โรคหวัด (Common cold)

สารบัญ บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?

โรคหวัด ในที่นี้ หมายถึง โรคไข้หวัดธรรมดา (Common cold) ไม่ใช่โรคไข้หวัดใหญ่ หรือ ฟลู (Influenza หรือ Flu) โดยโรคหวัดเป็นโรคพบบ่อยมาก ทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก โดยเฉพาะเด็กในปฐมวัย(นิยามคำว่าเด็ก)ซึ่งมักพบเป็นโรคหวัดได้บ่อยถึงปีละประมาณ 6-8 ครั้ง เพราะเด็กมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำกว่าผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเด็กอนุบาล จึงมีโอกาสเป็นหวัดได้บ่อยกว่าผู้ใหญ่มาก โรคหวัดเป็นโรคพบตลอดปี แต่พบบ่อยขึ้นในหน้าฝนและหน้าหนาว

ทั้งนี้ ทางการแพทย์จัดโรคหวัดอยู่ในกลุ่ม’โรคติดต่อ และโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ’ โดยเป็น‘โรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน’

อนึ่ง แนะนำ อ่านบทความเพิ่มเติมเรื่อง ‘เรื่องโรคหวัดในเด็ก’ จากเว็บ haamor.com

โรคหวัดเกิดได้อย่างไร?

โรคหวัด เกิดจากร่างกายติดเชื้อไวรัสชนิดที่ทำให้เกิดการอักเสบของอวัยวะระบบทางเดินหายใจ ซึ่งไวรัสโรคหวัดมีหลากหลายชนิด แต่กลุ่มใหญ่คือกลุ่ม ไรโนไวรัส (Rhinoviruses) และ โคโรนาไวรัส(Coronaviruses: โรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส)

โรคหวัดมีอาการอย่างไร?

โดยทั่วไป โรคหวัดมีอาการไม่รุนแรง เช่น

  • มีไข้ได้ แต่เป็นไข้ไม่สูง มักไม่เกิน 38 องศาเซลเซียส/Celsius/C
  • อาจปวดหัว แต่ไม่มาก
  • ปวดเมื่อยตัว
  • มีแสบตา อาจมีน้ำตไหล
  • มีคัดจมูก จาม ไอไม่มาก มีน้ำมูกใส
  • อาจเสียงแหบ
  • อ่อนเพลีย แต่ไม่มาก
  • บางครั้งอาจมีอาการ เจ็บคอ, ปวดท้อง, อาเจียน, หรือ ท้องเสียได้บ้าง

โดย อาการของโรคหวัด แตกต่างกันได้มากในแต่ละครั้งของการเป็นหวัด แต่โดยทั่วไปเป็นอาการไม่มาก มักหายได้เองจากการดูแลตนเอง

โรคหวัดรุนแรงไหม? มีโรคแทรกซ้อนได้ไหม?

ความรุนแรงของโรคหวัดหรือการพยากรณ์โรคของโรคหวัด ขึ้นกับว่า เป็นการติดเชื้อไวรัสชนิดใด, แต่โดยทั่วไปมักไม่รุนแรง หายได้เองภายในระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ด้วยการดูแลตนเองตามอาการ

แต่ในผู้มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ เช่น เด็กเล็ก, ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย, หรือโรคหืด อาจมีโรคแทรกซ้อนจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ส่งผลให้เกิดการอักเสบของไซนัส (ไซนัสอักเสบ) หรือ ของหูชั้นกลาง (หูน้ำหนวก) หรือ ปอดบวมได้

*ดังนั้น ถ้าอาการน้ำมูกไม่ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ หรือ น้ำมูกเปลี่ยนเป็นสีเหลือง หรือ สีเขียว หรือ มีอาการปวดหู หรือ หายใจหอบเหนื่อย หายใจแรง ไข้กลับมาสูง ไอมาก เสมหะมาก ควรรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาล

โรคหวัดติดต่อได้ไหม? โรคหวัดติดต่ออย่างไร?

