ปัสสาวะ การตรวจปัสสาวะ (Urinalysis)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
- 10 กันยายน 2565
- Tweet
สารบัญ
- การตรวจปัสสาวะ
- ปัสสาวะปกติมีลักษณะอย่างไร?
- ดื่มปัสสาวะได้หรือไม่? ใช้เป็นยาได้ไหม?
- การตรวจปัสสาวะมีประโยชน์อย่างไร? ทำไมต้องตรวจ?
- มีข้อบ่งชี้การตรวจปัสสาวะและข้อห้ามอย่างไร?
- การตรวจปัสสาวะตรวจอะไรบ้าง? แปลผลอย่างไร?
- มีข้อบ่งชี้การตรวจปัสสาวะและข้อห้ามอย่างไร?
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- กายวิภาคและสรีรวิทยาของระบบทางเดินปัสสาวะ (Anatomy and physiology of Urinary tract)
- กระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis)
- มะเร็งไต (Kidney cancer)
- ไตอักเสบ (Nephritis)
- โรคไต (Kidney disease)
- ท่อปัสสาวะอักเสบ (Urethritis)
- เบาหวาน (Diabetes mellitus)
- นิ่วในไต (Kidney stone)
- โรคไตรั่ว (Nephrotic syndrome)
บทนำ: การตรวจปัสสาวะคืออะไร?
การตรวจปัสสาวะ (Urinalysis ย่อว่า ยูเอ/UA หรือ U/A) คือ การนำปัสสาวะที่ถ่ายตามปกติมาตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพราะความผิดปกติต่างๆที่ตรวจพบ เป็นการช่วยแพทย์วินิจฉัยโรคในเบื้องต้น, ทั่วไปวิธีตรวจเป็นเทคโนโลยีที่ง่าย สามารถตรวจได้เกือบทุกสถานพยาบาล, และทราบผลได้เร็วภายในระยะเวลาเป็นชั่วโมง, จัดเป็นวิธีตรวจโรคที่มีประโยชน์มากที่สุดวิธีหนึ่ง ซึ่งช่วยให้ทราบเบื้องต้นถึงโรคของอวัยวะในระบบทางเดินปัสสาวะ (ไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ และท่อปัสสาวะ) และยังสามารถตรวจวินิจฉัยโรคของอวัยวะระบบอื่นๆที่พบได้บ่อยในเบื้องต้นได้อีกหลายโรค เช่น โรคเบาหวาน นอกจากนี้ ยังสามารถตรวจวินิจฉัยบางภาวะได้ เช่น การตั้งครรภ์, สารเสพติด/ยาเสพติด, สารพิษต่างๆ
อนึ่ง: การตรวจปัสสาวะ ชื่ออื่น เช่น Clinical urine test, Urinary analysis
การตรวจปัสสาวะ เป็นการตรวจที่ง่าย สะดวก รวดเร็ว ไม่เจ็บตัว ไม่ต้องงดน้ำ อาหาร ตรวจได้ทันที, ตรวจได้ในทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กแรกเกิดไปจนถึงผู้สูงอายุ, เป็นการตรวจที่สามารถทราบผลได้ทันทีในบางภาวะ/โรค, แต่ทั่วไปมักภายใน 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง, เป็นการตรวจที่สามารถตรวจได้ในทุกสถานที่ เช่น ตรวจภาวะตั้งครรภ์ (ตรวจได้เองที่บ้าน) ในห้องปฏิบัติการง่ายๆของทุกสถานพยาบาล, และมีค่าใช้จ่ายในการตรวจที่ถูกมากเมื่อเปรียบเทียบกับการตรวจอื่นๆ, ดังนั้นการตรวจปัสสาวะ จึงเป็นการตรวจหนึ่งของการตรวจสุขภาพประจำปีที่อยู่ในบริการของรัฐ และของทุกสิทธิการรักษา
ปัสสาวะ หรือ Urine (มาจากภาษาละติน คือ Urina แปลว่า น้ำจากไต) คือ ของเหลวจากร่างกายที่ผ่านการกรองจากไตเพื่อกำจัดออกจากร่างกายด้วยการขับถ่ายผ่านระบบทางเดินปัสสาวะ คือ จากไตสู่ ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ ท่อปัสสาวะ และขับออกนอกร่างกายในที่สุด
ปัสสาวะปกติมีลักษณะอย่างไร?
