ภาวะน้ำคร่ำน้อย (Oligohydramnios)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

น้ำคร่ำคืออะไร?

น้ำคร่ำ (Amniotic fluid) บางครั้งเรียก น้ำทูนหัวทารก เป็นของเหลวที่อยู่ในถุงน้ำคร่ำ/ถุงที่เป็นที่อยู่ของทารกในครรภ์ โดยน้ำคร่ำจะอยู่รอบๆตัวทารก ขณะอยู่ในครรภ์ในโพรงมดลูกของมารดา ทารกจะลอยตัวอยู่ในน้ำคร่ำในถุงน้ำคร่ำ โดยน้ำคร่ำนี้จะทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันการกระทบกระเทือนต่อทารก ทำให้ทารกเคลื่อนไหว น้ำคร่ำนี้

-บางส่วนมาจากของเหลวจากเลือดของมารดาที่ซึมผ่าน ถุงน้ำคร่ำ และ/หรือผิวหนังของทารก -แต่ส่วนใหญ่มาจากปัสสาวะของทารก โดยปริมาณน้ำคร่ำจะมากหรือน้อย ขึ้นกับความสมดุลของการกลืนน้ำคร่ำของทารก และการขับปัสสาวะของทารกที่อยู่ในครรภ์ หากทารกไม่มีไต จะไม่สามารถสร้างปัสสาวะได้ ทำให้ไม่มีน้ำคร่ำ หรือมีน้อยมาก (Oligohydramnios) แต่หากทา รกไม่สามารถกลืนน้ำคร่ำได้ จะทำให้น้ำคร่ำมากกว่าปกติ ( Hydramnios หรือ Polyhydram nios)

ภาวะน้ำคร่ำน้อย

น้ำคร่ำมีประโยชน์อย่างไร?

น้ำคร่ำ จะทำหน้าที่

  • เป็นเกราะป้องกันอันตรายต่อทารก
  • ป้องกันแรงกระทบกระเทือนที่จะมีต่อทารก
  • ช่วยรักษาอุณหภูมิของทารกให้คงที่และพอเหมาะ
  • ช่วยให้ทารกเคลื่อนไปมาได้ขณะอยู่ในครรภ์
  • และช่วยลดการกดทับสายสะดือจากตัวทารกเอง

ภาวะน้ำคร่ำน้อยหมายถึงอะไร?

ในการตั้งครรภ์ปกติ จะมีน้ำคร่ำประมาณ 800-1,000 มิลลิลิตร ที่ขณะตั้งครรภ์ประมาณ 37 สัปดาห์ และจะลดลงเรื่อยๆเมื่อครบกำหนดคลอด ความหมายของ “ภาวะน้ำคร่ำน้อย (Oligohydramnios)” คือ ภาวะที่มีน้ำคร่ำน้อยกว่า 500 ซีซี (CC./Cubic centimeter) ขณะช่วงอายุครรภ์ที่ 32 – 36 สัปดาห์ หรือหากตรวจอัลตราซาวด์ดูค่า Amniotic fluid index (AFI, ค่าการคำนวณความลึกของถุงน้ำคร่ำ ที่ได้จากการตรวจถุงน้ำคร่ำ 4 ตำแหน่ง ด้วยอัลตราซาวด์ โดยระดับที่ปกติคือ AFI ประมาณ 5-25 ซม./เซนติเมตร) ถ้าน้อยกว่า 5 ซม. ถือว่ามีภาวะน้ำ คร่ำน้อย หรือหากวัดความลึกถุงน้ำคร่ำเพียงตำแหน่งเดียว (Single deepest pocket) ใช้ระดับถุงน้ำคร่ำที่ลึกสุด น้อยกว่า 2 ซม. ที่จะบ่งบอกว่ามีน้ำคร่ำน้อย และค่าที่วัดได้หากน้อยกว่า 1 ซม. เรียกว่า น้ำคร่ำน้อยอย่างรุนแรง

ภาวะน้ำคร่ำน้อยมีผลกระทบอย่างไรบ้าง?

