เชื้อไวรัส โรคติดเชื้อไวรัส (Viral infection)

สารบัญ

บทความที่เกี่ยวข้อง

 

เชื้อไวรัสคืออะไร?

เชื้อไวรัส หรือ ไวรัส (Virus) คือ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กมาก เล็กกว่าแบคทีเรียหลายเท่า ขนาดของไวรัสประมาณ 20 ถึง 300 นาโนเมตร (Nanometre) และสามารถทำให้เกิดโรค   ในคนได้หลายโรค

ไวรัสมีลักษณะพิเศษกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ: เช่น

  • ไวรัส ไม่สามารถอยู่เป็นอิสระด้วยตัวเอง จำเป็นจะต้องอาศัยอยู่ในเซลล์ของสัตว์อื่นๆเสมอ เช่น ไวรัสตับอักเสบ ต้องอาศัยอยู่ภายในเซลล์ตับและแบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากขึ้นภายในเซลล์, ถ้าไวรัสออกมาอยู่นอกเซลล์จะไม่สามารถมีชีวิตและเพิ่มจำนวนได้
  • เราไม่สามารถมองเห็นเชื้อไวรัสด้วยตาเปล่าได้ และไม่สามารถมองเห็นด้วยกล้องจุลทรรศน์ธรรมดา, เครื่องมือเพียงอย่างเดียวที่ทำให้เรามองเห็นตัวไวรัสได้ คือ กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน (Electron microscope) ซึ่งต้องใช้กำลังขยายนับแสนเท่า จึงจะมองเห็นตัวไวรัสได้

ไวรัสแบ่งเป็นกี่ชนิด?

โรคติดเชื้อไวรัส

 

การแบ่งชนิดของไวรัสสามารถทำได้หลายวิธี: เช่น

  • แบ่งตามชนิดของสารพันธุกรรมนิวคลีอิคแอซิด (Nucleic acid)ที่ศูนย์กลางของตัวไวรัสเป็นดีเอ็นเอ (DNA) และอาร์เอ็นเอ (RNA)
  • แบ่งตามรูปร่างของเปลือกโปรตีน (Capsid) ที่หุ้มอยู่รอบตัวไวรัส เช่น อาจมีรูปร่างหลายเหลี่ยม หรือเป็นเกลียว
  • แบ่งตามชนิดของเปลือกไขมันรอบตัวไวรัส (Lipid envelope)
  • แบ่งตามลักษณะการแบ่งตัวของไวรัส
  • แบ่งตามอวัยวะที่ไวรัสเข้าไปอยู่และทำให้เกิดโรค เช่น
    • ไวรัสตับอักเสบ (Hepatitis virus) จะเข้าไปอาศัยอยู่ในเซลล์ตับ
    • ไวรัสสมองอักเสบ (Encephalitis virus) จะเข้าไปอาศัยอยู่ในเซลล์สมอง
  • แบ่งตามพยาธิสภาพ (Pathology) ที่เกิดในร่างกายมนุษย์ เช่น
    • การทำลายเซลล์โดยตัวไวรัสเองโดยตรง (Direct cytopathic effect)
    • การทำลายเซลล์ที่มีไวรัสโดยระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายเอ
    • การทำให้เซลล์ที่ไวรัสเข้าไปอยู่กลายเป็นเซลล์มะเร็ง (Oncogenic virus)

ไวรัสทำให้เกิดโรคได้อย่างไร?

