อาการกระตุกรัว กล้ามเนื้อกระตุกรัว (Myoclonus)
- โดย ศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า
- 21 มกราคม 2566
- Tweet
สารบัญ
- บทนำ
- อาการกระตุกรัวคืออะไร? พบบ่อยไหม?
- อาการกระตุกรัวเกิดขึ้นได้อย่างไร?
- อะไรเป็นสาเหตุของอาการกระตุกรัว?
- อาการกระตุกรัวเกิดขึ้นที่ส่วนไหนของร่างกายได้บ้าง??
- อาการกระตุกรัวมีอันตรายหรือไม่?
- ควรพบแพทย์เมื่อใด?
- แพทย์วินิจฉัยอาการกระตุกรัวได้อย่างไร?
- รักษาอาการกระตุกรัวอย่างไร?
- การดูแลตนเองควรทำอย่างไร? ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไร?
- ป้องกันอาการกระตุกรัวได้อย่างไร?
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- โรคสมอง โรคทางสมอง (Brain disease)
- สมองอักเสบเหตุภูมิคุ้มกันผิดปกติ สมองอักเสบจากภูมิต้านตนเอง (Autoimmune encephalitis)
- โรคอัมพาต โรคอัมพฤกษ์ โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
- โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease)
- ลมชัก (Epilepsy)
- สมองพร่องออกซิเจน (Brain hypoxia)
- สมองขาดออกซิเจน สมองพร่องออกซิเจน (Cerebral hypoxia)
- โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง หรือโรคเอมเอส (MS: Multiple Sclerosis)
บทนำ
หลายคนคงเคยมีอาการกระตุก/กล้ามเนื้อกระตุกของแขนหรือขาที่เป็นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ซ้ำๆหลายๆครั้ง และเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ 1-2 วินาทีเท่านั้น, คงตกใจว่าเป็นอะไร, อาการกล้ามเนื้อกระตุกแบบนั้นเรียกว่า “อาการกล้ามเนื้อกระตุกรัว (Myoclonus)” อาการดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร อันตรายหรือไม่ รักษาอย่างไร อ่านได้จากบทความนี้ครับ
อนึ่ง: ในบทความนี้ ขอเรียก ‘อาการกล้ามเนื้อกระตุกรัว’ นี้ว่า “อาการกระตุกรัว”
อาการกระตุกรัวคืออะไร? พบบ่อยไหม?
อาการกระตุกรัว/กล้ามเนื้อกระตุกรัว เป็นอาการ ไม่ใช่โรค ซึ่งอาการกระตุกรัว คือ อาการที่กล้ามเนื้อเกิดการกระตุกอย่างแรง ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หลายๆครั้ง โดยเป็นเพียงระยะเวลาสั้นมาก ประมาณ 1-2 วินาทีเท่านั้น ลักษณะเป็นขึ้นมาเอง ไม่สามารถควบคุมได้ อาจเป็นเพียงกล้ามเนื้อส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย หรือเป็นกับกล้ามเนื้อทั้งตัวก็ได้
อาการกระตุกรัว/กล้ามเนื้อกระตุกรัว เป็นอาการของโรค ไม่ใช่ตัวโรค พบได้ในหลายโรค และผู้ป่วยโรคนั้นๆไม่จำเป็นต้องมีอาการนี้ทุกคน, โรคต่างๆที่อาจมีอาการนี้ เช่น โรคพาร์กินสัน อัลไซเมอร์ ลมชัก ปลอกประสาทเสื่อมแข็ง โรคจากความผิดปกติในการใช้พลังงานของร่างกาย (Metabolic disorder) ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด (เช่น ยาบางชนิดในกลุ่มยาแก้ปวดในกลุ่มโอปิออยด์, ยากันชัก, ยาปฏิชีวนะ, ยาสลบ),ฯลฯ
อาการกระตุกรัว/กล้ามเนื้อกระตุกรัวที่เป็นอาการจากโรค พบน้อย มีรายงานจากสหรัฐอเมริกา พบอัตราเกิดประมาณ 1-2 รายต่อประชากร 1 แสนคน/ต่อปี เพศหญิงและเพศชายพบใกล้เคียงกัน และพบได้ทุกวัย
อนึ่ง: พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้ความหมายคำว่า “กระตุก” คือ อาการที่กล้ามเนื้อหดและยืดตัวขึ้นมาเองทันที ส่วนคำว่า “รัว” หมายถึง “ไหวถี่ๆ”
อาการกระตุกรัวเกิดขึ้นได้อย่างไร?
