ภาวะเครียดของทารกในครรภ์ (Fetal distress)
- โดย รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิง ประนอม บุพศิริ
- 26 มิถุนายน 2565
- Tweet
สารบัญ
- ภาวะเครียดของทารกในครรภ์คืออะไร?
- ภาวะเครียดของทารกในครรภ์มีอันตรายหรือไม่?
- อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะเครียดของทารกในครรภ์?
- ใครมีปัจจัยเสี่ยงเกิดภาวะเครียดของทารกในครรภ์?
- สตรีตั้งครรภ์จะรู้ได้อย่างไรว่ามีภาวะเครียดของทารกในครรภ์?
- แพทย์วินิจฉัยภาวะเครียดของทารกในครรภ์ได้อย่างไร?
- รักษาภาวะเครียดของทารกในครรภ์อย่างไร?
- การดูแลตนเองเมื่อมีภาวะเครียดของทารกในครรภ์?
- สตรีตั้งครรภ์ต้องไปพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?
- ทารกในครรภ์ที่มีภาวะเครียดเมื่อคลอดมีอันตรายไหม?
- ดูแลตนเองอย่างไรหลังคลอดเมื่อมีภาวะเครียดของทารกในครรภ์?
- ทารกที่มีภาวะเครียดหลังคลอดมีปัญหาหรือไม่?
- สามารถตั้งครรภ์ครั้งต่อไปได้ไหม และเมื่อไหร่?
- ในการตั้งครรภ์ครั้งต่อไปจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำอีกหรือไม่?
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- ภาวะสายสะดือย้อย ภาวะสายสะดือโผล่แลบ (Umbilical cord prolapse)
- ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด (Placental abruption or Abruptio placentae)
- ตั้งครรภ์เกินกำหนด (Postterm pregnancy)
- รกเสื่อม (Placental insufficiency)
- ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนเจ็บครรภ์คลอด (Premature rupture of membranes)
- ภาวะน้ำคร่ำน้อย (Oligohydramnios)
- ภาวะทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (Intrauterine growth restriction)
- การเคลื่อนไหว หรือการดิ้นของทารกในครรภ์ (Fetal movement in pregnancy)
- การผ่าท้องคลอดบุตร การผ่าตัดคลอดบุตรทางหน้าท้อง (Caesarean section)
ภาวะเครียดของทารกในครรภ์คืออะไร?
ภาวะเครียดของทารกในครรภ์(Fetal distress) คือ โรค/ภาวะที่บ่งบอกว่า*ทารก ในครรภ์อยู่ในภาวะที่อันตราย*เกิดเนื่องจากทารกได้รับออกซิเจนจากเลือดของมารดาไม่เพียงพอ มักแสดงออกโดยทารกจะมี’อาการเต้นของหัวใจผิดปกติ’ ซึ่งหากให้การช่วยเหลือให้ทารกคลอดไม่ทันท่วงที, สามารถทำให้ทารกในครรภ์ถึงตายได้
ภาวะเครียดของทารกในครรภ์ เป็นภาวะพบน้อย มีรายงานพบได้ประมาณ 3%ของสตรีทั่วไปที่ได้รับการผ่าท้องคลอดบุตรจากภาวะนี้ ซึ่งพบได้สูงขึ้นเป็นประมาณ 20%เมื่อ มารดาอยู่ในกลุ่มมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะนี้
ภาวะเครียดของทารกในครรภ์มีอันตรายหรือไม่?
ภาวะเครียดของทารกในครรภ์ *เป็นภาวะที่อันตราย*หากช่วยเหลือทารกให้คลอดได้ไม่ทันท่วงที, สามารถทำให้ทารกในครรภ์ มี*ความพิการทางสมอง,หรือถึงตายได้* จากสมองและร่างกายทารกขาดออกซิเจนที่รุนแรง
อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะเครียดของทารกในครรภ์?
ทารกในครรภ์ที่เกิดภาวะเครียด เกิดจากทารกได้รับออกซิเจนจากเลือดของมารดาไม่เพียงพอ ซึ่งออกซิเจนที่จะส่งไปยังทารกในครรภ์จะถูกส่งผ่านไปยังรก,และไปยังเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆของทารก
ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เลือดไปเลี้ยงทารกในครรภ์ไม่เพียงพอที่พบบ่อย เช่น
- รกลอกตัวก่อนกำหนด
- ภาวะสายสะดือย้อย/ ภาวะสายสะดือโผล่แลบ: จึงทำให้ส่วนนำของทารก เช่น ศีรษะทารกในครรภ์ที่อยู่ใน’ท่าปกติ,’หรือ ก้นทารกในทารกท่าก้น, ไปกดสายสะดือ, ทารกจึงได้รับเลือด/ออกซิเจนน้อยลง
- ภาวะน้ำคร่ำน้อย หรือ ภาวะถุงน้ำคร่ำแตกก่อนเจ็บครรภ์คลอด: จึงทำให้สายสะดือ ถูกกดทับได้ง่ายเวลามีการหดรัดตัวของมดลูก
- มีความผิดปกติของเส้นเลือดของมารดาและ/หรือของรก: เช่น กรณีที่มารดามีความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคไต การตั้งครรภ์เกินกำหนดที่ทำให้รกเสื่อม หรือมีรกเสื่อมจากเหตุอื่น(อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง รกเสื่อม)
ใครมีปัจจัยเสี่ยงเกิดภาวะเครียดของทารกในครรภ์?
หญิงตั้งครรภ์ที่มีปัจจัยเสี่ยงเกิดภาวะเครียดของทารกในครรภ์ที่พบบ่อย เช่น
- ผู้มีโรคประจำตัวที่เกี่ยวกับเส้นเลือด: ซึ่งทำให้เลือดไปเลี้ยงทารกในครรภ์ไม่เพียงพอ เช่น มีโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไต
- ผู้มีภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด: อ่านเพิ่มเติมเรื่อง รกลอกตัวก่อนกำหนด ได้ในเว็บ com
- ผู้มีภาวะสายสะดือโผล่แลบ: อ่านเพิ่มเติมเรื่อง สายสะดือโผล่แลบ ได้ในเว็บ com
- ผู้มีถุงน้ำคร่ำแตกก่อนเจ็บครรภ์คลอด หรือ มีน้ำคร่ำน้อย: ซึ่งทำให้สายสะดือถูกกดทับกับส่วนต่างๆของทารก ส่งผลให้เส้นเลือดถูกอุดกั้น เลือดจึงไปเลี้ยงทารกได้น้อยลง(อ่านเพิ่มเติมทั้ง 2 เรื่องได้ในเว็บ com)
- ผู้มีการตั้งครรภ์เกินกำหนด: จะส่งผลให้รกมักเสื่อม ประสิทธิภาพในการส่งเลือดไปเลี้ยงทารกฯจึงไม่ดี (อ่านเพิ่มเติมเรื่อง การตั้งครรภ์เกินกำหนด ได้ในเว็บ com)
- ผู้มีภาวะรกเสื่อม: (อ่านเพิ่มเติมเรื่อง ภาวะรกเสื่อม ได้ในเว็บ com)
- ผู้มีภาวะทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์: ซึ่งมักเกิดจากรกทำงานไม่ดี/รกเสื่อม และ/หรือมีภาวะน้ำคร่ำน้อย (อ่านเพิ่มเติมเรื่อง ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ ได้ในเว็บ com)
- ผู้ได้รับยากระตุ้นการบีบตัวของมดลูกมากเกินไป: เช่น ยา Oxytocin จึงทำให้เส้นเลือดมดลูกหดตัว ส่งผลให้ขาดเลือดไปเลี้ยงรกและทารกในครรภ์เป็นเวลานาน
สตรีตั้งครรภ์จะรู้ได้อย่างไรว่ามีภาวะเครียดของทารกในครรภ์?