ลักษณะปัสสาวะปกติ:
- ภาวะปลอดเชื้อ: เมื่อยังอยู่ในร่างกาย ปัสสาวะปกติจะปลอดเชื้อ แต่ในช่วงที่ขับออกจากร่างกายเมื่อสัมผัสกับสารคัดหลั่ง และเนื้อเยื่อเมือกของอวัยวะเพศ หรือบริเวณก้น หรืออุจจาระ จะทำให้ปนเปื้อนเชื้อโรคได้
- ปริมาณปัสสาวะต่อวัน: ปริมาณปัสสาวะต่อวันขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น สภาพอากาศ/อุณหภูมิสิ่งแวดล้อม ปริมาณน้ำจากน้ำดื่ม/เครื่องดื่ม/อาหาร การออกกำลังกาย/การเล่น/กิจวัตรประจำวัน/อาชีพ/ประเภทงาน สุขภาพ/โรคประจำตัว โรคอ้วน (เพราะคนอ้วนมักมีเหงื่อออกมาก ปริมาณปัสสาวะจึงน้อยลง) ยาต่างๆ(เช่น ยาขับปัสสาวะ) อย่างไรก็ตามปริมาณปัสสาวะปกติต่อวันจะอยู่ประมาณ 1-2 ลิตร
- ส่วนประกอบของปัสสาวะ: ส่วนประกอบสำคัญของปัสสาวะ คือ น้ำ (95%)
นอกจากนั้น ส่วนประกอบอื่นๆ เช่น
- สารประกอบอินทรีย์ที่เป็นสารปลายทางของโปรตีน ที่เรียกว่า ยูเรีย (Urea เป็นสารประกอบที่มีไนโตรเจน เป็นหลัก เป็นสารที่ร่างกายกำจัดออกโดยการทำงานของไต เมื่ออยู่ในเลือด เรียกว่า บียูเอน/BUN หรือ Blood urea nitrogen)
- เกลือแร่ที่สำคัญ คือ คลอไรด์ (Chloride), โซเดียม (Sodium), และโพแทสเซียม (Potassium)
- สารครีอะตินีน (Creatinine หรือย่อว่า Cr คือ สารปลายทางที่เกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อ ซึ่งร่างกายจะกำจัดออกโดยการทำงานของไตเช่นกัน)
- สารเคมีต่างๆอีกมากมายหลายชนิด
- รวมทั้งฮอร์โมนต่างๆ ทั้งนี้ขึ้นกับภาวะของร่างกายในขณะนั้น เช่น ในภาวะตั้งครรภ์ และบางส่วนของตัวยาต่างๆที่ได้ใช้อยู่
- ปัสสาวะปกติจะไม่มีน้ำตาล ซึ่งในโรคเบาหวานจะตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะ
- ปัสสาวะปกติจะไม่มีโปรตีน (โปรตีนในปัสสาวะ)
- ปัสสาวะปกติจะ ไม่มี เม็ดเลือดแดง (เม็ดเลือดแดงในปัสสาวะ) เม็ดเลือดขาว (เม็ดเลือดขาวในปัสสาวะ) และ/หรือเซลล์จากเนื้อเยื่อต่างๆ, อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปัสสาวะต้องไหลผ่านเนื้อเยื่อต่างๆ ดังนั้นจึง
- อาจพบเม็ดเลือดแดงได้ในปริมาณในเกิน 2 ตัวต่อการส่องกล้องจุลทรรศน์ตรวจหนึ่งครั้งที่เรียกว่า เอชพีเอฟ (HPF: High power field) และ
- พบเม็ดเลือดขาวไม่เกิน 2 ตัวต่อ HPFในผู้ชาย, และไม่เกิน 5 ตัวต่อHPF ในผู้หญิง