อาการกระตุกรัว เกิดขึ้นเนื่องจากเกิดความผิดปกติของวงจรควบคุมการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อมีการเคลื่อนไหวแบบผิดปกติเกิดขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพียงชั่วคราวที่เป็นอาการผิดปกติ เช่น อาการสะอึก, อาการกระตุกตอนนอน, อาการกระตุกเวลาเครียดกังวล, อาการกระตุกผวาในทารก, แต่บางกรณีก็เป็นอาการที่เกิดจากโรคได้ เช่น ในโรคลมชักแบบกระตุก (Myoclonic seizure) ฯลฯ
อะไรเป็นสาเหตุของอาการกระตุกรัว?
สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการกระตุกรัวทั่วไป ได้แก่
- เป็นกลไกปกติของร่างกาย: เป็นสิ่งที่พบได้ในคนปกติทั่วไป ไม่มีสาเหตุผิดปกติเกิด ขึ้น ไม่สัมพันธ์กับโรคใดๆ เช่น สะอึก กระตุกตอนนอน กระตุกผวาในทารก
- จากมีความผิดปกติในสมอง: เนื่องจากมี โรคสมอง เช่น จากภาวะติดเชื้อ (สมองอักเสบ), สมองขาดออกซิเจน/ สมองพร่องออกซิเจน, ความผิดปกติด้านภูมิคุ้มกันต้านทานโรค (สมองอักเสบเหตุภูมิคุ้มกันผิดปกติ), ผลกระทบทางระบบประสาทจาก โรคตับ (โรคสมองเหตุจากโรคตับ), โรคไต, ภาวะหัวใจวาย/ภาวะหัวใจล้มเหลว, โรคอัมพาต, โรคพาร์กินสัน, โรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์
อาการกระตุกรัวเกิดขึ้นที่ส่วนไหนของร่างกายได้บ้าง?
อาการกระตุกรัวนี้ อาจเกิดขึ้นได้ที่ เปลือกตา/หนังตา ตา ปาก แขน ขา ลำตัว กะบังลม, ซึ่งอาการกระตุกนี้ส่วนใหญ่ เกิดขึ้นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น เช่น หนังตากระตุก แขนขากระตุก สะอึก (อาการกระตุกของกะบังลม) และขณะที่กำลังจะหลับก็อาจมีอาการกระตุก หรือสะดุ้งทั้งตัวได้
อาการกระตุกรัวมีอันตรายหรือไม่?
อาการกระตุกรัวเกือบทั้งหมดไม่มีอันตราย ไม่ก่อผลข้างเคียง/ภาวะแทรกซ้อน แต่ถ้าอาการกระตุกนั้นเป็นอยู่นาน ต่อเนื่องหลายๆวัน เช่น สะอึกติดต่อกันทั้งวันทั้งคืน หลายๆวัน ก็ต้องหาสาเหตุ, อาการกระตุกแขนขา และ/หรือลำตัวร่วมกับความจำเสื่อม ความรู้สึกตัวลดลง หรือเซ อาการเหล่านี้ก็ต้องหาสาเหตุ เพราะเป็นอันตรายได้ เช่น การสะอึกต่อเนื่อง จะมีผลต่อการกิน การพูด การหายใจ หรือ การกระตุกของแขนขา จะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวหยิบจับสิ่งของ และเกิดการล้มได้งาย
ควรพบแพทย์เมื่อใด?
ควรไปพบแพทย์/ไปโรงพยาบาล เมื่อมีอาการกระตุกฯต่อเนื่องนานเป็นวัน หรือ หลายวัน, หรืออาการกระตุกฯก่อผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน, หรือมีอาการผิดปกติอย่างอื่นๆร่วมด้วย เช่น มีปัญหาในการ กลืน พูด หรือ การหายใจ หรือเกิดร่วมกับความจำเสื่อม
แพทย์จะวินิจฉัยว่ามีอาการกระตุกรัวได้อย่างไร?
ทั่วไป แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นอาการกระตุกรัวจาก
- อาการที่ผู้ป่วยเล่า และอาการที่แพทย์มองเห็น/ตรวจพบ
- ร่วมกับการสอบถามประวัติทางการแพทย์ต่างๆเพิ่มเติม เพื่อหาสาเหตุของอาการกระตุก เช่น ยาที่ใช้อยู่
- และร่วมกับการตรวจร่างกายว่า มีความผิดปกติอื่นๆร่วมด้วยหรือไม่, ถ้ามีก็ต้องหาสาเหตุหรือโรคร่วม ซึ่งแพทย์ก็จะพิจารณาการสืบค้นเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุ, ทั้งนี้การจะตรวจสืบค้นอะไรเพิ่มเติมจะต่างกันในแต่ละผู้ป่วย ขึ้นกับความผิดปกติที่แพทย์ตรวจพบ และดุลพินิจของแพทย์ เช่น การตรวจเลือดดูการทำงาน ของตับ ของไต, หรือการตรวจภาพสมอง เพื่อดูรอยโรคในสมองด้วย เอกซเรย์คอมพิวเตอร์/ซีทีสแกน หรือเอมอาร์ไอ
รักษาอาการกระตุกรัวอย่างไร?