ผลกระทบจากภาวะน้ำคร่ำน้อย คือ

  • หากมีปริมาณน้ำคร่ำน้อยกว่าปกติ จะมีผลทำให้ทารกเคลื่อนไหวไม่สะดวก ขณะที่อยู่ในครรภ์มารดา ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของทารกได้ (อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ภาวะทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์)
  • สายสะดือถูกกดทับได้ง่าย ทำให้ทารกขาดออกซิเจน ทารกอาจพิการแต่กำเนิด หรือเสีย ชีวิตในครรภ์ได้
  • หากน้ำคร่ำมีปริมาณน้อยตั้งแต่อายุครรภ์น้อยๆ จะทำให้ปอดทารกไม่ขยายเท่าที่ควร ส่ง ผลให้เสียชีวิตในครรภ์ หรือมีปัญหาหลังคลอดได้
  • ทำให้ทารกในครรภ์เกิดการคลอดก่อนกำหนด
  • มีความพิกลพิการของร่างกาย ในกรณีที่ถุงน้ำคร่ำแตกตั้งแต่อายุครรภ์น้อยๆ และเยื่อหุ้มรกไปพันตามแขนขา หรือนิ้วของทารก ทำให้ทารกพิการได้
  • แท้งบุตร หรือทารกเสียชีวิตแรกคลอดได้
  • มีโอกาสได้รับการผ่าตัดคลอด หรือทำสูติศาสตร์หัตถการมากขึ้น เช่น การใช้คีมช่วยคลอด หรือ ใช้เครื่องดูดสุญญากาศ

สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงของภาวะน้ำคร่ำน้อยมีอะไรบ้าง?

สาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะน้ำคร่ำน้อย ได้แก่

  • ถุงน้ำคร่ำรั่ว หรือถุงน้ำคร่ำแตก หรือการเจาะถุงน้ำเพื่อเร่งคลอดโดยแพทย์ ทำให้น้ำคร่ำในถุงลดลงซึ่งเป็นสาเหตุส่วนใหญ่
  • ความพิการของทารก จากมีโครโมโซมผิดปกติ เช่น การไม่มีไต ทำให้ไม่สามารถผลิตปัสสาวะออกมาได้ จึงไม่มีน้ำคร่ำ
  • ภาวะทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ เนื่องจากภาวะที่รกทำงานไม่ดีจากโรคของมารดา ที่ทำให้เลือดไปเลี้ยงทารกไม่เพียงพอ เช่น กรณีที่มารดาเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรค เบาหวาน จึงทำให้เลือดไปเลี้ยงไตทารกไม่ดี มีผลทำให้ทารกผลิตปัสสาวะ และขับออก มาเป็นน้ำคร่ำได้ลดลง
  • การติดเชื้อของมารดาขณะตั้งครรภ์ เช่น จากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
  • การตั้งครรภ์เกินกำหนด รกจะเริ่มเสื่อม ไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ ทำให้เลือดไปเลี้ยงทารกน้อยลง
  • การตั้งครรภ์แฝด ที่เกิดจากแฝดร่วมไข่ และมีการเชื่อมต่อกันผิดปกติของเส้นเลือด ทำให้เลือดถูกส่งไปเลี้ยงทารกคนหนึ่งมากผิดปกติ ส่วนทารกที่มีเลือดมาเลี้ยงน้อยกว่าปกติก็จะมีน้ำคร่ำน้อย
  • ยาแก้ปวดบางชนิดจะทำให้ไตทารกสร้างปัสสาวะลดลง เช่น ยา Indomethacin
  • มารดาได้รับสารพิษขณะตั้งครรภ์ เช่น บุหรี่ แอลกอฮอล์ สารเสพติด
  • ไม่ทราบสาเหตุ

จะรู้ได้อย่างไรว่าน้ำคร่ำน้อย?

สตรีตั้งครรภ์มักไม่รู้ว่าตนเองมีน้ำคร่ำน้อยผิดปกติ แต่ในบางครั้งอาจสังเกตได้ว่าครรภ์ไม่ค่อยโตขึ้น ที่จะเห็นได้ชัดว่าผิดปกติคือ จากมีถุงน้ำคร่ำรั่ว/แตก เพราะจะมีน้ำไหลโชกออกมาจนเปียกหน้าขา

แพทย์วินิจฉัยได้อย่างไรว่าน้ำคร่ำน้อย?