- ทั่วไป ถ้าพบว่าจำนวนเกินกว่านี้เล็กน้อย แพทย์จะตรวจปัสสาวะซ้ำอย่างน้อย 2-3 ครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าผิดปกติจริง
- ปัสสาวะปกติจะใส ไม่ขุ่น แต่อาจขุ่นได้บ้างเล็กน้อยจากการปนเปื้อนสารคัดหลั่งจากอวัยวะเพศ
- สี : สีของปัสสาวะปกติ คือ สีเหลืองอ่อน แต่ถ้าดื่มน้ำมาก สีอาจออกไปทางไม่มีสี/สีขาว แต่ถ้าดื่มน้ำน้อย สีปัสสาวะจะเหลืองเข้มขึ้น สีเหลืองของปัสสาวะได้จากสีของสารที่เรียกว่า ‘ยูโรบิลิน (Urobilin)’ ซึ่งได้มาจากสารที่เรียกว่า 'ฮีม (Heme)' ซึ่งเป็นส่วนประกอบของเม็ดเลือดแดง เมื่อเม็ดเลือดแดงตายตามธรรมชาติ สารฮีมจะแตกตัวให้เป็นสารยูโรบิลิน ซึ่งร่างกายจะกำจัดออกทางปัสสาวะ และทางน้ำดีของตับ อย่างไรก็ตาม สีของปัสสาวะยังขึ้นกับสีของอาหารที่บริโภค รวมทั้ง ผัก ผลไม้ และยาที่บริโภคด้วย
- กลิ่นของปัสสาวะ: ปกติปัสสาวะจะไม่มีกลิ่น หรือมีกลิ่นแอมโมเนียจางๆ (เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสารยูเรียในปัสสาวะไปเป็นแอมโมเนีย) แต่เมื่อดื่มน้ำน้อย สารต่างๆในปัสสาวะจะเข็มข้นขึ้น จึงก่อให้เกิดกลิ่นตามสารนั้นๆได้ เช่น อาหารประเภทหัวหอม หน่อไม้ฝรั่ง เครื่องเทศ หรือจากยาบางชนิด เช่น วิตามินต่างๆ
- ภาวะกรด-ด่างของปัสสาวะ ที่เรียกว่า ค่า พีเอช (pH: Potential of hydrogen ion) ซึ่งปัสสาวะปกติ จะค่อนข้างเป็นกรดอ่อนๆ, โดยค่า pH ประมาณ 5-6.5 แต่อาจมีค่า pH อยู่ระหว่า 4.6-8 ได้, และเช่นเดียวกับ สีและกลิ่น ค่า pH ขึ้นกับ ปริมาณน้ำที่ดื่ม อาหาร และยาที่บริโภค
- ค่าความถ่วงจำเพาะของปัสสาวะ (Urine specific gravity คือ ความหนาแน่นของปัสสาวะเมื่อเปรียบเทียบกับความหนาแน่นของน้ำในอัตราส่วนปริมาณที่เท่ากัน) โดยปัสสาวะปกติ จะอยู่ในช่วง 001-1.030, ซึ่งค่านี้จะเปลี่ยนแปลงตามปริมาณน้ำที่ดื่ม ถ้าดื่มน้ำมาก ค่าก็จะต่ำลง ถ้าในภาวะขาดน้ำ หรือดื่มน้ำน้อย ค่านี้ก็จะสูงขึ้น
- ผลึกต่างๆ: ในการตรวจปัสสาวะปกติจะไม่พบผลึกต่างๆ แต่ถ้าปล่อยให้ปัสสาวะตกตะกอน หรือนำปัสสาวะไปปั่นให้ตกตะกอน แล้วนำตะกอนไปตรวจ อาจพบผลึกของสารบางชนิดได้ แต่ในปริมาณเล็กน้อย เช่น ผลึกของกรดยูริค เป็นต้น
- ชิ้นหล่อของโปรตีน หรือสารต่างๆ ที่เรียกว่า คาส (Cast): ปกติจะไม่พบชิ้นส่วนของชิ้นหล่อเหล่านี้ในปัสสาวะ หรืออาจพบได้แต่น้อยมาก
ดื่มปัสสาวะได้หรือไม่? ใช้เป็นยาได้ไหม?
