โรคหวัด (Common cold)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
- 10 มิถุนายน 2563
- Tweet
- บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
- โรคหวัดเกิดได้อย่างไร?
- โรคหวัดมีอาการอย่างไร?
- โรคหวัดรุนแรงไหม? มีโรคแทรกซ้อนได้ไหม?
- โรคหวัดติดต่อได้ไหม? โรคหวัดติดต่ออย่างไร?
- แพทย์วินิจฉัยโรคหวัดได้อย่างไร?
- โรคหวัดรักษาอย่างไร?
- ดูแลตนเองอย่างไรเมื่อเป็นหวัด? และควรพบแพทย์เมื่อใด?
- ป้องกันโรคหวัดได้อย่างไร?
- โรคหวัดต่างจากโรคไข้หวัดใหญ่ไหม?
- บรรณานุกรม
- โรคหวัดในเด็ก (Common cold in children)
- โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ โรคติดเชื้อระบบหายใจ (Respiratory tract infection)
- โรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน (Upper respiratory tract infection)
- ไข้หวัดใหญ่ (Influenza)
- ไข้หวัดนก (Avian influenza)
- โรคซาร์ส (SARS)
- เชื้อไวรัส โรคติดเชื้อไวรัส (Viral infection)
- ไข้หวัดหมู (Swine influenza)
- เมอร์ส: โรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (MERS: Middle east respiratory syndrome)
- โรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส (Coronavirus infection)
บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
โรคหวัด ในที่นี้ หมายถึง โรคไข้หวัดธรรมดา (Common cold) ไม่ใช่โรคไข้หวัดใหญ่ หรือ ฟลู (Influenza หรือ Flu) โดยโรคหวัดเป็นโรคพบบ่อยมาก ทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก โดยเฉพาะเด็กในปฐมวัย(นิยามคำว่าเด็ก)ซึ่งมักพบเป็นโรคหวัดได้บ่อยถึงปีละประมาณ 6-8 ครั้ง เพราะเด็กมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำกว่าผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเด็กอนุบาล จึงมีโอกาสเป็นหวัดได้บ่อยกว่าผู้ใหญ่มาก โรคหวัดเป็นโรคพบตลอดปี แต่พบบ่อยขึ้นในหน้าฝนและหน้าหนาว
ทั้งนี้ ทางการแพทย์จัดโรคหวัดอยู่ในกลุ่ม’โรคติดต่อ และโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ’ โดยเป็น‘โรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน’
อนึ่ง แนะนำ อ่านบทความเพิ่มเติมเรื่อง ‘เรื่องโรคหวัดในเด็ก’ จากเว็บ haamor.com
โรคหวัดเกิดได้อย่างไร?
โรคหวัด เกิดจากร่างกายติดเชื้อไวรัสชนิดที่ทำให้เกิดการอักเสบของอวัยวะระบบทางเดินหายใจ ซึ่งไวรัสโรคหวัดมีหลากหลายชนิด แต่กลุ่มใหญ่คือกลุ่ม ไรโนไวรัส (Rhinoviruses) และ โคโรนาไวรัส(Coronaviruses: โรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส)
โรคหวัดมีอาการอย่างไร?
โดยทั่วไป โรคหวัดมีอาการไม่รุนแรง เช่น
- มีไข้ได้ แต่เป็นไข้ไม่สูง มักไม่เกิน 38 องศาเซลเซียส/Celsius/C
- อาจปวดหัว แต่ไม่มาก
- ปวดเมื่อยตัว
- มีแสบตา อาจมีน้ำตไหล
- มีคัดจมูก จาม ไอไม่มาก มีน้ำมูกใส
- อาจเสียงแหบ
- อ่อนเพลีย แต่ไม่มาก
- บางครั้งอาจมีอาการ เจ็บคอ, ปวดท้อง, อาเจียน, หรือ ท้องเสียได้บ้าง
โดย อาการของโรคหวัด แตกต่างกันได้มากในแต่ละครั้งของการเป็นหวัด แต่โดยทั่วไปเป็นอาการไม่มาก มักหายได้เองจากการดูแลตนเอง
โรคหวัดรุนแรงไหม? มีโรคแทรกซ้อนได้ไหม?
