เจียอาร์ไดอาซิส (Giardiasis)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
- 28 พฤศจิกายน 2564
- Tweet
สารบัญ
- บทนำ: คือโรคอะไร?วงจรชีวิตเป็นอย่างไร?พบบ่อยไหม?
- โรคเจียอาร์ไดอาซิสเกิดได้อย่างไร?วงจรการติดเชื้อเป็นอย่างไร?
- ใครมีปัจจัยเสี่ยงเกิดเจียอาร์ไดอาซิส?
- โรคเจียอาร์ไดอาซิสอาการอย่างไร?
- เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
- แพทย์วินิจฉัยเจียอาร์ไดอาซิสได้อย่างไร?
- รักษาเจียอาร์ไดอาซิสได้อย่างไร?
- โรคเจียอาร์ไดอาซิสก่อผลข้างเคียงอย่างไร?
- โรคเจียอาร์ไดอาซิสมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
- ดูแลตนเองอย่างไร?
- พบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?
- ป้องกันโรคเจียอาร์ไดอาซิส ได้อย่างไร?
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- โรคติดเชื้อ ภาวะติดเชื้อ (Infectious disease)
- สัตว์เซลล์เดียว โรคติดเชื้อสัตว์เซลล์เดียว โรคติดเชื้อโปรโทซัว (Protozoan infection)
- ท้องเสีย (Diarrhea)
- อาหารเป็นพิษ (Food poisoning)
- ภาวะขาดน้ำ
- โออาร์เอส (ORS: Oral rehydration salt) หรือ ผงละลายเกลือแร่ (Electrolyte powder packet)
- วิธีกินผงละลายเกลือแร่ (โออาร์เอส) ในเด็ก (Oral rehydration salt/ORS in children)
- ปวดท้อง (Abdominal pain)
บทนำ: คือโรคอะไร?วงจรชีวิตเป็นอย่างไร?พบบ่อยไหม?
เจียอาร์ไดอาซิส(Giardiasis) คือ โรคเกิดจากร่างกายติดเชื้อโปรโตซัว/สัตวเซลล์เดียว(Protozoa) ที่อยู่ในสกุล/Genus ชื่อ Giardia/เจียอาร์เดีย(บางคนออกเสียงว่า “ไกอาร์เดีย”) ซึ่งมีได้หลายชนิด/Species แต่ที่ก่อการติดโรคในคน คือ ชนิด Giardia lamblia (G. Lamblia)
วงจรชีวิต:
เจียอาร์เดีย เป็นสัตว์เซลล์เดียวที่มีหนวด มีแหล่งรังโรคและโฮสต์(Host) คือ คน และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งสัตว์ป่าและสัตว์บ้าน เช่น สุนัข แมว หนู หมู วัว ควาย แพะ แกะ หมี กวาง ฯลฯ โดยที่มีวงจรชีวิตเป็น 2 ระยะ คือ
ก. โทรโฟซอยต์(Trophozoite): เป็นระยะที่เซลล์โปรโตซัวเคลื่อนไหวได้ ซึ่งเป็นตัว/ระยะที่อาศัยในลำไส้เล็ก เป็นตัวก่อโรค/ก่อให้เกิดอาการผิดปกติ มีรูปร่างคล้ายหยดน้ำ ค่อนข้างใส ขนาดกว้างxยาวxหนา ประมาณ 5-15 x9-21x1-2 ไมโครเมตร(Micrometre) ซึ่งดำรงชีวิตโดยเกาะที่ผนังลำไส้เล็กและได้อาหารจากลำไส้เล็ก และจะเจริญเติบโตโดยการแบ่งตัวจาก 1 เซลล์ เป็น 2 เซลล์ในทุกๆ 9-12 ชั่วโมง, Trophozoite สามารถหลุดปนออกมากับอุจจาระ และตรวจพบได้ แต่ไม่สามารถติดต่อสู่คนได้ และไม่สามารถมีชีวิตอยู่นอกโฮสต์ได้
