โรคไวรัสสมองอักเสบ (Viral encephalitis)

สารบัญ

บทนำ

โรคสมองอักเสบ (Encephalitis) เป็นโรคที่น่ากลัว เพราะส่งผลต่อพฤติกรรม ความจำได้ มาก และอาจมีอันตรายถึงชีวิต แล้วโรคสมองอักเสบมีสาเหตุจากเชื้อไวรัส/ไวรัสสมองอักเสบ (Viral encephalitis) มีลักษณะแตกต่างจากสาเหตุอื่นๆอย่างไร รักษาหายและป้องกันได้หรือ ไม่ ต้องติดตามบทความนี้ครับ

โรคสมองอักเสบคืออะไร?

โรคไวรัสสมองอักเสบ

โรคสมองอักเสบ คือโรคที่เนื้อสมองมีความผิดปกติเกิดขึ้นทั่วทั้งสมอง ทำให้ผู้ป่วยมีอา การผิดปกติ คือ ความรู้สึกตัว/การรู้สึกตัวเสียไป อาจมีแขนขาอ่อนแรง หรือชักได้

โรคสมองอักเสบมีสาเหตุจากอะไร?

สาเหตุของโรคสมองอักเสบ แบ่งเป็น 2 สาเหตุหลัก คือ

  • สาเหตุจากการติดเชื้อ ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสเริม (Herpes simplex encephalitis) แต่จะเป็นการติดเชื้อที่ไม่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อเริมที่ริมฝีปาก หรือเริมอวัยวะเพศ, ไวรัสเจแปนนีส-บี (Japanese B encephalitis หรือ Japanese encephalitis), ไวรัสหัด, ไวรัสเอชไอวี, ไวรัสโปลิโอ, ไวรัสเวสต์ไนล์ นอกนั้น ยังพบเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียได้ เช่น สครับไทฟัส (Scrup typhus encephalitis)
  • สาเหตุจากภาวะไม่ติดเชื้อ เช่น ภาวะภูมิคุ้มกันต้านทานโรคผิดปกติ (Autoimmune encephalitis เช่น โรคเอสแอลอี/SLE), ผลข้างเคียงจากโรคมะเร็งที่เรียกว่า Paraneoplastic syndrome

ทั้งนี้ สมองอักเสบจากทุกสาเหตุ จะมี อาการ วิธีวินิจฉัย การพบแพทย์ การดูแลตนเอง เหมือนกัน แต่แตกต่างกันที่สาเหตุ ที่ทำให้วิธีรักษา และความรุนแรงของโรค/การพยากรณ์โรค ต่างกัน

บทความนี้จะกล่าวถึงเฉพาะสมองอักเสบที่มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัส หรือ “ไวรัสสมองอักเสบ” เท่านั้นเพราะเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อย

โรคไวรัสสมองอักเสบมีอาการอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?

ไวรัสสมองอักเสบ พบได้เรื่อยๆไม่ถึงกับบ่อยนัก พบได้ในทุกเพศ และทุกวัย แต่วัยที่พบได้บ่อยกว่า คือ วัยเด็กและวัยหนุ่มสาว และโรคมักรุนแรงมากในเด็กอ่อน และในผู้สูงอายุ

อาการจากสมองอักเสบทุกสาเหตุที่รวมถึงไวรัสสมองอักเสบด้วย จะคล้ายคลึงกัน ดัง นั้นจึงใช้อาการเป็นตัวแยกสาเหตุได้ยาก แต่จากอาการ จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้ว่า ผู้ป่วยนั้นน่ามีสมองอักเสบ

อาการพบบ่อยของสมองอักเสบ ที่รวมถึงไวรัสสมองอักเสบ ได้แก่

  • มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง เช่น สับสน
  • สูญเสียความทรงจำ
  • ความรู้สึกตัวลดลง ซึม หมดสติ โคม่า
  • แขน ขา อ่อนแรง
  • เคลื่อนไหวร่างกาย/กล้ามเนื้อผิดปกติ
  • ชัก
  • ไข้สูง มักร่วมกับปวดศีรษะอย่างมาก และอาจมีคลื่นไส้ อาเจียนได้

ทั้งนี้ เมื่อมีอาการเหล่านี้ ที่ไม่จำเป็นต้องมีครบทุกอาการ ที่สำคัญคือ มีไข้ และร่วมกับมีการอ่อนแรง ต้องรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลทันทีเสมอ

ใครมีปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดไวรัสสมองอักเสบ?

ผู้มีปัจจัยเสี่ยงเกิดไวรัสสมองอักเสบ ได้แก่

  • มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ
  • มีถิ่นอาศัย หรือเดินทางท่องเที่ยวในถิ่นที่มีเชื้อก่อโรคเป็นเชื้อประจำถิ่น
  • ไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น หัด โปลิโอ เป็นต้น
  • มีโอกาสถูก ยุง และ/หรือหมัด กัดได้ง่าย เช่น ท่องเที่ยว หรือทำงานในป่า ในท้องทุ่ง เพราะเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุ มักมียุงหรือหมัดเป็นพาหะโรค

แพทย์ให้การวินิจฉัยโรคไวรัสสมองอักเสบอย่างไร?