ปัสสาวะใช้ดื่มได้ แต่ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงความสะอาด การปนเปื้อนของเชื้อโรคต่างๆ ทั้งจากโรคของเจ้าของปัสสาวะ การปนเปื้อนจากเชื้อโรคในบริเวณอวัยวะเพศภายนอก และการปนเปื้อนของสารพิษต่างๆที่อยู่ในปัสสาวะจากการกำจัดออกจากร่างกายทางไต
ดังกล่าวแล้วว่า ในน้ำปัสสาวะของบางคน อาจมีฮอร์โมน และมีสารภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบางชนิด ดังนั้นในคนบางกลุ่มจึงมีความเชื่อในการใช้น้ำปัสสาวะรักษาโรคต่างๆ รวมทั้งในการรักษาโรคมะเร็ง ซึ่งการรักษาโรคด้วยปัสสาวะ (Urine therapy) เป็นการรักษาโรคที่จัดอยู่ในกลุ่มของการแพทย์ทางเลือก (Alternative medicine)
อย่างไรก็ตาม การศึกษาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน ไม่พบว่าการใช้ปัสสาวะสามารถรักษาโรคให้หายได้ และสารต่างๆที่มีอยู่ในปัสสาวะที่มีสรรพคุณเป็นยาได้ ก็สามารถผลิตได้ในกระบวนการทางเภสัชกรรม ที่สามารถใช้รักษาโรคได้มีประสิทธิภาพ/ประสิทธิผล และมีความปลอดภัยสูงกว่าการดื่มปัสสาวะเป็นอย่างมาก
กองทัพสหรัฐอเมริกาเอง ก็ไม่แนะนำให้ดื่มปัสสาวะเพื่อความอยู่รอดในภาวะขาดแคลนน้ำ โดยให้เหตุผลว่า เมื่อดื่มในช่วงแรกอาจรู้สึกว่าแก้กระหายได้ แต่หลังจากนั้น จะเพิ่มการกระหายน้ำให้มากขึ้น และอาจเกิดผลข้างเคียงจากสารต่างๆ ที่มีอยู่อย่างเข้มข้นในปัสสาวะในภาวะร่างกายขาดน้ำ
การตรวจปัสสาวะมีประโยชน์อย่างไร? ทำไมต้องตรวจ?
ประโยชน์ของการตรวจปัสสาวะ คือ สามารถใช้เป็นการตรวจเพื่อการคัดกรอง, การวินิจฉัย, และเพื่อติดตามผลการรักษาโรคและภาวะต่างๆทั้งของ อวัยวะในระบบทางเดินปัสสาวะ และโรคหรือภาวะต่างที่ไม่เกี่ยวกับระบบทางเดินปัสสาวะ แต่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน (เช่น การตั้งครรภ์), การสันดาปพลังงานของร่างกาย (เช่น โรคเบาหวาน หรือโรคตับ, หรือการที่ร่างกายได้รับสารพิษต่างๆ (เช่น ยาเสพติด หรือการรับสารพิษจากโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว หรือ ปรอท)
การตรวจปัสสาวะ ไม่มีโทษ ตรวจซ้ำได้เสมอทุกเวลา และไม่มีข้อห้ามตรวจ มีค่าใช้จ่ายต่ำ ตรวจได้ง่าย การตรวจวินิจฉัยในบางภาวะใช้เพียงแผ่นจุ่ม (Urine test strip) ซึ่งจะให้ค่าเป็นสีต่างๆเมื่อจุ่มแผ่นตรวจในน้ำปัสสาวะ ทำให้ทราบค่าเหล่านั้นคร่าวๆได้ทันที เช่น การตรวจน้ำตาลในปัสสาวะ การตรวจการตั้งครรภ์ หรือการตรวจสาร/ยาเสพติด
ดังนั้น การตรวจปัสสาวะ จึงเป็นการตรวจสำคัญในการตรวจสุขภาพพื้นฐานของร่างกาย รวมทั้งในการตรวจวินิจฉัย รักษา และติดตามผลในโรคและในภาวะต่างๆในภาพรวมของสุขภาพทั้งหมด
มีข้อบ่งชี้การตรวจปัสสาวะและข้อห้ามอย่างไร?