ไวรัสทำให้เกิดโรคกับร่างกายได้ด้วยขั้นตอนดังต่อไปนี้ เช่น

  • ไวรัสเกาะติดกับผนังเนื้อเยื่อหุ้มรอบเซลล์ (Cell membrane) โดยมากที่ผนังเนื้อเยื่อหุ้มรอบเซลล์จะมีตัวรับ (Receptor) ที่เหมาะกับโครงสร้างของไวรัสอยู่ด้วยจึงจะทำให้ไวรัสมาเกาะติดได้ง่าย
  • ไวรัสรุกรานเข้าภายในเซลล์และเริ่มแบ่งตัวเพิ่มปริมาณไวรัส
  • ไวรัสสร้างโปรตีนที่เหมาะกับสภาพความเป็นอยู่ของไวรัสภายในเซลล์ ทำให้ไวรัสที่เพิ่มขึ้นมานั้นสามารถอยู่อาศัยภายในเซลล์ได้
  • ไวรัสจะเข้าไปที่นิวเคลียสของเซลล์มนุษย์และบังคับให้ลดการสร้างโปรตีนปกติของเซลล์นั้นๆ แต่จะสร้างเฉพาะโปรตีนที่เป็นประโยชน์กับไวรัสเท่านั้น ทำให้การทำงานของเซลล์เพื่อประโยชน์ของร่างกายมนุษย์ลดลง เปรียบเสมือนการยึดครองศูนย์กลางการทำงานของเซลล์ให้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของไวรัสนั่นเอง

โดยผลที่ตามมา คือ ไวรัสจะใช้เซลล์มนุษย์เป็นโรงงานผลิตไวรัสออกมาจำนวนมหาศาล  ในขณะเดียวกันเซลล์นั้นก็ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ จึงเกิดอาการของโรคตามมา, ต่อมาเมื่อถึงระยะหนึ่ง เซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสนั้นก็จะตายหรือถูกทำลายไป, ไวรัสที่อยู่ในเซลล์นั้นก็จะเคลื่อนย้ายเข้าไปยึดครองเซลล์อื่นๆที่อยู่ใกล้เคียงต่อไป,  ถ้าเซลล์ของอวัยวะนั้นๆถูกทำลายไปเป็นจำนวนมาก ก็จะเกิดอาการของโรคขึ้นมาอย่างชัดเจน เช่น

  • ไวรัสตับอักเสบ ทำให้เกิดภาวะตับวาย (Liver failure)
  • ไวรัสสมองอักเสบ ทำให้เกิดอาการ หมดสติ ไม่รู้ตัว ชัก โคม่า   
  • ไวรัสโรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) ทำลายเซลล์ประสาททำให้เกิดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ หมดสติ และ

อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อไวรัสหลายชนิดโดยเฉพาะโรคหวัด (Common cold)  โรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza) โรคหัด (Measle) โรคอีสุกอีใส (Chicken pox), ร่างกายจะสร้างสารภูมิต้านทาน (Antibody)ต่อเชื้อไวรัสได้ทันท่วงที ทั่วไปจะไม่เกิน 2 สัปดาห์หลังจากได้รับเชื้อไวรัสเข้าไปในร่างกาย, ภูมิคุ้มกัน/สารภูมิต้านทานนี้สามารถทำลายเชื้อไวรัสได้ และทำให้หายจากโรคได้โดยไม่เกิดความเสียหายต่ออวัยวะนั้นๆ

ไวรัสติดต่อได้อย่างไร? เข้าสู่ร่างกายได้อย่างไร?

