วิตามินเอ (Vitamin A)
- โดย เภสัชกร อภัย ราษฎรวิจิตร
- 4 กุมภาพันธ์ 2566
- Tweet
สารบัญ
- บทนำ: คือยาอะไร?
- วิตามินเอมีสรรพคุณ (คุณสมบัติ) รักษาโรคอะไร?
- วิตามินเอมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?
- วิตามินเอมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?
- วิตามินเอมีขนาดการบริหารยาอย่างไร?
- วิตามินเอมีขนาดการบริหารยาอย่างไร?
- เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?
- หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร?
- วิตามินเอมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?
- มีข้อควรระวังการใช้วิตามินเออย่างไร?
- วิตามินเอมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?
- ควรเก็บรักษาวิตามินเออย่างไร?
- วิตามินเอมีชื่ออื่นอีกไหม? ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด
- วิตามินรวม มัลติวิตามิน เอ็มทีวี (Multivitamin: MTV)
- กระจกตาอักเสบ (Keratitis) กระจกตาเป็นแผล (Corneal ulcer)
- ตาบอดกลางคืน (Night blindness)
- ตาแห้ง (Dry eye)
- ตับอักเสบ โรคพิษต่อตับ (Toxic hepatitis หรือ Hepatotoxicity)
- ตับอ่อนอักเสบ (Pancreatitis)
- ภาวะขาดวิตามิน เอ (Vitamin A deficiency)
บทนำ: คือยาอะไร?
วิตามินเอ (Vitamin A) คือ วิตามินที่ละลายได้ดีในไขมัน เป็นสารอาหารสำคัญในการบำรุงสายตา, ช่วยการเจริญของเซลล์, และสร้างภูมิคุ้มกันโรค, มนุษย์จะได้รับวิตามินนี้จากอาหารประเภท นม ตับ ชีส (Cheese/เนยแข็ง) ไข่ แครอด ผักใบเขียว และผักใบเหลือง รวมถึงผลไม้ต่างๆโดยเฉพาะที่มีสีเหลือง/แสด/ส้ม
วิตามินเอ เป็นกลุ่มของสารประกอบอินทรีย์ (Organic compounds) ที่รวมถึงสารต่างๆหลายชนิด เข่น Retinol, Retinal, Retinoic acid, Provitamin A, Carotenoids และ Beta-carotene
หน้าที่สำคัญของวิตามินเอที่มีต่อร่างกายมนุษย์ เช่น
- ช่วยให้การมองเห็นเป็นไปอย่างปกติ
- สนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกาย
- เป็นปัจจัยสนับสนุนให้เซลล์มีการเจริญเติบโต
- จำเป็นต่อกระบวนการลอกรหัสพันธุกรรมในร่างกาย
- ทำให้ผิวหนังแข็งแรง
อนึ่ง: สำหรับอาการของผู้ที่ขาดวิตามินเอ(ภาวะขาดวิตามินเอ)อาจแสดงออกมาในลักษณะต่างๆดังนี้ เช่น
- เกิดภาวะตาบอดกลางคืนหรือการปรับสภาพสายตาในที่มืดไม่ดีเหมือนปกติ
- มีภาวะตาแห้ง เกิดการหนาตัวของเยื่อตาและของกระจกตาที่ส่งผลต่อการมองเห็น
- เกิดภาวะกระจกตาเป็นแผล/ กระจกตาอักเสบ
- เกิดการหลุดร่อนของผิวหนัง
- หากเป็นเด็กการขาดวิตามินเอจะทำให้เจริญเติบโตช้าและเกิดภาวะติดเชื้อได้ง่าย
ทั้งนี้สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการขาดวิตามินเอของร่างกายส่วนมากจะมาจากการบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสมนั่นเอง
ในทางตรงกันข้าม หากร่างกายได้รับวิตามินเอมากเกินไปจะก่อให้เกิดพิษแบบเฉียบพลันและอาจมีอาการดังนี้ เช่น ปวดหัว มีความดันในกะโหลกศีรษะสูง อาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร มีผื่นคัน ง่วงนอน ปวดท้อง บางกรณีอาจพบอาการลอกของผิวหนัง หากเกิดพิษในสตรีที่กำลังตั้งครรภ์จะส่งผลต่อทารกและทำให้วิกลรูป/พิการแต่กำเนิดได้
ขั้นตอนการบำบัดพิษจากวิตามินเอต้องให้ผู้ป่วยหยุดการใช้วิตามินเอเป็นประการแรก จาก นั้นแพทย์จะรักษาตามอาการที่เกิดขึ้น
สำหรับยาแผนปัจจุบันของยาวิตามินเอจะมีทั้งยาชนิดรับประทานและยาฉีด การเลือกใช้ยาวิตามินเอไม่ว่าจะรูปแบบใดควรต้องเป็นไปตามดุลยพินิจของแพทย์แต่เพียงผู้เดียว และผู้บริโภคสามารถพบเห็นการใช้วิตามินเอได้ตามสถานพยาบาลทั่วไป
วิตามินเอมีสรรพคุณ (คุณสมบัติ) รักษาโรคอะไร?