แพทย์วินิจฉัยภาวะน้ำคร่ำน้อยได้จาก

  • ประวัติทางการแพทย์ โดยแพทย์จะทำการสอบถามประวัติทางการแพทย์ที่เกี่ยวกับปัจ จัยเสี่ยงต่างๆ (ดังได้กล่าวแล้วในหัวข้อ สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง) ที่จะทำให้การสร้างน้ำคร่ำลดลง จนนำไปสู่ภาวะน้ำคร่ำน้อย เช่น เรื่องสูบบุหรี่ โรคประจำตัว เป็นต้น
  • การตรวจร่างกาย แพทย์จะตรวจร่างกาย ตรวจขนาดของครรภ์ว่า สัมพันธ์กับอายุครรภ์หรือไม่ ในกรณีที่น้ำคร่ำน้อยผิดปกติ จะทำให้ขนาดของครรภ์เล็กกว่าที่ควรจะเป็น
  • การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ที่สำคัญ คือ การตรวจอัลตราซาวด์ครรภ์ จะบอกภาวะน้ำ คร่ำน้อยได้ค่อนข้างเม่นยำ โดยดูค่า Amniotic fluid index (AFI) ถ้าน้อยกว่า 5 ซม. ถือว่ามีภาวะน้ำคร่ำน้อย หรือหากตรวจวัดที่ตำแหน่งเดียว ใช้ระดับน้ำคร่ำที่ลึกสุด น้อยกว่า 2 ซม. บ่งบอกว่ามีน้ำคร่ำน้อย หรือหากน้อยกว่า 1 ซม เรียกว่า น้ำคร่ำน้อยอย่างรุนแรง นอกจากนั้นการตรวจอัลตราซาวด์จะมีประโยชน์ในการใช้ดูความผิดปกติของอวัยวะต่างๆของทารกได้ เช่น มีไตหรือไม่, มีการอุดกั้นทางเดินปัสสาวะหรือไม่
  • การตรวจเทคนิคเฉพาะอย่างอื่น จะพิจารณาเป็นรายๆไป เช่น การตรวจเลือดทารกในครรภ์เพื่อตรวจโครโมโซม หากสงสัยว่าทารกเป็นโรคทางพันธุกรรมที่มีผลต่อการถ่ายปัสสาวะ

ดูแลตนเองเมื่อมีภาวะน้ำคร่ำน้อยอย่างไร?

การดูแลตนเองเมื่อพบว่ามีภาวะน้ำคร่ำน้อย คือ

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และพยาบาล
  • พบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ
  • รับประทานอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วน เพียงพอ
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • สังเกตและนับการดิ้นของทารกในครรภ์ ว่ามีความผิดปกติอย่างไร ถ้าพบผิดปกติไปจากเดิม ควรต้องรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัด
  • งดดื่มเหล้า และ งดสูบบุหรี่
  • รักษา ควบคุมโรคประจำตัว ให้ได้อย่างดี

รักษาอย่างไรเมื่อมีภาวะน้ำคร่ำน้อย?

การรักษาภาวะน้ำคร่ำน้อยขึ้นกับ สาเหตุและอายุครรภ์ทารก บางสาเหตุรักษาได้ บางสาเหตุรักษาไม่ได้

หากเป็นความผิดทางโครโมโซมของทารกไม่สามารถแก้ไขได้ อาจต้องมารักษาหลังคลอด

หากมีปัจจัยเสี่ยงต่างๆที่ทำให้น้ำคร่ำน้อย การหยุดปัจจัยเสี่ยง จะช่วยทำให้ปริมาณน้ำ คร่ำมากขึ้นได้

ในกรณีที่เกิดจาการรั่วของถุงน้ำคร่ำ ต้องรักษาโดย ให้นอนพัก, งดทำงานหนัก, ต้องระ วังภาวะติดเชื้อในถุงน้ำคร่ำ, การฉีดน้ำเกลือเข้าไปในถุงน้ำคร่ำ (Amnio-infusion) สามารถเพิ่มปริมาณน้ำคร่ำได้ ในกรณีที่อายุครรภ์ยังน้อย และแพทย์พิจารณาแล้วว่า ทารกอยู่ในครรภ์จะได้ รับประโยชน์มากกว่า, แต่หากอายุครรภ์มากพอที่ทารกจะมีชีวิตรอดภายนอกมดลูก หรืออยู่นอกมดลูกมีความเสี่ยงน้อยกว่า แพทย์ก็จะพิจารณาให้คลอด ซึ่งส่วนมากมักลงเอยด้วยการผ่าท้องคลอด เนื่องจากน้ำคร่ำน้อย ส่งผลให้ทารกมักจะขาดออกซิเจนจากการหดรัดตัวของมดลูก ระ หว่างดำเนินการคลอดทางช่องคลอด

สามารถป้องกันภาวะน้ำคร่ำน้อยได้หรือไม่?

การป้องกันภาวะน้ำคร่ำน้อย ขึ้นกับสาเหตุ บางสาเหตุป้องกันได้ โดย

  • ปรึกษาแพทย์ก่อนการตั้งครรภ์เสมอ
  • พบแพทย์และฝากครรภ์ อย่างสม่ำเสมอ เริ่มตั้งแต่เมื่อรู้ว่าตั้งครรภ์
  • รับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ (อาหารมีประโยชน์ 5 หมู่)
  • หยุดการเสพสารพิษต่างๆ เช่น บุหรี่ แอลกอฮอล์ สารเสพติด
  • ป้องกัน รักษา ควบคุมโรคประจำตัวให้ได้ดี

ควรดูแลตนเองอย่างไรหลังคลอด?