ไวรัส สามารถติดต่อเข้าสู่ร่างกายได้ตามช่องทางต่อไปนี้: เช่น

  • ทางการหายใจ: เช่น ไวรัสโรคหวัดธรรมดา ไวรัสโรคไข้หวัดใหญ่  ไวรัสโรคไข้หวัดนก  ไวรัสที่ทำให้เกิดปอดอักเสบ/ปอดบวม  ไวรัสโรคหัด,  จะติดต่อทางลมหายใจ ไอ จาม รดกัน การจูบกับคนที่เป็นโรค, โดยไวรัสจะอยู่ในเซลล์ที่ปะปนออกมากับน้ำมูก น้ำลาย ที่ผู้ป่วยปล่อยออกมา
  • ทางเลือด: เช่น โรคเอดส์ โรคไวรัสตับอักเสบทุกชนิด เช่น  ได้รับการให้เลือดที่มีเชื้อ,  ถูกเข็มฉีดยาที่เปื้อนเลือดผู้ป่วยแทงที่ผิวหนัง,  เลือดที่มีเชื้อไวรัสเข้าปาก, เป็นต้น
  • ทางการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่เป็นโรคหรือเป็นพาหะโรคของเชื้อไวรัส: เช่น โรคเอดส์ โรคหูดหงอนไก่(ซึ่งมีสาเหตุมาจากไวรัส เอชพีวี เช่น การติดเชื้อเอชพีวีอวัยวะเพศหญิง)  โรคเริมอวัยวะเพศ (ซึ่งมีสาเหตุจากไวรัสเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ชนิดที่ 2)   
  • ทางการตั้งครรภ์: โดยเชื้อไวรัสแพร่จากแม่ไปสู่ลูก เช่น เชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) เชื้อโรคไวรัสตับอักเสบบี   เชื้อไวรัสซีเอมวี/CMV(โรคติดเชื้อไซโตเมกาโลไวรัส) โรคหัดเยอรมัน  
  • ทางการสัมผัสทางผิวหนังโดยตรง: เช่น ไวรัสโรคอีสุกอีใส (Chicken pox) โรคไข้ทรพิษ (Small pox)
  • ทางการถูกสัตว์ที่เป็นโรคกัด: เช่น ไวรัสโรคกลัวน้ำ/โรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งเชื้อสามารถเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผลที่ถูก สุนัข แมว ค้างคาว ฯลฯ กัด เป็นต้น
  • เข้าทางตา: เช่น ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคตาแดงจากไวรัส
  • ทางยุงกัด เช่น ไวรัสสมองอักเสบ  ไวรัสโรคไข้เลือดออกเด็งกี่ (Dengue hemorrhagic fever) ที่พบอยู่เสมอในประเทศไทย เป็นต้น
  • เข้าทางปาก: เช่น ไวรัสโรต้า/โรคท้องร่วงจากไวรัสโรตา ซึ่งทำให้เกิดโรคท้องร่วง/ท้องเสีย   และไวรัสโปลิโอ (Polio virus)ที่ทำให้เกิดโรคแขนขาลีบ/โรคโปลิโอ เป็นต้น

ไวรัสอยู่ในร่างกายมนุษย์ได้อย่างไร? มีระยะฟักตัวนานเท่าใด?

ไวรัสอยู่ในร่างกายมนุษย์ได้โดยอาศัยอยู่ในเซลล์ของมนุษย์ โดยเฉพาะเซลล์ที่ไวรัสแต่ละชนิดมีความสามารถเข้าไปอยู่โดยเฉพาะซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละโรค   เช่น

  • โรคไวรัสตับอักเสบ จะเข้าไปอยู่ในเซลล์ตับเท่านั้น
  • ไวรัสสมองอักเสบ จะเข้าไปอยู่ในเซลล์ประสาทสมองส่วนกลาง
  • ไวรัสเอดส์ อยู่ในเม็ดเลือดขาวชนิดทีลิ้มโฟซัยท์ (T-lymphocyte)
  • ไวรัสโรคหวัด อยู่ในเซลล์เนื้อเยื่อบุผิวของทางเดินหายใจ  

อนึ่ง: เมื่อไวรัสอยู่ในเซลล์ อาจจะมีการรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่จนสามารถมองเห็นได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์ธรรมดา (Light microscope) เรียกว่า อินคลูชั่นบอดี้ (Inclusion body) ซึ่งมักจะอยู่ในนิวเคลียสของเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัส

ระยะฟักตัวของไวรัส:  

ระยะฟักตัว ได้แก่ เวลานับตั้งแต่ได้รับเชื้อไวรัสเข้าไปในร่างกายจนถึงเวลาที่เกิดอาการของโรค จะแตกต่างกันไปในไวรัสแต่ละชนิด เช่น

  • โรคหวัดธรรมดา จะมีระยะฟักตัวประมาณ 3-7 วัน
  • โรคพิษสุนัขบ้าหรือโรคกลัวน้ำ มีระยะฟักตัวประมาณ 7 วันถึง 2 ปี

โรคอะไรบ้างที่เกิดจากเชื้อไวรัส?