วิตามินเอมีสรรพคุณ/ข้อบ่งใช้: เช่น
- บำบัดอาการจากภาวะขาดวิตามินเอของร่างกาย
- รักษาอาการตาแห้ง
วิตามินเอมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?
กลไกการออกฤทธิ์ของวิตามินเอ คือ จะทำให้เซลล์ทำหน้าที่ต่างๆในร่างกายได้อย่างสมดุลและเหมาะสม โดยช่วยให้การทำงานของตาให้เป็นปกติ รวมถึงช่วยในกระบวนการลอกรหัสพันธุกรรมของร่างกายซึ่งเกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของเซลล์ กระบวนการซ่อมแซมของผิวหนัง, วิตามินเอยังแสดงบทบาทเป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้อย่างเหมาะสม, จากหน้าที่ดังกล่าวมาทั้งหมดส่ง ผลให้ทางคลินิกนำมาใช้รักษาอาการขาดวิตามินเอได้เป็นอย่างดี
วิตามินเอมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?
ยาวิตามินเอมีรูปแบบการจัดจำหน่าย:
- ยาแคปซูลชนิดรับประทาน ขนาด 8,000; 10,000; และ 25,000 ยูนิตสากล/แคปซูล
- ยาเม็ดชนิดรับประทาน ขนาด 5,000; 10,000; 15,000 ยูนิตสากล/เม็ด
- ยาฉีดขนาด 50,000 ยูนิตสากล/2 มิลลิลิตร
วิตามินเอมีขนาดการบริหารยาอย่างไร?
การใช้วิตามินเอรักษาอาการป่วยมีทั้งแบบรับประทานหรือแบบฉีดเข้าร่างกาย ในทางปฏิบัติสามารถใช้ยา/บริหารยาได้ทั้งสองแบบควบคู่กันไป ทั้งนี้ขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษา ในบทความนี้ขอยกตัวอย่างเฉพาะการใช้ยาวิตามินเอสำหรับบำบัดอาการขาดวิตามินเอ เช่น
- ผู้ใหญ่: เช่น
- รับประทาน 100,000 ยูนิต/วันเป็นเวลา 3 วัน, จากนั้นแพทย์จะปรับลดขนาดรับประทานลงมาเป็น 50,000 ยูนิต/วันเป็นเวลา 2 สัปดาห์, และแพทย์จะปรับขนาดรับประทานครั้งสุดท้ายเป็น 10,000 - 20,000 ยูนิต/วันเป็นเวลา 2 เดือน
- หรือ ฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ 100,000 ยูนิต /วันเป็นเวลา 3 วัน, จากนั้นแพทย์จะปรับลดขนาดการฉีดเหลือ 50,000 ยูนิต/วันเป็นเวลา 2 สัปดาห์ แล้วเปลี่ยนมารับประทาน 10,000 - 20,000 ยูนิต/วันเป็นเวลา 2 เดือน
- เด็กอายุมากกว่า 8 ปีขึ้นไป: เช่น
- รับประทาน 100,000 ยูนิต/วันเป็นเวลา 3 วัน, จากนั้นแพทย์จะปรับลดขนาดรับประทานลงมาเป็น 50,000 ยูนิต/วันเป็นเวลา 2 สัปดาห์, และปรับขนาดรับประทานครั้งสุดท้ายเป็น 10,000 - 20,000 ยูนิต/วันเป็นเวลา 2 เดือน
- หรือ ฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ 100,000 ยูนิต/วันเป็นเวลา 3 วัน จากนั้นปรับลดขนาดการฉีดเหลือ 50,000 ยูนิต/วันเป็นเวลา 2 สัปดาห์ แล้วเปลี่ยนมารับประทาน 10,000 - 20,000 ยูนิต/วันเป็นเวลา 2 เดือน