Trophozoite นี้จะอาศัยอยู่เฉพาะที่ลำไส้ ไม่เคลื่อนที่ไปไหน จะแย่งอาหารจากลำไส้เล็กของคน และอาจก่อการอักเสบที่ผนังลำไส้ นอกจากนั้นยังทำให้ลำไส้ดูดซึมสารอาหารบางชนิดได้ลดลง เช่น ไขมัน คาร์โบไฮเดรตในกลุ่ม lactose(มีมากในนม) วิตามินเอ และวิตามิน บี 12
ข. Infective cyst : เรียกสั้นๆว่า Cyst/ซีสต์ เป็นระยะที่เชื้อติดต่อสู่คนได้ โดยเซลล์ระยะนี้จะมีถุงหุ้มเป็นผนังบางๆ ซึ่งถุงหุ้มนี้จะช่วยให้เชื้อทนทานต่อสภาพแวดล้อมภายนอกโฮสต์ โดยถ้าอยู่ในแหล่งน้ำที่อุณหภูมิอบอุ่นจะอยู่ได้นานประมาณ 2-3 เดือน, ในดินที่ชุ่มชื้นอบอุ่น อยู่ได้นานประมาณ 7 เดือน, และอยู่ในอุจจาระได้นานประมาณ 1 สัปดาห์, แต่ในที่แห้งแล้งและอุณหภูมิสูงจะอยู่ได้ในระยะสั้นๆ,
โดยซีสต์นี้ จะตรวจพบในอุจจาระเช่นกัน โดยมีรูปไข่ ลักษณะใส ขนาด กว้างxยาวxหนา ประมาณ 7-10x10-20x0.3-0.5 ไมโครเมตร ซึ่งซีสต์ที่ปนมาในอุจจาระ เมื่อปนในแหล่งน้ำ หรือปนเปื้อนในอาหาร เมื่อคนดื่ม/กิน ซีสต์จะเข้าไปเจริญเติบโตและก่อโรคในลำไส้เล็กต่อไป นอกจากนี้ โดยทฤษฎี แมลง/แมลงวันที่ตอมอุจจาระสามารถเป็นพาหะโรคนี้ได้จากซีสต์เหล่านี้ในอุจจาระ
การฆ่าเชื้อเจียอาร์เดีย
เจียอาร์เดีย ทั้ง2ระยะ สามารถฆ่าตายได้ด้วยการต้มเดือด(อุณหภูมิตั้งแต่ 100 องศาเซลเซียส/Celsius ขึ้นไป) นานอย่างน้อย 1 นาที, แต่น้ำยาฆ่าเชื้อ Chlorine dioxide, การกรองน้ำด้วยวิธีทั่วไป, และน้ำยาฆ่าเชื้อคลอรีนในรูปแบบอื่น เช่น Hypochlorite สามารถลดปริมาณเชื้อลงได้แต่ไม่ทำให้เชื้อหมดไปหรือตายได้ทั้งหมด
อนึ่ง: ทั้ง2ระยะสามารถฆ่าตายได้ด้วยแสงยูวีและโอโซน แต่ประสิทธิภาพของตัวเครื่องและวิธีการต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูงที่ไม่สามารถใช้ในบ้านได้
เจียอาร์เดีย เป็นสัตว์เซลล์เดียวที่พบทุกประเทศทั่วโลก ทุกเชื้อชาติ แต่จะพบสูงในประเทศที่การสาธารณสุขพื้นฐานยังไม่ดี ในเรื่องของแหล่งน้ำกิน น้ำใช้ ส้วม และการกำจัดอุจจาระทั้งคน และสัตว์ มีการศึกษาพบการติดเชื้อนี้ในประเทศกำลังพัฒนา(รวมประเทศไทย)เฉลี่ยประมาณ 30%ของประชากรแต่เฉพาะประเทศในเขตร้อนที่มีรายงาน พบสูง50%-80%, ในสหรัฐอเมริกาพบ3%-7% เพศหญิงและเพศชายพบเกิดโรคได้ใกล้เคียงกัน และเป็นโรคของคนทุกอายุ ตั้งแต่เด็ก(นิยามคำว่าเด็ก)จนถึงผู้สูงอายุ แต่พบได้บ่อยในช่วงวัยเด็ก ด้วยเหตุที่เด็กยังไม่รู้จักการดูแลสุขอนามัย โดยเฉพาะเด็กในสถานเลี้ยงเด็ก
โรคเจียอาร์ไดอาซิสเกิดได้อย่างไร?วงจรการติดเชื้อเป็นอย่างไร?
