กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน (Premenstrual syndrome)

สารบัญ

บทความที่เกี่ยวข้อง

กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนคืออะไร?

กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน ย่อว่า ‘กลุ่มอาการ พีเอ็มเอส’ (Premenstrual syndrome, PMS) คือ อาการผิดปกติ หรือ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับสตรีซ้ำๆโดยที่  สัมพันธ์กันการมีประจำเดือน, ส่วนมากอาการจะเกิดก่อนมีประจำเดือนอาจ 3-4วัน หรือ เป็นสัปดาห์, เช่น ปวดหัว หงุดหงิด เจ็บ/เต้านมคัดตึง

กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนมีอะไรบ้าง?

 

กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนมีมากมายหลายอาการ โดยสามารถจัดเป็นกลุ่มใหญ่ๆ 2 กลุ่ม  คือ

ก. กลุ่มอาการที่แสดงออกทางด้านจิตใจ-อารมณ์: เช่น หงุดหงิด เครียด โมโหง่าย หรือ ซึมเศร้า

ข. กลุ่มอาการที่แสดงออกทางด้านร่างกาย: เช่น เจ็บ/เต้านมคัดตึง น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น  บวมน้ำตามนิ้วมือนิ้วเท้า

กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนมีความสำคัญหรือมีผลกระทบต่อสตรีอย่างไร?

กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนพบในสตรีประมาณ 75-90% ของสตรีวัยมีประจำเดือน, มีความรุนแรงแตกต่างกันไปในสตรีแต่ละคน แต่สตรีส่วนมากจะมีอาการไม่มาก   

โดยมีสตรีจำนวนน้อยเท่านั้น(ประมาณ3-20%)ที่มีอาการก่อนมีประจำเดือนอย่างมากหรืออย่างรุนแรง จนทำให้มีผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน เช่น ซึมเศร้า  อยากฆ่าตัวตาย  หงุดหงิดจนทะเลาะกับสามีหรือกับเพื่อนร่วมงาน หรือ ปวด/เต้านมคัดตึงมาก, โดยอาการต่างๆมักส่งผลจนไม่สามารถไปทำงานได้ตามปกติ ซึ่งเมื่อมีอาการผิดปกติมากหรือรุนแรงดังกล่าวจะเรียกว่า “กลุ่มอาการรุนแรงก่อนมีประจำเดือน(Premenstrual dysphoric disorder หรือ PMDD)” ซึ่งได้กล่าวแยกต่างหากในอีกบทความหนึ่ง ไม่กล่าวในบทความนี้ แนะนำอ่านจากเว็บhaamor.com เรื่อง ‘กลุ่มอาการรุนแรงก่อนมีประจำเดือน’

สตรีกลุ่มใดบ้างที่มีโอกาสประสบกับปัญหานี้?

ปัญหาจากกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนพบบ่อยในสตรีอายุ 30-40 ปี แต่สามารถพบในช่วงอายุอื่นๆได้เช่นกัน (เฉพาะในวัยยังมีประจำเดือน) สตรีส่วนใหญ่จะมีอาการไม่มาก มีสตรีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะมีอาการรุนแรงจนกระทบต่อชีวิตประจำวัน

ปัจจัยสี่ยงต่อการเกิดกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนมีอะไรบ้าง?

ทั่วไป สตรีที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน ได้แก่  

  • มีบุคลิกที่เครียดง่าย
  • ดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีนสูง เช่น ชา กาแฟ  เครื่องดื่มชูกำลัง
  • มีประวัติซึมเศร้า
  • มีประวัติคอบครัวเป็นกลุ่มอาการนี้
  • อายุมาก
  • รับประทานอาหารที่มีแคลเซียม (มีมากในนม) หรือ แมกนีเซียม (Magnesium มีมากใน ผักใบเขียวเข้ม นมถั่วเหลือง เต้าหู้ ถั่วลิสง และธัญพืชเต็มเมล็ด) ต่ำ

วิธีการวินิจฉัยกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนทำอย่างไร?

แพทย์วินิจฉัยกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนจาก การซักประวัติอาการของผู้ป่วยเพียงวิธีเดียว  เพราะยังไม่มีการตรวจทางห้องปฏิบัติการหรือการตรวจเลือดที่บอกได้ชัดเจน 

ทั่วไป อาการที่แพทย์และสตรีจะใช้สังเกตตนเองว่ามีปัญหานี้หรือไม่ ได้แก่

  • เกิดอาการซึ่งมักมีหลายอาการ (จึงเรียกว่า‘กลุ่มอาการ’) แบบเดิมซ้ำๆทุกเดือน โดยเกิดก่อนมีประจำเดือนประมาณ 5-10 วัน, แต่บางคนอาจนานกว่านั้นได้
  • กลุ่มอาการที่เกิดจะดีขึ้นหลังเลือดประจำเดือนหยุด หรือประมาณ 4 วันหลังมีประจำเดือน

สาเหตุที่ทำให้เกิดกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนมีอะไรบ้าง?