- เด็กอายุ 1 - 8 ปี: เช่น ฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ 17,500 - 35,000 ยูนิต/วันเป็นเวลา 10 วัน, จาก นั้นแพทย์ปรับเป็นรับประทานยาขนาด 5,000 - 10,000 ยูนิต/วันเป็นเวลา 2 เดือน
- เด็กที่อายุน้อยกว่า 1 ปี: เช่น ฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ 7,500 - 15,000 ยูนิต/วันเป็นเวลา 10 วัน, จากนั้นแพทย์ปรับเป็นรับประทานยาขนาด 5,000 - 10,000 ยูนิต/วันเป็นเวลา 2 เดือน
*****หมายเหตุ: ขนาดยาและระยะเวลาในการใช้ยาที่ระบุในบทความนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำสั่งใช้ยาของแพทย์ได้ การใช้ยาที่เหมาะสมควรต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?
เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมถึงยาวิตามินเอ ผู้ป่วยควรแจ้ง แพทย์ พยาบาล และเภสัชกร เช่น
- ประวัติแพ้ยาทุกชนิด เช่น กินยา/ใช้ยาแล้วคลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือแน่นหายใจติดขัด/หายใจลำบาก/หอบเหนื่อย
- มีโรคประจำตัวต่างๆ รวมทั้งกำลังกินยา/ใช้ยา หรืออาหารเสริมอะไรอยู่ เพราะยาวิตามินเออาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรืออาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆและ/หรือกับอาหารเสริมที่กิน/ที่ใช้อยู่ก่อน
- หากเป็นสุภาพสตรีควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์/มีครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร เพราะยาหลายประเภทสามารถผ่านทางน้ำนมหรือรก และเข้าสู่ทารกจนก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้
หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร?
หากลืมรับประทานยาวิตามินเอสามารถรับประทานเมื่อนึกขึ้นได้ ถ้าเวลาใกล้เคียงกับการรับประทานยาในมื้อถัดไป ไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่า
อย่างไรก็ตาม เพื่อประสิทธิผลของการรักษาควรรับประทานยาวิตามินเอให้ตรงเวลา
วิตามินเอมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?
ยาวิตามินเอสามารถก่อให้เกิดผล/ อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา (ผลข้างเคียง/อาการข้างเคียง) เช่น
- มีภาวะเลือดออกง่าย เช่น เลือดออกจากเหงือก
- รู้สึกสับสน
- วิงเวียน
- ง่วงนอน
- ปวดหัว
- อาเจียน
- ท้องเสีย
- ผิวหนังลอก
- อาจพบอาการปวดข้อและปวดกระดูก
- บางกรณีจะพบอาการชัก
- ผิวแห้ง
- ปากคอแห้ง
- มีไข้
- อ่อนเพลีย มี
- อาการผิวแพ้แสงแดด
- ปัสสาวะบ่อย
- เบื่ออาหาร
- ผมร่วง
- เท้า-มือ-ผิวหนัง-จมูกมีสีออกเหลืองส้ม
มีข้อควรระวังการใช้วิตามินเออย่างไร?