การติดเชื้อเจียอาร์เดีย/โรคเจียอาร์ไดอาซิส/เจียอาร์เดีย เป็นโรคเกิดจากคนดื่มน้ำ/เครื่องดื่มที่ปนเปื้อนเจียอาร์เดียจากอุจจาระคนหรืออุจจาระสัตว์(ส่วนใหญ่เป็นอุจจาระคน)ที่ติดเชื้อนี้ ซึ่งเชื้อนี้จะมีอยู่ในแหล่งน้ำทั่วไปในทุกประเทศ (เช่น บ่อน้ำบาดาล แหล่งน้ำขัง ทะเลสาบ ลำคลอง หนอง บึง สระว่ายน้ำ)ที่อาจปนเปื้อนอุจจาระคนได้ โดยเฉพาะแหล่งน้ำนิ่ง ทั้งนี้รวมไปถึงจากสระว่ายน้ำด้วย แต่ก็สามารถพบติดต่อจากการปนเปื้อนในอาหารได้เช่นกัน เช่น จากผักสด ผลไม้ ที่ล้างไม่สะอาด นอกจากนั้นยังพบว่าติดต่อได้จาก’มือสู่ปาก’ คือมือสัมผัสก้น/อุจจาระจากคนสู่คนจากสัมผัสอุจจาระกันและกัน (เช่น ในการเลี้ยงเด็ก หรือ ดูแลผู้ป่วย), และจากการมีเพศสัมพันธ์ทางปากและ/หรือทางทวารหนัก
วงจรการติดเชื้อ:
วงจรการติดเชื้อของโรคนี้ เริ่มจากคนถ่ายอุจจาระที่มีเชื้อนี้ที่อยู่ในรูปของ “ซีสต์” แล้วคนจะกิน/ดื่มซีสต์ที่ปนเปื้อนใน น้ำดื่ม น้ำใช้ อาหาร เมื่อซีสต์เข้าสู่กระเพาะอาหาร ผนังซีสต์จะถูกย่อยออกและได้เป็นเจียอาร์เดีย ระยะ Trophozoite ที่จะไปเจริญเติบโตในลำไส้เล็ก บางส่วนก่อให้เกิดอาการ บางส่วนเจริญไปเป็น ซีสต์ แล้วปนออกมาในอุจจาระ คนดื่ม/กิน ซีสต์ วนเวียนเป็นวงจรชีวิตของเจียอาร์เดีย และของการติดเชื้อโรคนี้ไม่สิ้นสุดถ้าไม่มีการรักษาและการปรับปรุงการสาธารณสุขพื้นฐาน
*ทั้งนี้ ระยะเวลาตั้งแต่กินซีสต์เข้าไป จนถึงมีซีสต์ที่เกิดใหม่และปนออกมา กับอุจจาระที่สามารถตรวจอุจจาระพบได้ จะประมาณ 1-3 สัปดาห์
ใครมีปัจจัยเสี่ยงเกิดเจียอาร์ไดอาซิส?