สาเหตุที่แท้จริงของการทำให้เกิดกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน ‘ยังไม่ทราบแน่ชัด’ แต่มีการสังเกตว่า มักเกิดอาการเหล่านี้ในช่วงรอบประจำเดือนช่วงหลังจากมีการตกไข่แล้ว มากกว่าช่วงรอบประจำเดือนที่ยังไม่มีไข่ตก (โดยทั่วไปในสตรี วัยเจริญพันธุ์จะมีประจำเดือนทุก 28-30 วัน การตกไข่จะเกิดประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนมีประจำเดือนครั้งถัดไป),   แพทย์จึงสันนิษฐานว่า น่าอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนเพศหญิงโดยเฉพาะฮอร์โมนโพรเจสเทอโรน (Progesterone) ที่จะเกิดขึ้นหลังการตกไข่ (หากไม่มีการตกไข่ในรอบเดือนนั้นก็จะไม่มีการผลิตฮอร์โมนโพรเจสเทอโรน) ซึ่งฤทธิ์ของฮอร์โมนนี้จะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น, บวมน้ำ, อารมณ์หงุดหงิด

นอกจากนี้ยังพบว่า ถ้าช่วงมีอาการ ร่างกายมีสารเซโรโทนิน (Serotonin) จากสมอง (สารนี้ทำงานสัมพันธ์กับการควบคุม อารมณ์ ความโกรธ และการหิว) ลดลง, จะส่งผลให้มีอาการรุนแรงขึ้น

การรักษากลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนมีอะไรบ้าง?

แบ่งแนวทางการรักษากลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนเป็น การไม่ใช้ยา, และการใช้ยา:

ก. การดูแลรักษาโดย’ไม่ใช้ยา’: วิธีนี้จะใช้ในกรณีที่มีอาการไม่มาก เช่น

  • ระมัดระวังเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม ไม่ควรดื่ม ชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลังเหล้า/เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในช่วงที่ใกล้จะมีประจำเดือน เพราะสิ่งเหล่านี้จะไปกระตุ้นให้เกิดอาการรุนแรงขึ้น
  • ควรรับประทาน ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ มากกว่าข้าวที่ขัดสีจนขาว เพราะมี วิตามินเกลือแร่ที่ช่วยบรรเทาอาการฯได้ในบางคน
  • ควรรับประทานอาหารที่มี แคลเซียม และแมกนีเซียมสูงจะช่วยลดอาการเหล่านี้
  • มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อผ่อนคลาย
  • ตั้งสติ ทำสมาธิ ดูหนังฟังเพลง เพื่อลดความเครียด
  • ควรพูดคุยปัญหา/อาการต่างๆให้คนในครอบครัวฟังเพื่อเป็นการระบาย และเพื่อสื่อสารถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น เพื่อช่วยลดความเครียดต่างๆ และเพื่อให้คนรอบข้างได้เข้าใจเราเมื่ออยู่ในช่วงเกิดอาการ

ข. การดูแลรักษาโดย ‘ใช้ยา’: จะใช้ในกรณีที่มีอาการมากซึ่งควรได้รับการดูแลโดยแพทย์, ยาที่ใช้ เช่น

  • ยากลุ่ม Selective serotonin re-uptake inhibitor ย่อว่า ‘เอสเอสอาร์ไอ(SSRI)’ เพื่อเพิ่มระดับสารเซโรโทนินในร่างกาย
  • ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรวม: เพราะการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดฯทำให้ไม่มีการตกไข่ในรอบเดือนนั้นๆ จึงทำให้ไม่มีการสร้างฮอร์โมนโพรเจสเทอโรน, ยาที่นิยมนำมาใช้รักษาภาวะนี้มากคือ ยาที่มีชื่อทางการค้าว่า ‘ยาสมิน/Yasmin®’
  • แผ่นแปะฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) พบว่าได้ผลดี แต่ต้องระวังหากสตรีมีมดลูกอยู่ต้องไห้ฮอร์โมนโพรเจสโทเจน (Progestogen/ยาสเตียรอยด์ฮอร์โมนสังเคราะห์ชนิดหนึ่ง)ควบคู่ไปด้วยเพื่อป้องกันการหนาตัวของเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งอาจก่อให้เกิดการมีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด
    • ทั้งนี้ ยังมีกลุ่มอาการนี้ได้ในสตรีที่รังไข่ยังทำงานตามปกติ มีการตกไข่ตามปกติ แต่ได้มีการตัดมดลูกออกไปแล้ว, จึงไม่มีประจำเดือนให้เห็น, แต่ยังคงมีวงรอบของการตกไข่อยู่เช่นเดิม เช่น ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเนื้องอกมดลูกและได้รับการรักษาโดยการตัดมดลูกแต่ยังเก็บรังไข่ไว้
  • การให้ยาเสริมเพื่อรักษาอาการต่างๆ เช่น หากบวมน้ำมาก แพทย์อาจต้องให้ยาขับปัสสาวะ/ยาขับน้ำ, หากเจ็บคัดเต้านมมากอาจต้องรับประทานยาแก้ปวดร่วมด้วย

โดยทั่วไปกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนจะเกิดกับสตรีเกือบทุกคนที่ยังมีประจำเดือน/มีการตกไข่อยู่,  แต่อาการไม่รุนแรง,  ไม่ต้องกังวลใจ,  ยกเว้นหากมีอาการรุนแรงมากควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้ได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสม

กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนรุนแรงไหม? รักษาหายไหม?