สตรีตั้งครรภ์จะรู้ได้ว่ามีภาวะเครียดของทารกในครรภ์โดย
- ส่วนมากสตรีตั้งครรภ์จะ’ไม่ทราบ’ว่า ทารกในครรภ์มีภาวะเครียด คือไม่รู้สึกว่ามีอาการผิดปกติของทารกมาก่อน จนกระทั่งทารกมีภาวะเครียดมากจนทารกเสียเสียชีวิต/ไม่ดิ้นแล้ว(แนะนำอ่านเพิ่มเติมในเว็บ com บทความเรื่อง การดิ้นของทารกในครรภ์)
- รู้สึกว่าทารกในครรภ์ดิ้นลดลง หรือไม่ดิ้น(อ่านเพิ่มเติมในเว็บ com บทความเรื่อง การเคลื่อนไหวหรือการดิ้นของทารกในครรภ์)
- กรณีที่ทารกในครรภ์มีภาวะเครียดเรื้อรัง: จะเกิดภาวะทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ มารดาอาจสังเกตได้ว่า ขนาดของครรภ์ไม่โตขึ้นตามอายุครรภ์
แพทย์วินิจฉัยภาวะเครียดของทารกในครรภ์ได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยภาวะเครียดของทารกในครรภ์ได้จาก
- ตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจทารกที่ผิดปกติไป ซึ่งอัตราการเต้นของหัวใจทารกที่ปกติจะอยู่ระหว่าง110-160 ครั้งต่อนาที, หากอัตราการเต้นฯเร็วกว่านี้หรือช้ากว่านี้ถือว่า’ผิดปกติ’
- การตรวจที่สำคัญ: คือ ตรวจด้วยเครื่องมือที่บันทึกรูปกราฟลักษณะการเต้นของหัวใจทารกที่เรียกว่า Electronic fetal heart rate monitoring ที่จะให้ข้อมูลได้มากกว่าการฟังเสียงการเต้นของหัวใจทารกด้วยหูฟังผ่านหน้าท้องมารดาเพียงวิธีการอย่างเดียว โดยแบ่งผลการตรวจ Electronic fetal heart rate monitoring ได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
- กลุ่มที่ 1 (Category I): ลักษณะผลการตรวจการเต้นของหัวใจทารก บ่งบอกว่า ‘ทารกปกติ’ (Reassuring pattern) มีอัตราการเต้นของหัวใจเฉลี่ย 110-160 ครั้งต่อนาที
- กลุ่มที่ 2 (Category II): ลักษณะผลการตรวจการเต้นของหัวใจทารก เป็นงแบบก้ำกึ่ง’ คือ ‘บอกไม่ได้ชัดเจน’ว่าทารกปกติหรือผิดปกติ
- กลุ่มที่ 3 (Category III): ลักษณะผลการตรวจการเต้นของหัวใจทารก บ่งบอกว่าการเต้นฯผิดปกติ(ช้าหรือเร็วกว่าปกติอย่างชัดเจน) ซึ่งบอกได้ว่า ‘ทารกผิดปกติ’ (Non-reassuring pattern)
รักษาภาวะเครียดของทารกในครรภ์อย่างไร?
แนวทางการรักษาภาวะเครียดของทารกในครรภ์ เช่น
ก. หากผลการตรวจ Electronic fetal heart rate monitoring บ่งบอกว่าทารกอยู่ใน Category I: แสดงว่าทารกในครรภ์ยังมีสุขภาพดี สตรีตั้งครรภ์สามารถกลับไปพักที่บ้านได้ โดยแพทย์จะอธิบายให้สตรีตั้งครรภ์สังเกตอาการที่ต้องรีบมาโรงพยาบาลโดยด่วน/ฉุกเฉิน คือ ทารกในครรภ์ดิ้นน้อยลง, ซึ่งโดยทั่วไปผลการตรวจ Category I /ผลปกติ จะสะท้อนว่า น่าจะไม่มีปัญหากับทารกในครรภ์ภายใน 1 สัปดาห์นับจากการตรวจ ยกเว้นมีเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง เช่น ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด, ซึ่งสตรีตั้งครรภ์กลุ่มนี้ แพทย์จะนัดมาติดตามอาการทุก 1 สัปดาห์