ความรุนแรงของโรคหวัดหรือการพยากรณ์โรคของโรคหวัด ขึ้นกับว่า เป็นการติดเชื้อไวรัสชนิดใด, แต่โดยทั่วไปมักไม่รุนแรง หายได้เองภายในระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ด้วยการดูแลตนเองตามอาการ
แต่ในผู้มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ เช่น เด็กเล็ก, ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย, หรือโรคหืด อาจมีโรคแทรกซ้อนจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ส่งผลให้เกิดการอักเสบของไซนัส (ไซนัสอักเสบ) หรือ ของหูชั้นกลาง (หูน้ำหนวก) หรือ ปอดบวมได้
*ดังนั้น ถ้าอาการน้ำมูกไม่ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ หรือ น้ำมูกเปลี่ยนเป็นสีเหลือง หรือ สีเขียว หรือ มีอาการปวดหู หรือ หายใจหอบเหนื่อย หายใจแรง ไข้กลับมาสูง ไอมาก เสมหะมาก ควรรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาล
โรคหวัดติดต่อได้ไหม? โรคหวัดติดต่ออย่างไร?
โรคหวัดเป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจ ซึ่งเชื้อเข้าสู่ร่างกายและทางเดินหายใจโดย
- หายใจเอาเชื้อหวัดที่อยู่ในอากาศจากละอองฝอยจากการ ไอ จาม น้ำมูก น้ำลายของคนเป็นโรคหวัด
- หรือจากมือสัมผัสเชื้อไวรัสโรคหวัดจากสิ่งต่างๆที่จับต้องได้ เช่น การเล่นกับคนเป็นหวัด โทรศัพท์ ราวบันได ปุ่มกดลิฟต์ และ ของเล่นต่างๆ และมือที่ติดเชื้อนี้สัมผัสกับช่องปาก เนื้อเยื่อจมูก และเนื้อเยื่อตา ซึ่งเป็นอีกช่องทางที่เชื้อนี้เข้าสู่ร่างกายและทางเดินหายใจ
แพทย์วินิจฉัยโรคหวัดได้อย่างไร?
โดยทั่วไป แพทย์วินิจฉัยโรคหวัดได้จาก
- อาการผู้ป่วย ประวัติการระบาดของโรค ฤดูกาล
- การตรวจร่างกายทั่วไป, การตรวจดูในลำคอ, อาจร่วมกับการตรวจคลำต่อมน้ำเหลืองที่คอ
- แต่ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง เช่น ไข้สูง แพทย์อาจ
- ตรวจเลือด ซีบีซี (CBC) เพื่อแยกว่าเป็นโรคติดเชื้อไวรัสหรือติดเชื้อแบคทีเรีย และ
- อาจมีการตรวจอื่นๆเพื่อการสืบค้นเพิ่มเติมตามดุลพินิจของแพทย์ เช่น ตรวจเลือดดูค่าเกล็ดเลือดเพื่อแยกจากโรคไข้เลือดออก เป็นต้น
โรคหวัดรักษาอย่างไร?
แนวทางการรักษาโรคหวัด คือ ดูแลรักษาประคับประคองตามอาการ(การรักษาตามอาการ) ไม่จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะ เนื่องจากเกิดจากเชื้อไวรัส ไม่ใช่จากเชื้อแบคทีเรีย (ทั้งนี้เพราะยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อไวรัสไม่ได้) เช่น การพักผ่อน, กินยาลดไข้, ดื่มน้ำสะอาดให้พอเพียง,
ดูแลตนเองอย่างไรเมื่อเป็นหวัด? และควรพบแพทย์เมื่อใด?