การดูแลตนเองหลังคลอดของมารดา ขึ้นกับสาเหตุของน้ำคร่ำน้อย เช่น เกิดจากถุงน้ำ คร่ำแตก และ/หรือเกิดการติดเชื้อในโพรงมดลูก ต้องได้รับยาปฏิชีวนะตามคำแนะนำของแพทย์ แต่หากไม่มีการติดเชื้อ การดูแลตนเองหลังคลอด จะไม่แตกต่างจากสตรีหลังคลอดทั่วไป (อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ระยะหลังคลอด) นอกจากนี้สตรีหลังคลอด ควรรักษาสาเหตุ/ ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่ทำให้เกิดภาวะน้ำคร่ำน้อย

การตั้งครรภ์ครั้งต่อไปจะมีภาวะน้ำคร่ำน้อยอีกหรือไม่?

การตั้งครรภ์ครั้งต่อไปหลังจากมีภาวะน้ำคร่ำน้อย ไม่จำเป็นต้องเกิดภาวะน้ำคร่ำน้อยเสมอไป ทั้งนี้ขึ้นกับสาเหตุต่างๆตามที่กล่าวมาแล้ว หากสาเหตุในครรภ์แรกยังไม่ได้รับการแก้ ไข การตั้งครรภ์ครั้งต่อไปก็สามารถเกิดภาวะน้ำคร่ำน้อยซ้ำได้ แต่หากสาเหตุได้รับการแก้ไข ก็จะไม่เกิดภาวะน้ำคร่ำน้อยซ้ำอีก

ทารกที่เกิดจากน้ำคร่ำน้อยมีอันตรายมากน้อยเพียงใด?

อันตรายต่อทารกจากภาวะน้ำคร่ำน้อย ขึ้นกับหลายปัจจัย ได้แก่

สาเหตุของน้ำคร่ำน้อย เป็นสาเหตุที่เกิดจากตัวทารกเอง ที่มักเป็นสาเหตุให้ทารกเสียชี วิต เช่น การมีความผิดปกติของไต หรือสาเหตุจากภายนอก คือ จากมารดา อันตรายต่อทารกจะเกิดน้อยกว่า

ปริมาณของน้ำคร่ำน้อย ยิ่งระดับน้ำคร่ำน้อย จะมีผลต่อทารกมากขึ้น, และอายุครรภ์ของทารก หากอายุครรภ์ยิ่งน้อย จะมีผลต่อทารกมากขึ้น ทั้ง 2 กรณี จะมีผลต่อทารกเคลื่อนไหวไม่สะดวก อาจมีการกดทับบางส่วนของร่างกาย สามารถทำให้โครงสร้างร่างกายทารกเจริญไม่ปกติ หรือมีการผิดรูปได้ ปอดทารกไม่ขยาย จึงไม่สามารถขยายหลังคลอด อาจส่งผลให้ติดเชื้อ หรือเสียชีวิตได้

กรณีที่น้ำคร่ำน้อยมาก ทารกอาจมีอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ เนื่องจากสายสะดือถูกกดทับ หากไม่ถึงกับเสียชีวิตในครรภ์ ก็อาจมาเสียชีวิตหลังคลอดได้ ในกรณีที่ปริมาณน้ำคร่ำไม่น้อยมากนัก สายสะดือไม่ถูกกด ก็จะมีอันตรายต่อทารกน้อยลง

กรณีที่ทารกขาดออกซิเจนไม่มาก การเจริญเติบโตหรือการพัฒนาของร่างกาย และสมองของทารก ไม่ต่างจากเด็กทั่วไป แต่หากในกรณีที่ทารกขาดออกซิเจนพอประมาณแต่ไม่มากถึงขนาดเสียชีวิต อาจมีผลต่อการพัฒนาของสมองหรือร่างกายของทารกได้

หากภาวะน้ำคร่ำน้อย เกิดจากการรั่วหรือแตกของถุงน้ำคร่ำ จะมีปัญหาเรื่องติดเชื้อในโพรงมดลูกตามมาเป็นปัญหาหลัก ทารกในครรภ์ก็จะมีการติดเชื้อได้สูงไปด้วย ซึ่งต้องรักษาด้วยการให้ยาปฏิชีวนะทั้งมารดาและทารก ซึ่งการติดเชื้อของทารกแรกคลอด มักรุนแรง และอาจเป็นสาเหตุให้ทารกเสียชีวิตได้

บรรณานุกรม

  1. http://emedicine.medscape.com/article/405914-overview [2014,Jan26].
  2. http://www.uptodate.com/contents/oligohydramnios?source=search_result&search=oligohydramnios&selectedTitle=1%7E150 [2014,Jan26].