ไม่มีข้อห้ามในการตรวจปัสสาวะ ส่วนข้อบ่งชี้ เช่น
- การตรวจสุขภาพพื้นฐาน การตรวจสุขภาพประจำปี
- วินิจฉัยโรคในระบบทางเดินปัสสาวะ
- คัดกรองโรคเรื้อรังที่พบบ่อย เช่น โรคเบาหวาน โรคไตเรื้อรัง
- วินิจฉัยความรุนแรงของโรคต่างๆที่จะส่งผลกระทบถึงการทำงานของไต เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง
- ตรวจเชื้อ หรือการเพาะเชื้อ เช่น ในภาวะมีไข้โดยหาสาเหตุไม่ได้
- ตรวจหาสารบางชนิด เช่น สารพิษ หรือสาร/ยาเสพติด
- ตรวจการตั้งครรภ์
- ตรวจวินิจฉัยโรคต่างๆที่ส่งผลให้มีความผิดปกติในน้ำปัสสาวะจากมีสารบางอย่างที่เกิดจากโรคนั้นๆปนมาในปัสสาวะ เช่น โรคความผิดปกติทางฮอร์โมนต่างๆ โรคมะเร็งบางชนิด เช่น โรคมะเร็งในเด็กชนิดนิวโรบลาสโตมา
การตรวจปัสสาวะตรวจอะไรบ้าง? แปลผลอย่างไร?
การตรวจปัสสาวะ จะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ การตรวจทั่วไปที่ใช้เป็นประจำ (Routine urinalysis) ที่มักเรียกย่อว่า ‘ยูเอ (UA หรือ U/A)’, และ การตรวจจำเพาะแต่ละโรค หรือแต่ละภาวะ
- การตรวจทั่วไป หรือ ยูเอ ได้แก่ การตรวจ สี กลิ่น ความใส/ขุ่น ความถ่วงจำเพาะ น้ำตาล โปรตีน เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และชิ้นหล่อของโปรตีน ซึ่งขั้นตอนในการตรวจจะกล่าวถึงในหัวข้อต่อไป
- การตรวจจำเพาะโรค จะขึ้นกับว่าต้องการตรวจอะไร ซึ่งจะมีวิธีตรวจแตกต่างกันไปเฉพาะของแต่ละสารที่ต้องการตรวจ อาจต้องมีการเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมง เช่น ในการตรวจปริมาณปัสสาวะ/วัน, อาจต้องมีการปั่นปัสสาวะให้ตกตะกอน เช่น ในการตรวจหาผลึกต่างๆ, อาจต้องมีการย้อมสีต่างๆ เช่น ในการตรวจหาเชื้อแบคทีเรีย, หรืออาจต้องมีการตรวจทางเซลล์วิทยาเมื่อต้องการวินิจฉัยโรคมะเร็ง เป็นต้น
อนึ่ง: ความผิดปกติบางอย่างในปัสสาวะ ที่เป็นความรู้ทั่วไปที่ควรทราบว่าน่าเกิดจากโรคอะไรบ้าง ได้เขียนแยกไว้ต่างหากในเกร็ดสุขภาพ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้บทความนี้ยาวเกินไป ได้แก่ เรื่อง เม็ดเลือดแดงในปัสสาวะ เม็ดเลือดขาวในปัสสาวะ โปรตีนในปัสสาวะ คาส (Cast) ในปัสสาวะ ภาวะปัสสาวะขุ่น กลิ่นของปัสสาวะ ภาวะกรด-ด่างของปัสสาวะ ความถ่วงจำเพาะของปัสสาวะ และ ปริมาณปัสสาวะต่อวัน
มีขั้นตอน และวิธีเก็บปัสสาวะเพื่อการตรวจอย่างไร?