ข. หากผลตรวจ Electronic fetal heart rate monitoring อยู่ใน Category II: สุขภาพทารกในครรภ์ต้องมีการเฝ้าระวังจากแพทย์อย่างใกล้ชิดมากขึ้น แพทย์จะมีการตรวจวิธีอื่นเพิ่มเติมเพื่อยืนยันความมีสุขภาพดีของทารก ได้แก่ การตรวจทารกในครรภ์ด้วยเทคนิคเฉพาะจากอัลตราซาวด์ ที่เรียกว่า Biophysical profile, และมักมีการนัดสตรีตั้งครรภ์มาตรวจหรือทำการตรวจ Electronic fetal heart rate monitoring สัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือถี่กว่านั้น, หากจำเป็นแพทย์อาจให้สตรีตั้งครรภ์นอนสังเกตอาการที่โรงพยาบาล
ค. หากอัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ ช้าหรือเร็ว กว่าอัตราปกติ/ ผลตรวจ Electronic fetal heart rate monitoring อยู่ใน Category III: แพทย์จะรีบทำการช่วยชีวิตทารกในครรภ์(Intrauterine resuscitation) เช่น
- จัดให้มารดาเปลี่ยนท่าจากนอนหงายเป็นนอนตะแคง เพื่อช่วยลดการที่มดลูกอาจไปกดเส้นเลือดใหญ่ของมารดาแล้วทำให้เลือดไหลเวียนกลับหัวใจมารดาน้อยลง ทำให้ส่งเลือดไปเลี้ยงทารกในครรภ์ได้ลดลง
- ให้มารดาสูดดมออกซิเจน
- หากแพทย์กำลังให้ยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูกแก่มารดา, แพทย์จะหยุดให้ยาดังกล่าว
- ให้น้ำเกลือ/สารน้ำเข้าเส้นเลือดดำมารดา เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำเลือดเพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังทารกในครรภ์
- เฝ้าติดตามอัตราการเต้นของหัวใจทารกในครรภ์ และทำการบันทึกกราฟ: หากเกิน 30 นาทีหลังจากที่ให้การช่วยเหลือทารกในครรภ์ด้วยวิธีการดังกล่าวแล้ว, อัตราการเต้นของหัวใจทารกยังผิดปกติเหมือนเดิม, แพทย์จะรีบนำมารดาไปผ่าท้องคลอดฯ
การดูแลตนเองเมื่อมีภาวะเครียดของทารกในครรภ์?
ภาวะเครียดของทารกในครรภ์เป็นภาวะฉุกเฉินทางสูติกรรม อาการที่มารดาพอสังเกตได้บ้าง คือ การที่ทารกดิ้นลดลง หรือไม่ดิ้น, ซึ่งต้องรีบไปพบแพทย์/สูติแพทย์/ไปโรงพยาบาลรีบด่วน/ฉุกเฉิน ไม่ต้องรอจนถึงวันนัด (แนะนำอ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง การเคลื่อนไหวหรือการดิ้นของทารกในครรภ์)
สตรีตั้งครรภ์ต้องไปพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?
เมื่อไปฝากครรภ์ พอมารดารู้สึกว่าทารกเริ่มดิ้น, ซึ่งในการตั้งครรภ์ครั้งแรก มารดาจะรู้สึกได้เมื่ออายุครรภ์ประมาณ 18-20 สัปดาห์, หากเป็นการตั้งครรภ์ครั้งต่อๆไป มารดาจะรู้สึกถึงทารกดิ้นได้เร็วขึ้น คือเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 16 สัปดาห์, หลังจากการดิ้นครั้งแรกนั้นแล้ว มารดาต้องรู้สึกว่าทารกดิ้นทุกๆวัน, และรู้สึกทารกดิ้นแรงขึ้นเรื่อยๆ จำนวนการดิ้นต่อวันจะมากกว่า 100 ครั้ง, แต่มารดาจะไม่รู้สึกทุกครั้งที่ทารกดิ้น
* โดยทั่วไปแพทย์จะแนะนำให้มารดาสังเกตว่า หากทารกดิ้นมากกว่า 10 ครั้ง ใน 12 ชั่วโมง บ่งบอกว่าวันนั้นๆ สุขภาพทารกยังดีอยู่
*ดังนั้นหากมารดารู้สึกว่าทารกดิ้นน้อยกว่า 10 ครั้งใน 12 ชั่วโมง ต้องรีบด่วนไปพบแพทย์/สูติแพทย์/ไปโรงพยาบาล ไม่ต้องรอจนถึงวันนัด เพื่อแพทย์ประเมินสุขภาพของทารกในครรภ์
ทารกในครรภ์ที่มีภาวะเครียดเมื่อคลอดมีอันตรายไหม?