แพทย์วินิจฉัยได้ว่าเป็นไวรัสสมองอักเสบ โดยพิจารณาจาก ประวัติเสี่ยงต่างๆ, อาการผิดปกติดังกล่าวในหัวข้อ อาการ, การตรวจร่างกายพบ ความรู้สึกตัวผิดปกติ พฤติกรรมผิดปกติ และมีไข้สูง ซึ่งเมื่อแพทย์สงสัยภาวะ/โรคสมองอักเสบ จะส่งตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือเอมอาร์ไอสมอง โดยจะขึ้นกับอาการผู้ป่วย และความพร้อมของสถานพยาบาล

  • ถ้าผลการตรวจพบภาวะเลือดออกบริเวณสมองส่วนธาลามัส (Thalamus) ก็เข้าได้กับสมองอัก เสบจากไวรัสแจแปนนีส-บี
  • ถ้าพบความผิดปกติบริเวณสมองใหญ่ส่วนกลีบขมับ (Temporal lobe) ก็เข้าได้กับสมองอักเสบจากไวรัสเริม ถ้าพบเพียงสมองบวมทั่วๆไป จะไม่สามารถระบุได้ว่าเกิดจากเชื้ออะไร หรือจากสาเหตุอะไร

เมื่อแพทย์ทราบผลการตรวจภาพสมอง และเมื่อไม่มีข้อห้ามในการตรวจน้ำหล่อเลี้ยงสมองไขสันหลัง (CSF) /การเจาะหลัง ก็จะเจาะหลังตรวจ ซึ่งถ้าพบเม็ดเลือดแดงออกมาในน้ำ CSF จะบ่งชี้ว่า เป็นการติดเชื้อไวรัสเริม แต่ถ้าไม่พบเม็ดเลือดแดงก็ไม่สามารถระบุเชื้อ หรือสา เหตุก่อโรคสมองอักเสบได้

นอกจากนี้ แพทย์จะนำน้ำ CSF ไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อหาสารภูมิคุ้มกัน และเพื่อการเพาะเชื้อด้วย เพื่อหาสาเหตุที่แน่นอนต่อไป

รักษาไวรัสสมองอักเสบอย่างไร?

การรักษาไวรัสสมองอักเสบจากเชื้อไวรัสเริม จะให้ยาอะซัยโคเวีย (Acyclovir) ทางหลอดเลือดดำ

ส่วนไวรัสแจแปนนีส-บี และไวรัสสมองอักเสบสาเหตุจากไวรัสอื่นๆ ไม่มียารักษาเฉพาะ การรักษาที่สำคัญคือ การรักษาประคับประคองตามอาการ และ ระวังภาวะแทรกซ้อน/ผลข้าง เคียงจากโรค เช่น การติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ และ/หรือ ถ้ามีอาการชักก็ให้ยากันชัก เป็นต้น

อนึ่ง การรักษาโรคนี้ มักเป็นการรักษาในโรงพยาบาลอย่างน้อยๆ 2-4 สัปดาห์โดยขึ้นกับชนิดของไวรัส และความรุนแรงของโรค

แต่ถ้ามีภาวะแทรกซ้อน/ผลข้างเคียง เช่น ชัก มักต้องรักษาต่อเนื่องที่บ้าน ด้วยการทานยากันชักนานหลายปี และมีการฝึกความจำ ฝึกพฤติกรรม และการทำกายภาพบำบัด ซึ่งต้องใช้เวลานาน ทั้งนี้ขึ้นกับความรุนแรงของอาการ

ไวรัสสมองอักเสบมีการพยากรณ์โรคอย่างไร? มีผลข้างเคียงอย่างไร?

การพยากรณ์โรค/ผลการรักษาไวรัสสมองอักเสบ ส่วนใหญ่ ผู้ป่วยรอดชีวิต และโอกาสเกิดเป็นซ้ำน้อยมากๆ แต่มักจะมีผลข้างเคียงจากโรคที่หลงเหลืออยู่ เช่น ปัญหาด้านความจำ, ปัญหาด้านพฤติกรรม (เช่น บุคลิกภาพเปลี่ยน อารมณ์แปรปรวน), ปัญหาในการพูด, การได้ยิน, และ/หรือ กล้ามเนื้ออ่อนแรง/อัมพฤกษ์/อัมพาต

ดูแลตนเองเมื่อออกจากโรงพยาบาลอย่างไร? ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไร?

การดูแลตนเองภายหลังหายจากโรคไวรัสสมองอักเสบ คือ การปฏิบัติตามแพทย์ พยา บาลแนะนำ ร่วมกับพบแพทย์ตามนัดเสมอ และยังขึ้นกับผลข้างเคียงจากโรคที่หลงเหลืออยู่ด้วย เช่น

  • ถ้ามีอาการชัก ก็ต้องทานยากันชักสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ถ้ามีแขนขาอ่อนแรง ก็ต้องขยันทำกายภาพบำบัด
  • ถ้ามีปัญหาด้านความจำหรือด้านพฤติกรรม ก็ต้องหมั่นฝึกความจำและฝึกควบคุมพฤติ กรรมต่างๆให้เหมาะสม
  • แต่ถ้ามีไข้ หรือชักบ่อยขึ้น หรือซึมลง หรือมีอาการผิดไปจากเดิม หรืออาการต่างๆเลวลง หรือกังวลในอาการ ก็ควรรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัด

ป้องกันไวรัสสมองอักเสบอย่างไร?

ไวรัสสมองอักเสบบางชนิดมีวัคซีนป้องกันได้ เช่น ไวรัสแจแปนนีส -บี ไวรัสหัด ไวรัสโป ลิโอ แต่หลายชนิดยังไม่มีวัคซีน เช่น ไวรัสเริม

อย่างไรก็ตาม การรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ด้วยการรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) และรู้จักป้องกันตนเองจากยุง และหมัดกัด เมื่อต้องอยู่ในถิ่น หรือเดินทางไปยังถิ่นที่อาศัยของเชื้อโรค ก็เป็นวิธีที่ป้องกัน/ลดปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดโรคนี้ลงได้

ศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า

อายุรแพทย์ประสาทวิทยา