โรคติดเชื้อไวรัสที่พบบ่อย: เช่น

  • โรคหวัดธรรมดา, โรคไข้หวัดใหญ่, โรคไข้เลือดออก
  • โรคหัด, โรคคางทูม,  โรคอีสุกอีใส, โรคโปลิโอ,  โรคหัดเยอรมัน
  • โรคพิษสุนัขบ้า, โรคไข้สมองอักเสบ, โรคไข้ทรพิษ/ฝีดาษ
  • โรคเริม, โรคงูสวัด, โรคไวรัสตับอักเสบ, โรคตาแดงจากไวรัส
  • โรคเอดส์

กำจัดหรือฆ่าไวรัสให้ตายได้อย่างไร?

การกำจัดเชื้อไวรัสจากร่างกาย มีวิธีการดังนี้ เช่น  

ใช้ยาต้านไวรัส: ซึ่งปัจจุบันมีหลายชนิด เช่น ยาอะซัยโคลเวีย (Acyclovir) ใช้รักษาโรคเริม และโรคงูสวัด, โอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir)/ทามิฟลู (Tamiflu) ใช้รักษาไข้หวัดใหญ่, โมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) ใช้รักษาโรคโควิด-19

  • ให้เซรุ่ม/น้ำเหลืองของเลือด (Serum): ซึ่งผลิตในสัตว์ หรือ ด้วยเทคนิคทาง อิมมูโนวิทยา (Immunology, ระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรค) และมีสารภูมิต้านทาน (Antibody) ในน้ำเหลืองนั้นๆ อยู่แล้ว ฉีดให้ผู้ป่วย, ผู้ป่วยจะมีภูมิคุ้มกันต้านทานต่อเชื้อไวรัสทันทีที่ฉีด โดยไม่ต้องรอสร้างภูมิคุ้มกันต้านทานเองเหมือนในการฉีดวัคซีน, ตัวอย่างเช่น ถ้าผู้ป่วยถูกสุนัขบ้ากัด แพทย์จะฉีดเซรุ่มที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานต่อเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้าให้ทันทีในวันที่ถูกกัด ซึ่งสารภูมิต้านทานนี้/Antibody นี้ จะไปทำลายเชื้อไวรัสได้ทันที ทำให้ผู้ป่วยไม่เป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้
  • วัคซีน: ปัจจุบันนี้มีวัคซีนที่ฉีดแล้วร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานได้เองต่อเชื้อไวรัสหลายชนิด เช่น วัคซีนเอ็มเอ็มอาร์ (วัคซีนโรค หัด  คางทูม หัดเยอรมัน),  วัคซีน อีสุกอีใส, วัคซีนป้องกันโรคฝีดาษ/ไข้ทรพิษ, วัคซีนป้องกันโรคไข้สมองอักเสบเจอี, วัคซีนพิษสุนัขบ้า, วัคซีนไข้หวัดใหญ่, วัคซีนมะเร็งปากมดลูก, ฯลฯ, แต่ก็มีไวรัสหลายชนิดที่ยังไม่มีวัคซีนฉีด  เช่น โรคเอดส์ (แต่กำลังมีการศึกษาวิจัยอยู่) เป็นต้น

โรคติดเชื้อไวรัสมีอาการอย่างไร? ต่างจากติดเชื้อแบคทีเรียอย่างไร?