มีข้อควรระวังการใช้ยาวิตามินเอ เช่น
- ห้ามใช้ในผู้แพ้ยานี้ หรือแพ้องค์ประกอบในสูตรตำรับของยาวิตามินเอ
- ห้ามใช้วิตามินเอชนิดฉีด ฉีดเข้าหลอดเลือดแต่ให้ใช้โดยฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
- ห้ามใช้ยานี้นานเกินกว่าที่แพทย์กำหนด
- ห้ามปรับขนาดรับประทานเพิ่มด้วยตนเอง
- ห้ามใช้ยาวิตามินเอกับสตรีตั้งครรภ์ ด้วยวิตามินเอสามารถทำให้ทารกวิกลรูป/พิการแต่กำเนิดได้
- การใช้ยานี้กับสตรีที่อยู่ในภาวะให้นมบุตรจะต้องเป็นไปตามคำสั่งแพทย์เท่านั้นด้วย วิตามินเอสามารถผ่านไปกับน้ำนมมารดาและเข้าถึงทารกได้
- ห้ามแบ่งยาให้ผู้อื่นใช้
- ห้ามใช้ยาหมดอายุ
- ห้ามเก็บยาหมดอายุ
***** อนึ่ง: ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา” ที่รวมถึงยาแผนปัจจุบันทุกชนิด (รวมวิตามินเอด้วย) ยาแผนโบราณ อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ทุกชนิด และสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกครั้งควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ (อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอด้วยเช่นกัน
วิตามินเอมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?
ยาวิตามินเอมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่น เช่น
- ห้ามใช้วิตามินเอ ร่วมกับยา Doxycycline และ Tetracycline ด้วยอาจเกิดภาวะความดันในกระโหลกศีรษะสูง บางกรณีอาจทำให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร
- ห้ามใช้วิตามินเอ ร่วมกับยา Isotretinoin และ Tretinoin ด้วยจะเสี่ยงกับภาวะมีวิตามินเอสูงเกินในเลือด (Hypervitaminosis A) โดยจะมีอาการมองไม่เห็น ความดันในกะโหลกศีรษะสูง มีภาวะไขมันในเลือดสูง มีอาการอักเสบของตับ/ตับอักเสบ และตับอ่อนอักเสบ เป็นต้น
- การใช้วิตามินเอ ร่วมกับยา Bexarotene อาจนำมาซึ่งอาการข้างเคียง/ผลข้างเคียงของวิตามินเอต่างๆ เช่น ปวดท้อง เบื่ออาหาร อาเจียน ผิวแห้ง-แตก ผมร่วง ผิวเป็นสีเหลือง หากจำเป็นต้องใช้ยาร่วมกัน แพทย์จะปรับขนาดรับประทานให้เหมาะสมเป็นกรณีไป
ควรเก็บรักษาวิตามินเออย่างไร?
ควรเก็บยาวิตามินเอ:
- เก็บยาภายใต้อุณหภูมิห้องที่เย็น
- ไม่เก็บยาในช่องแช่แข็งของตู้เย็น
- เก็บยาในภาชนะที่ปิดมิดชิด พ้นแสง/แสงแดด ความร้อน และความชื้น
- เก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
- ไม่เก็บยาในห้องน้ำหรือในรถยนต์
วิตามินเอมีชื่ออื่นอีกไหม? ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?
ยาวิตามินเอ ยาชื่อการค้าอื่น และบริษัทผู้ผลิต เช่น
ชื่อการค้า | บริษัทผู้ผลิต |
---|---|
Aquasol A (อะควอโซล) | BIO-TECH |
Hospira A-25 (เอ-25) | |
RATINOL Forte (แรทินอล ฟอร์ท) | Drug International Ltd. |
OVIT-A (โอวิท-เอ) | Opsonin Pharma Limited |
VIS-A SG (วิส-เอ เอสจี) | Pacific Pharmaceuticals Ltd. |
บรรณานุกรม
- https://en.wikipedia.org/wiki/Vitamin_A [2023,Feb4]
- https://www.drugs.com/mtm/vitamin-a.html [2023,Feb4]
- https://www.news-medical.net/health/Vitamin-A-Functions.aspx [2023,Feb4]
- https://www.merckmanuals.com/professional/nutritional-disorders/vitamin-deficiency-dependency-and-toxicity/vitamin-a-deficiency?redirectid=3248?ruleredirectid=30&redirectid=1136?ruleredirectid=30 [2023,Feb4]
- https://www.drugs.com/monograph/vitamin-a.html [2023,Feb4]
- https://www.drugs.com/drug-interactions/vitamin-a-index.html?filter=3&generic_only= [2023,Feb4]
- https://www.medindia.net/drug-price/retinol-vitamin-a.htm [2023,Feb4]