ผู้มีปัจจัยเสี่ยงเกิดการติดเชื้อเจียอาร์เดีย/โรคเจียอาร์ไดอาซิส/เจียอาร์เดีย ได้แก่
- เด็ก โดยเฉพาะเด็กเล็กในสถานเลี้ยงเด็ก
- ผู้ที่อาศัยอยู่ในแหล่งสาธารณสุขพื้นฐานเกี่ยวกับ น้ำกิน น้ำใช้ ยังไม่ดีพอ, คนที่เดินทางท่องเที่ยวในแหล่งเหล่านี้, และคนที่ทำงานในสถานที่แออัด เช่น สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ค่ายอพยพ ค่ายทหาร
- ผู้ที่เลี้ยงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หรือ สัมผัสสัตว์เหล่านี้
- ผู้มีเพศสัมพันธ์ ทางปาก และ/หรือ ทางทวารหนัก
โรคเจียอาร์ไดอาซิสอาการอย่างไร?
ผู้ติดเชื้อเจียอาร์เดีย/โรคเจียอาร์ไดอซิส/เจียอาร์เดีย บางคนอาจไม่มีอาการ *แต่เมื่อมีอาการ อาการมักเกิดประมาณ 1-2 สัปดาห์(อาจนานได้ถึง 3 สัปดาห์)หลังได้รับเชื้อ
โดยอาการที่เกิดขึ้น จะไม่ใช่อาการเฉพาะโรค แต่เป็นเหมือนอาการท้องเสียจากสาเหตุทั่วๆไป
- อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่
- ท้องเสีย: มักท้องเสียเป็นน้ำ มีกลิ่นเหม็น ไม่มีเลือดปน อาจมีเนื้ออุจจาระปนได้ ซึ่งจะมีลักษณะ เบา ลอยน้ำ และเป็นมัน
- ปวดท้อง มักเป็นแบบปวดบีบ ปวดได้ทั่วท้อง ไม่ปวดเฉพาะจุด
- ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอมีกลิ่นเหม็น
- คลื่นไส้ อาจอาเจียน
- น้ำหนักตัวลด/ผอมลง
- ภาวะขาดน้ำ ถ้าท้องเสียรุนแรง
- ส่วนอาการที่พบได้น้อย: เช่น คัน, ผิวหนังขึ้นผื่น, บวมรอบตา, บวมตามข้อต่างๆ
โดยทั่วไป ถ้าไม่รักษา: อาการเหล่านี้จะเป็นอยู่ประมาณ 1-4 สัปดาห์ร่างกายจะปรับตัวได้ แต่อาการอาจเกิดอยู่นานกว่านี้ หรืออาจเป็นๆหายๆตราบเท่าที่มีเชื้อนี้อยู่ในลำไส้
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
เมื่อมีอาการท้องเสียนานเกิน 3-4 วัน และอาการไม่ดีขึ้นหลังดูแลตนเอง โดยเฉพาะเมื่อกลับจากการเดินทางไปยังแหล่งที่การสาธารณสุขยังไม่ดี ควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเสมอ, แต่ถ้าท้องเสียจนมีภาวะขาดน้ำร่วมด้วย หรือท้องเสียเลวลงหลังดูแลตนเอง ควรรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลโดยไม่ต้อรอจนถึง 3-4 วัน
แพทย์วินิจฉัยเจียอาร์ไดอาซิสได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยการติดเชื้อเจียอาร์เดีย/โรคเจียอาร์ไดอาซิส/เจียอาร์เดีย ได้จาก
- ประวัติอาการ ประวัติถิ่นที่พักอาศัย ประวัติการเดินทาง/ท่องเที่ยว
- การตรวจร่างกาย
- การตรวจอุจจาระ(ซึ่งอาจต้องตรวจซ้ำ มักตรวจ 3 วันติดต่อกัน จึงจะตรวจพบ ซีสต์ หรือ Trophozoite)
- กรณีตรวจไม่พบซีสต์ หรือ Trophozoite จากการตรวจอุจจาระซ้ำหลายครั้ง แต่อาการผู้ป่วยน่าสงสัย:
- แพทย์อาจตรวจอุจจาระด้วยวิธีเฉพาะที่เรียกว่า ELISA (Enzyme-linked immunosorbent assay) ทั้งนี้ การเพาะเชื้อจากอุจจาระ ไม่ได้ประโยชน์เพราะมักไม่พบเชื้อนี้
รักษาเจียอาร์ไดอาซิสได้อย่างไร?