การติดเชื้อโรค ทั้ง โรคติดเชื้อไวรัส  แบคทีเรีย  โรคเชื้อรา จะให้อาการได้คล้ายคลึงกัน  ไม่มีอาการที่เป็นอาการจำเพาะ, ทั้งนี้เพราะอาการของโรคมักขึ้นกับอวัยวะที่ติดโรค เช่น

  • การติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ: อาการ เช่น มีไข้ ไอ อาจมีน้ำมูก และ/หรือเสมหะ
  • การติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร: อาการ เช่น ปวดท้อง  ท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียน
  • การติดเชื้อที่สมอง: อาการ เช่น มีไข้ สับสน  ปวดหัว  อาจชัก และอาจโคม่า

สรุป: อาการโรคติดเชื้อไวรัสมีได้หลากหลายอาการ ขึ้นกับว่า เป็นการติดเชื้อของอวัยวะ/ระบบใด, และจากอาการเพียงอย่างเดียวไม่สามารถแยกได้ว่า ผู้ป่วยติดเชื้ออะไร ไวรัส  แบคทีเรีย หรือ เชื้อรา

แพทย์วินิจฉัยได้อย่างไรว่าติดเชื้อไวรัส?

ขั้นตอนการวินิจฉัยโรคจากการติดเชื้อทุกชนิด รวมทั้งจากเชื้อไวรัสจะเหมือนกัน คือ แพทย์จะวินิจฉัยจาก

  • อาการผู้ป่วย ประวัติการเจ็บป่วยทั้งในอดีตและปัจจุบัน ประวัติการสัมผัสโรค ประวัติที่อยู่อาศัย การเดินทาง และประวัติการระบาดของโรคในขณะนั้น
  • การตรวจร่างกาย ที่รวมถึงการตรวจวัดสัญญาณชีพ
  • อาจมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการ: เช่น การตรวจปัสสาวะ, การตรวจอุจจาร, และ ตรวจเลือด เช่น ซีบีซี/CBC, การตรวจเลือดดูการทำงานของ ตับ ไต และค่าสารเกลือแร่/แร่ธาตุ,    
  • การตรวจย้อมเชื้อ การตรวจเพาะเชื้อ
  • ตรวจเลือด หรือ สารคัดหลั่งต่างๆ เพื่อดู สารภูมิต้านทาน/Antibody หรือ สารก่อภูมิต้านทาน(Antigen) ต่อเชื้อนั้นๆ
  • อาจมีการตรวจภาพอวัยวะที่มีการติดเชื้อ เช่น เอกซเรย์  อัลตราซาวด์  เอกซเรย์คอมพิวเตอร์(ซีทีสแกน) และ/หรือเอมอาร์ไอ  
  • บางครั้งอาจมีการตัดชิ้นเนื้อเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา

 อนึ่ง: การตรวจเพิ่มเติม/การสืบค้น จะด้วยวิธีใดขึ้นกับ อาการผู้ป่วย, ความผิดปกติที่แพทย์ตรวจพบ, และดุลพินิจของแพทย์

รักษาโรคไวรัสได้อย่างไร?

การรักษาหลักของโรคติดเชื้อไวรัส คือการรักษาตามอาการเพื่อให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคเกิดขึ้นซึ่งจะกำจัดไวรัสได้เอง ดังได้กล่าวแล้วใน ‘หัวข้อ ไวรัสทำให้เกิดโรคได้อย่างไร’

 ยาปฏิชีวนะ ฆ่าไวรัสไม่ได้, ฆ่าได้แต่แบคทีเรีย ดังนั้นจึงไม่มีการใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาโรคติดเชื้อไวรัส, ยกเว้นมีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้อน เช่น เป็นโรคหวัด และมีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้อนก่อให้เกิดไซนัสอักเสบ เป็นต้น

การรักษาตามอาการ เช่น การพักผ่อนให้เพียงพอ, การดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ, กินยาลดไข้ ยาแก้ปวด เมื่อมีอาการดังกล่าว, การให้สารน้ำทางหลอดเลือดเมื่อกินได้น้อย, การให้ออกซิเจนเมื่อมีอาการทางการหายใจ  

