซัลฟิแรม  มียาชื่อการค้าอื่น และบริษัทผู้ผลิต เช่น

ชื่อการค้า บริษัทผู้ผลิต
Alcobuse (อัลโคบิวส์) T.O. Chemicals
Anta-al (แอลตา-ออล) T. Man Pharma
Antinol (แอนทินอล) Charoen Bhaesaj Lab
Chronol (โครนอล) Charoon Bhesaj
Difiram (ไดฟิแรม) Central Poly Trading

 

บรรณานุกรม

  1. https://www.drugs.com/mtm/disulfiram.html  [2022,April2]
  2. https://en.wikipedia.org/wiki/Disulfiram  [2022,April2]
  3. https://www.mims.com/Thailand/drug/search?q=disulfiram  [2022,April2]
  4. https://www.drugs.com/drug-interactions/disulfiram-index.html?filter=3&generic_only=  [2022,April2]