แนวทางการรักษาการติดเชื้อเจียอาร์เดีย/โรคเจียอาร์ไดอาซิส/เจียอาร์เดีย คือ การใช้ยาฆ่าเชื้อเจียอาร์เดีย และการรักษาตามอาการ
ก. ยาฆ่าเชื้อเจียอาร์เดีย: เช่น ยา Metronidazole, Tinidazole, Nitazoxanide, Albendazole, Nitazoxanide
ข. การรักษาตามอาการ/การรักษาประคับประคองตามอาการ: ขึ้นกับแต่ละอาการของผู้ป่วย เช่น ยาแก้ปวดท้อง และที่สำคัญ คือ รักษาและป้องกันภาวะขาดน้ำด้วยการดื่ม ‘ผงละลายเกลือแร่โออาร์เอส (ORS)’
โรคเจียอาร์ไดอาซิสก่อผลข้างเคียงอย่างไร?
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยจากการติดเชื้อเจียอาร์เดีย/โรคเจียอาร์ไดอาซิส/เจียอาร์เดีย เช่น
- ภาวะขาดน้ำ จากมีท้องเสียต่อเนื่องอาจนานเป็นสัปดาห์ถ้าไม่มีการรักษา
- ภาวะที่ดื่มนมแล้วจะท้องเสียมากขึ้นจากปกติ ด้วยเชื้อเจียอาร์เดียทำให้เกิดการอักเสบของผนังลำไส้เล็ก ทำให้ไม่สามารถดูดซึมน้ำตาลแลคโตส(Lactose, น้ำตาลในนม)ได้
- ภาวะขาดอาหาร(ทุพโภชนา)จากทั้งท้องเสียและเชื้อนี้แย่งอาหารจากลำไส้
- ในเด็ก จะพบว่ามีการเจริญเติบโตต่ำกว่าเกณฑ์ทั้งด้านร่างกายและด้านอารมณ์
โรคเจียอาร์ไดอาซิสมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
การติดเชื้อเจียอาร์เดีย/โรคเจียอาร์ไดอาซิส/เจียอาร์เดีย มีการพยากรณ์โรคโดย:
- ทั่วไป เป็นโรคไม่รุนแรง ไม่ทำให้ถึงตาย โรคมักรักษาได้หายจากการกินยาฆ่าเชื้อนี้
- แต่สามารถติดเชื้อซ้ำได้เสมอถ้ายังขาดสุขอนามัยพื้นฐาน โดยเฉพาะจากน้ำดื่ม น้ำใช้ เพราะดังกล่าวแล้วว่า คนมักติดเชื้อนี้จากการดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ/อุจจาระของคนที่ติดเชื้อนี้
- อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นการติดเชื้อจำนวนมากในเด็กอ่อน สามารถทำให้ถึงตายได้ จากเด็กท้องเสียรุนแรงจนเกิดภาวะขาดน้ำรุนแรง
ดูแลตนเองอย่างไร?