อย่างไรก็ตาม ดังได้กล่าวแล้วใน ‘หัวข้อ การกำจัดหรือฆ่าไวรัส’ ไวรัสบางชนิดที่มียาต้านไวรัส แพทย์จะให้ยาต้านไวรัสเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงและที่ร่างกายไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันต้านทานโรคได้ดี ทั้งนี้เพราะไวรัสเป็นสิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวได้สูง จึงทำให้เกิดการดื้อยาได้ง่ายซึ่งจะส่งผลให้เกิดไวรัสสายพันธุ์ดื้อยาที่จะแพร่กระจายติดต่อผู้อื่นได้ง่ายเมื่อใช้ยาพร่ำเพรื่อ

โรคจากติดเชื้อไวรัสรุนแรงไหม?

โดยทั่วไป โรคติดเชื้อไวรัสมักรักษาได้หาย, แต่ความรุนแรงของการติดเชื้อไวรัสจะเช่นเดียวกับในการติดเชื้อต่างๆ เช่น แบคทีเรีย หรือ โรคเชื้อรา, กล่าวคือจะขึ้นกับ ชนิด/สายพันธุ์ของไวรัส, ปริมาณไวรัสที่ร่างกายได้รับ, สุขภาพเดิมของผู้ป่วย, และในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ, ที่โรคมักรุนแรง, เช่นใน

  • เด็กเล็ก (นิยามคำว่าเด็ก)
  • ผู้สูงอายุ
  • หญิงตั้งครรภ์
  • ผู้ที่มีโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน คนที่ขาดอาหาร/ภาวะทุพโภชนา
  • ผู้ป่วยที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน  เช่น ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ
  • ผู้ป่วยที่ใช้ยาในกลุ่มสเตียรอยด์ เช่น  โรคหืด  โรคภูมิแพ้  
  • ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี (HIV)
  • ผู้ป่วยมะเร็ง โดยเฉพาะที่กำลังได้รับยาเคมีบำบัด, และ/หรือ รังสีรักษา

ควรดูแลตนเองอย่างไรเมื่อติดเชื้อไวรัส? ควรพบแพทย์เมื่อใด?

การดูแลตนเองเมื่อติดเชื้อไวรัสที่สำคัญ คือ การรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน(สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อให้มีสุขภาพแข็งแรงลดโอกาสติดเชื้อแบคทีเรียซ้อน และลดการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น, รวมทั้งการไม่คลุกคลีกับผู้อื่น

นอกจากนั้น: เช่น   

  • ถ้าได้พบแพทย์ พยาบาล ก็ควรปฏิบัติตาม แพทย์ พยาบาล แนะนำ
  • กินยา/ใช้ยาที่แพทย์แนะนำให้ถูกต้องครบถ้วน ไม่ขาดยา
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • เมื่อมีไข้ ควรต้องหยุดงาน หยุดเรียนจนกว่าไข้จะลงอย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง เพราะช่วงมีไข้มักเป็นช่วงแพร่กระจายเชื้อได้สูง
  • ใช้หน้ากากอนามัยเมื่อมีอาการไอ
  • ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ วันละอย่างน้อย 8-10 แก้ว เมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม
  • กินอาหารอ่อน (ประเภทอาหารทางการแพทย์)
  • พบแพทย์/มาโรงพยาบาลตามแพทย์นัด
  • พบแพทย์เสมอ หรือพบแพทย์/มาโรงพยาบาลก่อนนัดโดยพบแพทย์ภายใน 1-2 วันเมื่อ
    • อาการต่างๆแย่ลง  
    • อาการไม่ดีขึ้น
    • กังวลในอาการ
  • พบแพทย์/มาโรงพยาบาลฉุกเฉิน เมื่อมีอาการทางสมอง เช่น ปวดหัวมาก, แขนขาอ่อนแรง/กล้ามเนื้ออ่อนแรง, คอแข็ง  สับสน ซึม ชัก และ/หรือ โคม่า หรือมีอาการทางการหายใจ เช่น หายใจลำบาก/ หอบเหนื่อย

ทำอย่างไรจึงป้องกันการติดเชื้อไวรัสได้?