เมื่อมีอาการกระตุกรัว ส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องให้การรักษา เพราะเป็นเพียงชั่วคราวในระยะเวลาสั้นๆ แต่ในบางกรณีที่พบมีโรคร่วมด้วย (มีการกระตุกต่อเนื่อง) ก็ต้องรักษาโรคร่วม เพื่อแก้ไขสาเหตุ ซึ่งการรักษาจะแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละราย เช่น การรักษา โรคสมองอักเสบ โรคตับ หรือโรคไต
นอกจากนั้น คือ การรักษาอาการกระตุกที่เกิดต่อเนื่อง โดยให้ยาที่ควบคุมอาการกระตุก เช่น ยานอนหลับ หรือ ยากันชัก, บางกรณีที่อาการกระตุกเป็นเฉพาะที่ เช่น โรคใบหน้ากระตุกครึ่งซีก, การฉีดยาโบทูไลนุ่มทอกซิน/โบทอกซ์ (Botulinum toxin: Botox) เพื่อช่วยคลายกล้ามเนื้อก็ได้ผลดี
แต่กรณีมีอาการกระตุกทั่วตัว หรือกรณีอาการไม่ตอบสนองต่อยา แพทย์อาจพิจารณารักษาอาการกระตุกด้วยการผ่าตัด ฝั่งเครื่องกระตุ้นสมองด้วยไฟฟ้า (Deep brain stimulation)
การดูแลตนเองควรทำอย่างไร? ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไร?
เมื่อมีอาการกระตุกรัวที่เกิดขึ้นตามปกติ ก็ไม่จำเป็นต้องมีการดูแลตนเองเป็นพิเศษแต่อย่างไร เพราะไม่ใช่เรื่องผิดปกติ ยกเว้น เมื่ออาการเกิดบ่อย และมีอาการอยู่นานในแต่ละครั้ง ก็ควรต้องพบแพทย์/ไปโรงพยาบาล เพื่อการตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุ
ส่วนเมื่อมีอาการกระตุกรัวที่เกิดจากโรค และได้พบแพทย์แล้ว การดูแลตนเอง ทั่วไปคือ
- ไม่เครียด ไม่กังวล
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ไม่ควรตกใจกับอาการที่เกิดขึ้น
- ต้องหมั่นดูแล รักษา ควบคุม โรคร่วมต่างๆที่เป็นอยู่/เป็นต้นเหตุให้ดี
- พบแพทย์/มาโรงพยาบาลตามแพทย์นัด, และ
- พบแพทย์/มาโรงพยาบาลก่อนนัด เมื่อ
- อาการกระตุกเป็นบ่อยขึ้น และ/หรือ แต่ละครั้งเป็นนานขึ้น
- มีอาการต่างๆที่ผิดปกติไปจากเดิม และ/หรือ
- เมื่อกังวลในอาการ
ป้องกันอาการกระตุกรัวได้อย่างไร?
ไม่มีการป้องกันอาการกระตุกรัวที่เกิดตามปกติ, แต่สามารถป้องกันอาการกระตุกรัวที่ผิดปกติที่เกิดจากโรคได้ โดยการป้องกัน รักษา ควบคุมโรคต่างๆที่เป็นสาเหตุ (ดังได้กล่าวแล้วในหัวข้อ สาเหตุ) เช่น โรคอัมพาต สมองอักเสบ สมองขาดออกซิเจน โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์ โรคตับ โรคไต ซึ่งการป้องกันโรคส่วนใหญ่ สามารถทำได้ด้วยวิธีง่ายๆ คือ การรักษาสุขภาพกาย สุขภาพจิต ให้แข็งแรง ด้วยการรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ)
อนึ่ง: แนะนำอ่านเพิ่มเติม เรื่องโรคต่างๆที่เป็นสาเหตุเหล่านี้ ที่รวมถึงการดูแลตนเอง และการป้องกัน ฯลฯ ได้ในแต่ละบทความที่เกี่ยวข้องจากเว็บ hamor.com