โรคหวัดเป็นโรคติดต่อทางเดินหายใจ ซึ่งเชื้อเข้าสู่ร่างกายและทางเดินหายใจโดย

  • หายใจเอาเชื้อหวัดที่อยู่ในอากาศจากละอองฝอยจากการ ไอ จาม น้ำมูก น้ำลายของคนเป็นโรคหวัด
  • หรือจากมือสัมผัสเชื้อไวรัสโรคหวัดจากสิ่งต่างๆที่จับต้องได้ เช่น การเล่นกับคนเป็นหวัด โทรศัพท์ ราวบันได ปุ่มกดลิฟต์ และ ของเล่นต่างๆ และมือที่ติดเชื้อนี้สัมผัสกับช่องปาก เนื้อเยื่อจมูก และเนื้อเยื่อตา ซึ่งเป็นอีกช่องทางที่เชื้อนี้เข้าสู่ร่างกายและทางเดินหายใจ

แพทย์วินิจฉัยโรคหวัดได้อย่างไร?

โดยทั่วไป แพทย์วินิจฉัยโรคหวัดได้จาก

  • อาการผู้ป่วย ประวัติการระบาดของโรค ฤดูกาล
  • การตรวจร่างกายทั่วไป, การตรวจดูในลำคอ, อาจร่วมกับการตรวจคลำต่อมน้ำเหลืองที่คอ
  • แต่ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง เช่น ไข้สูง แพทย์อาจ
    • ตรวจเลือด ซีบีซี (CBC) เพื่อแยกว่าเป็นโรคติดเชื้อไวรัสหรือติดเชื้อแบคทีเรีย และ
    • อาจมีการตรวจอื่นๆเพื่อการสืบค้นเพิ่มเติมตามดุลพินิจของแพทย์ เช่น ตรวจเลือดดูค่าเกล็ดเลือดเพื่อแยกจากโรคไข้เลือดออก เป็นต้น

โรคหวัดรักษาอย่างไร?

แนวทางการรักษาโรคหวัด คือ ดูแลรักษาประคับประคองตามอาการ(การรักษาตามอาการ) ไม่จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะ เนื่องจากเกิดจากเชื้อไวรัส ไม่ใช่จากเชื้อแบคทีเรีย (ทั้งนี้เพราะยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อไวรัสไม่ได้) เช่น การพักผ่อน, กินยาลดไข้, ดื่มน้ำสะอาดให้พอเพียง,

ดูแลตนเองอย่างไรเมื่อเป็นหวัด? และควรพบแพทย์เมื่อใด?

การดูแลตนเองและการพบแพทย์เมื่อเป็นหวัด ได้แก่

  • พักผ่อนให้เพียงพอ และรักษาร่างกายให้อบอุ่น
  • กินยาพาราเซตามอล (ยาลดไข้ ยาแก้ปวด) ไม่ควรใช้ยาแอสไพรินเพราะอาจเกิดผลข้างเคียงแทรกซ้อนจากยาแอสไพรินได้ (การแพ้ยาแอสไพริน-กลุ่มอาการราย)
  • บ้วนปากด้วยน้ำเกลือบ่อยๆ (เมื่อทำเอง อย่าให้เค็มมาก) และทุกครั้งหลังกินอาหารและดื่มเครื่องดื่ม
  • กินยาลดน้ำมูก/ยาแก้แพ้ และ/หรือ ยาแก้ไอ (ปรึกษาเภสัชกรก่อนซื้อยากินเอง)
  • ดื่มน้ำสะอาดให้ได้อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม
  • งดบุหรี่, หลีกเลี่ยงควันบุหรี่, งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • รู้จักใช้หน้ากากอนามัย
  • รีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาล เมื่อ
    • มีไข้สูง และไข้ไม่ลงใน 1-3 วัน ทั้งนี้ขึ้นกับสุขภาพดั้งเดิม
    • มีไข้ร่วมกับขึ้นผื่น
    • ไอมาก
    • มีเสมหะสีเหลือง หรือ เขียว
    • เจ็บคอมาก และ/หรือ กินอาหารได้น้อย
    • ปวดหัว
    • เจ็บตำแหน่งไซนัสมากขึ้น
    • หายใจเหนื่อย หอบ หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก
    • เสียงแหบไม่ดีขึ้นหลังหวัดหายแล้ว เพราะเป็นอาการของโรคสายเสียง อาจจากโรคมะเร็งกล่องเสียงได้(เมื่อเป็นผู้ใหญ่ หรือ ผู้สูงอายุ)
    • ปวดหู, มีน้ำ/ของเหลวออกจากหู (หูติดเชื้อ)
    • เมื่ออาการต่างๆเลวลง หรือมีอาการต่างๆเพิ่มมากขึ้น หรืออาการไม่ดีขึ้นภายใน1สัปดาห์
    • มีความกังวลในอาการ