การป้องกันการติดเชื้อไวรัส: เช่น

  • ที่สำคัญที่สุด คือ ป้องกันตนเองจากการติดเชื้อจากคนที่กำลังเป็นโรคโดยใช้วิธีการป้องกันและรักษาความสะอาดของตนเองเป็นหลัก ซึ่งรวมถึงการรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เช่น
    • ใส่หน้ากากอนามัยป้องกันเชื้อเข้าทางลมหายใจ
    • รับประทานเฉพาะอาหารที่ปรุงสุกแล้ว
    • ล้างมือบ่อยๆ และทุกครั้งก่อนและหลังรับประทานอาหาร
    • ล้างมือทุกครั้ง หลังถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ
    • ล้างมือทุกครั้ง ก่อนและหลังการสัมผัสผู้ป่วย
    • หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วยด้วยมือเปล่า เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคอีสุกอีใสเพราะอาจติดโรคได้
    • หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ชุมชนหนาแน่น หรือไม่มีที่ระบายอากาศที่เพียงพอ
    • มีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย และใช้ถุงยางอนามัชายเสมอ
    • ไม่ใช้สาร/ยาเสพติดทุกชนิด
    • ไม่ทำให้ร่างกายอ่อนแอด้วยการอดหลับอดนอน หรือเที่ยวกลางคืน
    • ไม่ดื่มเหล้า
    • ไม่สูบบุหรี่
    • อย่าจูบปากกับคนที่ไม่รู้จัก หรือไม่รู้ว่าเป็นพาหะของโรคหรือไม่
    • อย่าใช้เข็มฉีดยาร่วมกับคนอื่น
    • นอนกางมุ้ง อย่าให้ยุงลายกัด
    • ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงในบ้าน
    • ถ้ามีผู้ป่วยในบ้าน ควรแยกผู้ป่วยในห้องส่วนตัวห่างจากคนอื่นๆเพื่อป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อ รวมถึงแยกเครื่องใช้ส่วนตัวที่รวมถึง แก้วน้ำ ช้อน ซ่อม จาน ชาม
    • ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้สุนัขและแมวทุกตัวในบ้าน
  • อีกวิธีสำคัญ คือ ฉีดวัคซีนต่างๆเพื่อป้องกันโรคที่รวมถึงป้องกันความรุนแรงของโรคตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข  เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่,  วัคซีนเอ็มเอ็มอาร์ วัคซีนอีสุกอีใส, วัคซีนตับอักเสบบี, วัคซีนโปลิโอ, และปลูกฝี/วัคซีนป้องกันโรคฝีดาษ, วัคซีนโควิด-19  

*อย่างไรก็ตาม วัคซีนไม่สามารถป้องกันโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสได้ทุกชนิด แต่จะช่วยให้เมื่อติดเชื้อ, ความรุนแรงของโรคจะลดน้อยลง, แต่ก็ยังมีอีกหลายโรคที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน เช่น โรคเอดส์,  โรคไข้เลือดออก,  นอกจากนั้นบางคนได้วัคซีนแล้วร่างกายไม่ยอมสร้างภูมิคุ้มกันฯก็มีอยู่บ่อยๆ, หรือบางทีได้วัคซีนแล้วแต่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต้านฯไม่ทัน เช่น โรคพิษสุนัขบ้าในบางรายที่ระยะฟักตัวสั้นมาก ก็จะเกิดเป็นโรคก่อนที่จะป้องกันได้ เป็นต้น

บรรณานุกรม

  1. Pathologic Basis of Diseases, Robbins and Cotran ฉบับพิมพ์ปี 2010
  2. https://www.msdmanuals.com/home/infections/overview-of-viral-infections/overview-of-viral-infections   [2022,Dec24]