การดูแลตนเองเมื่อมีการติดเชื้อเจียอาร์เดีย/โรคเจียอาร์ไดอาซิส/เจียอาร์เดีย เช่น
- ปฏิบัติตาม แพทย์ พยาบาล แนะนำ
- กินยา/ใช้ยาต่างๆที่แพทย์สั่งให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่ขาดยา
- รักษาสุขอนามัยในการขับถ่าย ถ่ายอุจจาระโดยใช้ส้วมเสมอ ถ้าเป็นไปได้ช่วงที่ยังตรวจพบเชื้อนี้ในอุจจาระ ควรแยกส้วมกับผู้อื่น
- ล้างมือทุกครั้ง ก่อนกินอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำ
- ดื่มแต่น้ำสะอาด ถ้าเป็นแหล่งน้ำจากธรรมชาติ ควรต้องเป็นน้ำต้มเดือดนานอย่างน้อย 1 นาที
- รักษาความสะอาดอาหารเสมอ โดยเฉพาะ ผักสด ไม่บริโภคพืชที่ใช้อุจจาระเป็นปุ๋ย
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน(สุขบัญญัติแห่งชาติ)
- การมีเพศสัมพันธ์ทางปากและทางทวารหนัก ควรใช้ถุงยางอนามัยชาย
- ไม่วายน้ำในสระนำที่ไม่แน่ใจเรื่องความสะอาด ระมัด ระวังไม่กลืนน้ำขณะว่ายน้ำในทุกสถานที่
- พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามแพทย์นัดเสมอ
พบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?
ควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัด เมื่อ
- อาการต่างๆแย่ลง เช่น ปวดท้องมากขึ้น ท้องเสียบ่อยขึ้น
- เกิดมีอาการใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น อุจจาระเป็นเลือด
- อาการที่เคยรักษาหายแล้ว กลับมามีอาการอีก เช่น กลับมาท้องเสียเหมือนเดิม
- มีผลข้างเคียงต่อเนื่องจากยาที่แพทย์สั่งจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ท้องผูก คลื่นไส้
- เมื่อกังวลในอาการ
ป้องกันโรคเจียอาร์ไดอาซิสได้อย่างไร?
ปัจจุบัน ยังไม่วัคซีนหรือยาใดที่ใช้ป้องกันการติดเชื้อเจียอาร์เดีย/โรคเจียอาร์ไดอาซิส/เจียอาร์เดีย แต่โรคนี้สามารถป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพโดย ดื่มน้ำ และบริโภคอาหารที่สะอาดไม่ปนเปื้อนอุจจาระคนและสัตว์, ถ้าเป็นน้ำดื่มจากธรรมชาติควรต้มให้เดือดก่อนนำมาดื่ม นอกจากนั้น ได้แก่
- ใช้ส้วมในการขับถ่ายอุจจาระเสมอ
- ไม่นำอุจจาระมาเป็นปุ๋ย
- ล้างมือทุกครั้ง ก่อนกินอาหาร และขับถ่าย
- ใช้ถุงยางอนามัยชายเสมอเมื่อมีเพศสัมพันธ์ทางปากและทางทวารหนัก
- รักษาความสะอาด อาหาร เครื่องปรุง เครื่องใช้ในการทำครัว และน้ำดื่ม น้ำใช้
- ระวังน้ำเข้าปากจากการว่ายน้ำในสระน้ำที่รักษาความสะอาดได้ไม่ดีพอ
- รณรงค์ให้ทุกคนรู้จักโรคนี้ และช่วยกันดูแลให้ชุมชนให้รู้จักรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน(สุขบัญญัติแห่งชาติ)
บรรณานุกรม
- Anchalee Tungtrongchitr. Et al. (2010).J Health Popul Nutr. 28, 42-52.
- https://extension.psu.edu/removing-giardia-cysts-from-drinking-water [2021,Nov27]
- https://emedicine.medscape.com/article/176718-overview#showall [2021,Nov27]
- https://www.canada.ca/en/public-health/services/laboratory-biosafety-biosecurity/pathogen-safety-data-sheets-risk-assessment/giardia-lamblia.html [2021,Nov27]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Giardiasis [2021,Nov27]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Giardia_duodenalis [2021,Nov27]
- https://www.cdc.gov/healthywater/drinking/travel/backcountry_water_treatment.html [2021,Nov27]
- https://www.cdc.gov/parasites/giardia/ [2021,Nov27]