ในบทความนี้ จะพูดถึงเฉพาะขั้นตอนและวิธีเก็บปัสสาวะเพื่อตรวจทั่วไปเท่านั้น เพราะการตรวจเฉพาะโรคมีรายะเอียดที่แตกต่างกันในแต่ละโรค ซึ่งจะให้คำแนะนำในการตรวจโดยแพทย์/พยาบาล/นักเทคนิคการแพทย์เฉพาะแต่ละโรคนั้นๆ
การตรวจปัสสาวะทั่วไป/หรือ ยูเอ: ไม่ต้องมีการเตรียมตัว ไม่ต้องอดอาหารอดน้ำ ตรวจได้ทันที โดยถ่ายปัสสาวะใส่ภาชนะที่โรงพยาบาลจัดให้ ปิดป้ายชื่อ เลขประจำตัวโรงพยาบาล และวันที่ แล้วนำส่งห้องปฏิบัติการ, โดยปริมาณปัสสาวะที่ตรวจในแต่ละครั้งใช้ไม่มาก ประมาณ 20-30 มิลลิลิตร (ซีซี/ c.c.)
แต่บางครั้ง ถ้าแพทย์สงสัยมีการติดเชื้อ แพทย์/พยาบาลจะแนะนำการเก็บปัสสาวะที่เรียกว่า Mid stream เพื่อลดโอกาสปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียจากอวัยวะเพศ และทวารหนัก โดยให้ถ่ายปัสสาวะทั้งหมด 3 ช่วง คือ
- ช่วงแรกถ่ายทิ้งก่อน
- ช่วงที่ 2 หรือช่วงกลาง (Mid-stream) ถ่ายลงภาชนะที่จะนำส่งตรวจ และ
- ช่วงที่ 3 ถ่ายตามปกติ หรือจะไม่ถ่ายก็ได้
หลังจากได้ปัสสาวะแล้ว เจ้าหน้าที่ จะนำไปตรวจหาค่าต่างๆ รวมทั้งการตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์เพื่อดูเซลล์ต่างๆ เรียกการตรวจนี้ว่า การตรวจปัสสาวะทางห้องปฏิบัติการ ซึ่งขั้นตอนการตรวจใช้เวลาเพียงประมาณ 1-2 ชั่วโมง
การตรวจปัสสาวะทั่วไป จะตรวจ สี ความใส/ขุ่น ค่าความถ่วงจำเพาะ ค่าความเป็นกรดด่าง ตรวจหาน้ำตาล หาโปรตีน จำนวนเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว และชิ้นส่วนของโปรตีน ในปัสสาวะ
อนึ่ง: บ่อยครั้งในการตรวจวินิจฉัยคร่าวๆ อาจตรวจปัสสาวะง่ายๆและรวดเร็วเห็นผลทันที โดยการใช้แผ่นจุ่ม ที่เรียกว่า Urine test strip ในการตรวจหา เม็ดเลือดขาว เลือด โปรตีน น้ำตาล ค่าความถ่วงจำเพาะ และค่าความเป็นกรด -ด่าง
ซึ่งผลจากการตรวจปัสสาวะ แพทย์จะนำมาแปลผลร่วมกับอาการของผู้ป่วย ประวัติทางการแพทย์ต่างๆ การตรวจร่างกาย และการตรวจอื่นๆ เช่น เอกซเรย์เพื่อให้การวินิจฉัย และการรักษาโรคต่อไป
บรรณานุกรม
- Simerville, F. et al. (2005). Urinalysis: A Comprehensive review. Am Fam Physician. 71, 1153-1162.
- https://en.wikipedia.org/wiki/Urine [2022,Sept10]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Urine_therapy [2022,Sept10]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Clinical_urine_tests [2022,Sept10]
- https://webpath.med.utah.edu/TUTORIAL/URINE/URINE.html [2022,Sept10]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Urine_specific_gravity [2022,Sept10]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Urophagia [2022,Sept10]