ทารกที่มีภาวะเครียดขณะอยู่ในครรภ์เกิดจากการขาดออกซิเจนและในการคลอดทางช่องคลอดต้องใช้เวลานาน ซึ่งเมื่อมดลูกหดรัดตัว จะทำให้เลือดที่ไปเลี้ยงทารกลดลงอีก แพทย์จึงต้องเตรียมให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่, โดยส่วนมากแพทย์มักรีบทำคลอดโดย’การผ่าท้องคลอดบุตร’
อันตรายที่จะเกิดกับทารกขึ้นกับว่า ทารกขาดออกซิเจนขณะอยู่ในครรภ์มากน้อยเพียงใด, หากขาดออกซิเจนไม่นาน ได้รับการช่วยเหลือทันท่วงที ก็ไม่มีความพิการต่อสมองทารก, แต่หากขาดออกซิเจนนานจะทำให้สมองทารกพิการได้เมื่อคลอดออกมา หรือหากรุนแรงมาก ทารกอาจตายได้
ดูแลตนเองอย่างไรหลังคลอดเมื่อมีภาวะเครียดของทารกในครรภ์?
การดูแลตนเองของมารดาหลังคลอดกรณีเมื่อมีภาวะเครียดของทารกในครรภ์จะเหมือนในสตรีหลังคลอดทั่วไป ทั้งนี้ขึ้นกับวิธีการคลอดด้วยว่า คลอดทางช่องคลอด หรือผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง(อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com 3 บทความ คือเรื่อง การคลอดบุตร, ระยะหลังคลอด, และเรื่อง การผ่าท้องคลอดบุตร), *รวมถึงต้องมีการรักษาภาวะต่างๆที่เป็นเป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงฯดังกล่าวใน หัวข้อ สาเหตุฯ และหัวข้อ ปัจจัยเสี่ยงฯ’เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป
ทารกที่มีภาวะเครียดขณะอยู่ในครรภ์หลังคลอดมีปัญหาหรือไม่?
ความผิดปกติของทารกหลังคลอด ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการขาดออกซิเจน หากทารกขาดออกซิเจนในครรภ์ไม่นาน, ได้รับการช่วยเหลือให้คลอดทันท่วงที, ก็ไม่มีความพิการต่อสมองทารก ทารกมักมีพัฒนาการทางสมองและร่างกายปกติ
แต่หากทารกขาดออกซิเจนนาน อาจทำให้สมองพิการจนส่งผลให้พัฒนาการด้านสมองและร่างกายของทารกผิดปกติได้
สามารถตั้งครรภ์ครั้งต่อไปได้ไหม และเมื่อไหร่?
การตั้งครรภ์ครั้งต่อไปของมารดาที่มีภาวะเครียดของทารกในครรภ์ ขึ้นกับความพร้อมของมารดา และวิธีการคลอดในครั้งที่ผ่านมา คือคลอดทางช่องคลอด หรือผ่าตัดคลอด โดยทั่วไป สูติแพทย์จะแนะนำให้เว้นการตั้งครรภ์ไปสักระยะ, เพื่อแก้ไขบำบัด รักษาโรคประจำตัวหรือสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่ทำให้เกิดภาวะเครียดของทารกในการตั้งครรภ์ครั้งที่ผ่านมา, ดังนั้นระยะเวลาในการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป จึงแตกต่างกันเป็นกรณีไปตามดุลพินิจของสูติแพทย์
ในการตั้งครรภ์ครั้งต่อไปจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำอีกหรือไม่?
ในการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป อาจเกิดภาวะเครียดของทารกในครรภ์ซ้ำได้ ถ้ามารดายังมีปัจจัยเสี่ยงอยู่ อย่างไรก็ตาม แม้มารดาไม่มีปัจจัยเสี่ยง สตรีตั้งครรภ์ทุกคนต้องระวังไว้เสมอว่า สามารถเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่ทำให้เกิดภาวะเครียดของทารกในครรภ์ได้ตลอดเวลา *การตั้งครรภ์ทุกครรภ์มีความเสี่ยง เพียงแต่จะเป็นการตั้งครรภ์ความเสี่ยงต่ำ หรือการตั้งครรภ์ความเสี่ยงสูงเท่านั้น ดังนั้น *ก่อนตั้งครรภ์ครั้งใหม่จึงควรปรึกษาสูติแพทย์ก่อนเสมอ
บรรณานุกรม
- https://americanpregnancy.org/healthy-pregnancy/labor-and-birth/fetal-distress/ [2022,June25]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Fetal_distress [2022,June25]
- https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/12719676/ [2022,June25]