การดูแลตนเองและการพบแพทย์เมื่อเป็นหวัด ได้แก่
- พักผ่อนให้เพียงพอ และรักษาร่างกายให้อบอุ่น
- กินยาพาราเซตามอล (ยาลดไข้ ยาแก้ปวด) ไม่ควรใช้ยาแอสไพรินเพราะอาจเกิดผลข้างเคียงแทรกซ้อนจากยาแอสไพรินได้ (การแพ้ยาแอสไพริน-กลุ่มอาการราย)
- บ้วนปากด้วยน้ำเกลือบ่อยๆ (เมื่อทำเอง อย่าให้เค็มมาก) และทุกครั้งหลังกินอาหารและดื่มเครื่องดื่ม
- กินยาลดน้ำมูก/ยาแก้แพ้ และ/หรือ ยาแก้ไอ (ปรึกษาเภสัชกรก่อนซื้อยากินเอง)
- ดื่มน้ำสะอาดให้ได้อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม
- งดบุหรี่, หลีกเลี่ยงควันบุหรี่, งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- รู้จักใช้หน้ากากอนามัย
- รีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาล เมื่อ
- มีไข้สูง และไข้ไม่ลงใน 1-3 วัน ทั้งนี้ขึ้นกับสุขภาพดั้งเดิม
- มีไข้ร่วมกับขึ้นผื่น
- ไอมาก
- มีเสมหะสีเหลือง หรือ เขียว
- เจ็บคอมาก และ/หรือ กินอาหารได้น้อย
- ปวดหัว
- เจ็บตำแหน่งไซนัสมากขึ้น
- หายใจเหนื่อย หอบ หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก
- เสียงแหบไม่ดีขึ้นหลังหวัดหายแล้ว เพราะเป็นอาการของโรคสายเสียง อาจจากโรคมะเร็งกล่องเสียงได้(เมื่อเป็นผู้ใหญ่ หรือ ผู้สูงอายุ)
- ปวดหู, มีน้ำ/ของเหลวออกจากหู (หูติดเชื้อ)
- เมื่ออาการต่างๆเลวลง หรือมีอาการต่างๆเพิ่มมากขึ้น หรืออาการไม่ดีขึ้นภายใน1สัปดาห์
- มีความกังวลในอาการ
ป้องกันโรคหวัดได้อย่างไร?
ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคหวัดธรรมดา มีแต่วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ดังนั้นการป้องกันโรคหวัดธรรมดาที่สำคัญ คือ
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน/ สุขบัญญัติแห่งชาติ เสมอทุกวัน เพื่อให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง
- กินอาหารมีประโยชน์ห้าหมู่ทุกวัน โดยเพิ่ม ผัก และผลไม้ให้มากๆ เพื่อให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง
- ดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละอย่างน้อย 6-8 แก้วเมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม
- ล้างมือให้สะอาดบ่อยๆ และทุกครั้งก่อนกินอาหาร และ หลังเข้าห้องน้ำ
- กินร้อน ใช้ช้อน แก้วน้ำเฉพาะตนเอง
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- หลีกเลี่ยงการเล่น การสัมผัสกับเด็ก/คนที่เป็นหวัด
- ไม่ไปในที่แออัด เช่น ศูนย์การค้า ในช่วงที่มีการเป็นโรคหวัดกันมาก
- รู้จักใช้หน้ากากอนามัย
โรคหวัดต่างจากโรคไข้หวัดใหญ่ไหม?
โรคหวัดและโรคไข้หวัดใหญ่ เป็นคนละโรค แต่มีวิธีติดต่อ อาการ วิธีวินิจฉัย และแนวทางการรักษาในระยะแรกเหมือนกัน ที่แตกต่าง คือ
- เกิดจากติดเชื้อไวรัสคนละชนิด
- อาการโรคหวัดรุนแรงน้อยกว่าจากไข้หวัดใหญ่มาก และอาการมักค่อยเป็นค่อยไป แต่ไข้หวัดใหญ่อาการรุนแรงทันทีภายใน 1 วัน
- โรคหวัด ไม่ค่อยเกิดโรคแทรกซ้อน แต่เมื่อเกิดมักเป็นโรคแทรกซ้อนที่ไม่รุนแรง แต่ไข้หวัดใหญ่มักเกิดโรคข้างเคียงแทรกซ้อนได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง/กลุ่มคนมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ (เด็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน)
- โรคหวัดไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยยาต้านไวรัส แต่ในไข้หวัดใหญ่ที่มีอาการรุนแรง แพทย์อาจรักษาด้วยยาต้านไวรัสตั้งแต่แรก
- ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคหวัด แต่โรคไข้หวัดใหญ่มีวัคซีนป้องกัน (ปรึกษาแพทย์เรื่องการรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่เมื่อเป็นกลุ่มเสี่ยง)
บรรณานุกรม
1. Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, D., Hausen, S., Longo, D., and Jamesson, J.(2001). Harrrison’s:Principles of internal medicine. New York. McGraw-Hill.
2. Cold and flu. http://familydoctor.org/online/famdocen/home/common/infections/cold-flu/073.printerview.html[2020,June6]
3. Common cold. http://en.wikipedia.org/wiki/Common_cold [2020,June6]