ตามที่ได้กล่าวแล้วว่า สตรีในวัยมีประจำเดือน มีประสบการณ์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์  หงุดหงิด  โมโหง่าย, หรือมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายก่อนมีประจำเดือน เช่น  เจ็บ/เต้านมคัดตึง รู้สึกน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ฯลฯ ที่เราเรียกว่า’กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน’กันเกือบทุกคน แต่อาการเหล่านี้มักไม่รุนแรงจนกระทบต่อชีวิตครอบครัว หรือ ชีวิตการทำงาน การเรียน

อนึ่ง: บางท่านจะสงสัยว่าจะรักษาให้หายขาดเลยได้ไหม คำตอบคือ ‘หายขาดถ้าหากเราไม่มีประจำเดือนมาอีก, ไม่มีการตกไข่, หรือหมดประจำเดือนไปเลย’ เพราะอาการเหล่านี้สัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในความเป็นหญิงของเรา   แต่อาการเหล่านี้สามารถบรรเทาได้ด้วยหลายวิธีดังที่ได้กล่าวแล้ว

นอกจากนั้น การที่เรารู้ทันภาวะความผิดปกตินี้ว่า ‘เป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ’ ที่เกิดขึ้น และคิดไว้เสมอว่าอาการจะดีขึ้นหรือหายไปเมื่อประจำเดือนหยุด เราก็จะสบายใจขึ้น

กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนมีผลข้างเคียงไหม? ควรพบแพทย์เมื่อไหร่?

กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน โดยมากไม่มีผลทำให้เกิดความเสียหายต่อร่างกายเราอย่างถาวร  ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ คือ ผลข้างเคียงของยาที่รับประทาน เช่น ต้องรับประทานยาแก้ปวดเพราะมีอาการเจ็บคัดเต้านมมาก ซึ่งยาอาจก่อให้เกิดแผลในกระเพาะอาการได้เมื่อใช้ยาในกลุ่มเอ็นเสด

นอกจากนั้น อาจเกิดจากผลพวงของอารมณ์ เช่น หงุดหงิด โมโหคนใกล้ตัวหรือเพื่อนร่วมงานในช่วงที่เกิดอาการเหล่านี้ จึงอาจมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง ทำให้เกิดความไม่สบายใจหากผู้อื่นไม่เข้าใจ ดังนั้นการพูดคุยกับคนข้างเคียงในช่วงที่เราปกติจะทำให้ทุกคนเข้าใจเรามากยิ่งขึ้นเมื่อมีกลุ่มอาการนี้

อย่างไรก็ตาม หากเราได้พยายามดูแลตนเองแล้ว ออกกำลังกาย นั่งสมาธิแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกเครียดมาก โมโหร้าย อยากร้องไห้ตลอดเวลา หรือคนใกล้ชิดบอกว่าอาการผิดปกตินั้น’มากกว่าคนทั่วไป’,  ก็ควรต้องพบแพทย์เพื่อช่วยตรวจวินิจฉัยโรคที่ถูกต้อง เพราะบางครั้งเราอาจจะเป็นโรคอื่นที่มีอาการคล้ายกับกลุ่มอาการนี้ได้

ป้องกันกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนได้อย่างไร?

การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดหรือป้องกันกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนนี้ได้  เพราะเวลาออกกำลังกายจะมีฮอร์โมนเอ็นดอร์ฟิน (Endorphin)ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งความสุขหลั่งออกมา ทำให้เรามีความสุข ไม่เครียด 

นอกจากนั้นควรดูแลตัวเองเกี่ยวกับอาหาร ควรรับประทานคาร์โบไฮเดรตชนิดดี เช่น ข้าวที่ไม่ขัดสีจนวิตามินหายหมด, ลดอาหารหวานจัด, รับประทานผัก-ผลไม้มากๆ เพื่อให้ได้วิตามิน เกลือแร่ ครบถ้วน,  และลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และคาเฟอีน, สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เราผ่านพ้นวิกฤตช่วงก่อนมีประจำเดือนไปได้

บรรณานุกรม

  1. Brown J et al. Selective serotonin reuptake inhibitors for premenstrual syndrome. Cochrane Database Syst Rev. 2009 Apr 15;(2):CD001396.
  2. Lopez LM et al. Oral contraceptives containing drospirenone for premenstrual syndrome. Cochrane Database Syst Rev. 2009 Apr 15;(2):CD001396.
  3. Yonkers KA et al. Premenstrual syndrome. Lancet. 2008 Apr 5;371(9619):1200–1
  4. https://en.wikipedia.org/wiki/Premenstrual_syndrome   [2023,Feb11]