ป้องกันโรคหวัดได้อย่างไร?

ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคหวัดธรรมดา มีแต่วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ดังนั้นการป้องกันโรคหวัดธรรมดาที่สำคัญ คือ

  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน/ สุขบัญญัติแห่งชาติ เสมอทุกวัน เพื่อให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง
  • กินอาหารมีประโยชน์ห้าหมู่ทุกวัน โดยเพิ่ม ผัก และผลไม้ให้มากๆ เพื่อให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง
  • ดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละอย่างน้อย 6-8 แก้วเมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม
  • ล้างมือให้สะอาดบ่อยๆ และทุกครั้งก่อนกินอาหาร และ หลังเข้าห้องน้ำ
  • กินร้อน ใช้ช้อน แก้วน้ำเฉพาะตนเอง
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • หลีกเลี่ยงการเล่น การสัมผัสกับเด็ก/คนที่เป็นหวัด
  • ไม่ไปในที่แออัด เช่น ศูนย์การค้า ในช่วงที่มีการเป็นโรคหวัดกันมาก
  • รู้จักใช้หน้ากากอนามัย

โรคหวัดต่างจากโรคไข้หวัดใหญ่ไหม?

โรคหวัดและโรคไข้หวัดใหญ่ เป็นคนละโรค แต่มีวิธีติดต่อ อาการ วิธีวินิจฉัย และแนวทางการรักษาในระยะแรกเหมือนกัน ที่แตกต่าง คือ

  • เกิดจากติดเชื้อไวรัสคนละชนิด
  • อาการโรคหวัดรุนแรงน้อยกว่าจากไข้หวัดใหญ่มาก และอาการมักค่อยเป็นค่อยไป แต่ไข้หวัดใหญ่อาการรุนแรงทันทีภายใน 1 วัน
  • โรคหวัด ไม่ค่อยเกิดโรคแทรกซ้อน แต่เมื่อเกิดมักเป็นโรคแทรกซ้อนที่ไม่รุนแรง แต่ไข้หวัดใหญ่มักเกิดโรคข้างเคียงแทรกซ้อนได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง/กลุ่มคนมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ (เด็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน)
  • โรคหวัดไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยยาต้านไวรัส แต่ในไข้หวัดใหญ่ที่มีอาการรุนแรง แพทย์อาจรักษาด้วยยาต้านไวรัสตั้งแต่แรก
  • ยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคหวัด แต่โรคไข้หวัดใหญ่มีวัคซีนป้องกัน (ปรึกษาแพทย์เรื่องการรับวัคซีนไข้หวัดใหญ่เมื่อเป็นกลุ่มเสี่ยง)

บรรณานุกรม

1. Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, D., Hausen, S., Longo, D., and Jamesson, J.(2001). Harrrison’s:Principles of internal medicine. New York. McGraw-Hill.
2. Cold and flu. http://familydoctor.org/online/famdocen/home/common/infections/cold-flu/073.printerview.html[2020,June6]
3. Common cold. http://en.wikipedia.org/wiki/Common_cold [2020,June6]