การคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติ (Natural birth control)
- โดย รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิง ประนอม บุพศิริ
- 8 เมษายน 2566
- Tweet
สารบัญ
- การคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติคืออะไร?
- การคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติมีวิธีใดบ้าง?
- ประสิทธิภาพของการคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติเป็นอย่างไรบ้าง?
- อะไรปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จของการคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติ?
- ข้อดีของการคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติมีอะไรบ้าง?
- ข้อด้อยการคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติมีอะไรบ้าง?
- สตรีใดบ้างที่เหมาะกับการคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติ?
- สตรีใดบ้างที่ไม่เหมาะกับการคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติ?
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- ประจำเดือน (Menstruation)
- การคุมกำเนิด (Contraception)
- ยาเม็ดคุมกำเนิด (Birth control pill)
- ถุงยางอนามัยชาย (Male Condom)
- การวางแผนครอบครัว (Family planning)
- การสวนล้างช่องคลอด (Vaginal douching)
- เลือดออกกะปริบกะปรอยทางช่องคลอด (Irregular bleeding per vagina)
- ปวดท้องจากตกไข่ (Painful ovulation or Mittelschmerz)
การคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติคืออะไร?
การคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติ (Natural birth control หรือ Natural family planning) คือ การป้องกันการตั้งครรภ์ด้วยวิธีการต่างๆโดยอาศัยหลักสรีรวิทยาของการทำงานของฮอร์โมนในระบบอวัยวะสืบพันธุ์สตรี, การตกไข่, การมีประจำเดือน, มาช่วยกำหนดวันที่มีเพศสัมพันธ์ได้โดยไม่เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์, โดยไม่ได้ใช้อุปกรณ์หรือยาฮอร์โมนต่างๆช่วยในการคุมกำเนิด
การคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติมีวิธีใดบ้าง?
การมีความรู้ทางด้านสรีรวิทยาและการทำงานของระบบสืบพันธุ์ สามารถนำมาประยุกต์ใช้เป็นการคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติได้หลายวิธี เช่น
- งดมีเพศสัมพันธ์ (Abstinence): เป็นวิธีที่ดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด ได้ผลดีที่สุด ประหยัดที่สุด, แต่ทำยากที่สุดเพราะเป็นการฝืนธรรมชาติมากที่สุด จึงไม่เป็นที่นิยม
- การนับวันปลอดภัย (Calendar method, Calendar rhythm method, Ogino-Knaus method): ตามความรู้ทางสรีรวิทยาในสตรีที่มีประจำเดือนปกติ ทุก 28 วันจะมีการตกไข่วันที่ 14 ก่อนมีประจำเดือนครั้งต่อไป, อย่างไรก็ตามไข่มีโอกาสตกช้าหรือเร็วภายใน 2 วัน, ดังนั้นโอกาสตกไข่จึงอยู่ในช่วงวันที่ 12-16 ของรอบเดือน, ไข่มีชีวิตรอการผสมจาเชื้ออสุจิ (สเปิร์ม, Sperm) อยู่ได้ประมาณ 24 ชั่วโมง, โอกาสการตั้งครรภ์จึงถึงวันที่ 17 ของรอบเดือน, ส่วนเชื้ออสุจิมีชีวิตรอผสมได้ประมาณ 48 ชั่วโมง หรือ 2 วันก่อนการตกไข่
- ดังนั้นในสตรีที่ประจำเดือนปกติมาทุก28วัน ‘ช่วงที่มีโอกาสตั้งครรภ์ได้ คือ วันที่ 10-17 ของรอบเดือน (นับจากวันแรกของวันมีรอบเดือน)’
- ในกรณีที่ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ การหาช่วงเวลาที่ปลอดภัยโดยสังเกตและบันทึกประวัติประจำเดือนที่ผ่านมา 12 เดือน ให้ใช้เลข18 ลบออกจากรอบประจำเดือนที่สั้นที่สุดเป็นวันแรกที่มีโอกาสตั้งครรภ์ ( First fertile day) และใช้เลข 11 ลบออกจากรอบประจำเดือนที่ยาวที่สุด ก็จะเป็นวันสุดท้ายที่มีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ (Last fertile day) เช่น
- หากประจำเดือนมาสม่ำเสมอทุก 28 วัน วันที่มีสิทธ์จะตั้งครรภ์ได้คือวันที่ 10 (28 ลบ18) ถึง วันที่ 17 (28ลบ11) ของรอบเดือน
- แต่หากประจำเดือนรอบสั้นที่สุด 23 วัน รอบประจำเดือนที่ยาวที่สุดคือ 40 วัน ดังนั้น วันที่มีสิทธ์จะตั้งครรภ์ได้คือวันที่ 5 (23ลบ18) ถึง วันที่ 29 (40ลบ11) ของรอบเดือน
- อนึ่ง: ที่ได้ยินพูดกันบ่อยๆว่า ระยะปลอดภัย คือ หน้า7หลัง7 หมายถึง ช่วงที่ปลอดจากการตั้งครรภ์ หากมีเพศสัมพันธ์ในระยะเวลา 7 วัน ก่อนมีประจำเดือนรอบถัดไป และหลังมีประจำเดือน (นับวันที่เป็นประจำเดือนวันแรกเป็นวันที่1) สามารถใช้ได้ปลอดภัย, แต่เพราะเป็นการเว้นระยะค่อนข้างยาวอาจส่งผลถึงความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาได้
- การกำหนดระยะเวลาเจริญพันธุ์ (The standard days method): เป็นการกำหนดช่วงเวลาไปเลยว่า วันที่ 8-19 ของรอบเดือนมีโอกาสเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ โดยการคำนวณค่าเฉลี่ยของรอบประจำเดือนสตรีทั่วไปที่มีรอบประจำเดือน 26-32 วัน, หากต้องการคุมกำเนิดควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงเวลานี้
- การวัดอุณหภูมิพื้นฐานของร่างกาย (Basal body temperature): ตามความรู้ด้านสรีระวิทยาที่ว่าอุณหภูมิร่างกายจะลดลง 12-24 ชั่วโมงก่อนที่จะมีการตกไข่ หลังจากนั้นจะสูงขึ้นประมาณ’ครึ่งองศา (0.5 degree Celsius/C)’ เมื่อมีการตกไข่, ซึ่งเป็นผลจากฮอร์โมนโปรเจสเตโรน (Progesterone)
- การคุมกำเนิดด้วยวิธีนี้ สตรีต้องมีการวัดอุณหภูมิตนเองทุกเช้าด้วยปรอทวัดไข้ธรรมดาหลังตื่นนอนและก่อนทำกิจกรรมต่างๆไม่ว่าจะเป็นการลุกขึ้นแปรงฟัน หรือการสะบัดปรอท (ดังนั้นจึงต้องสะบัดปรอทให้พร้อมตั้งแต่ก่อนอน) แล้วมีการจดบันทึกไว้ สามารถวัดปรอทได้ทั้งทางปาก รักแร้ หรือทวารหนัก การวัดแต่ละครั้งควรนานประมาณ 5 นาที, ควรทำการวัดในเวลาใกล้เคียงกันในแต่ละวัน, หลังวัดปรอทเสร็จ ควรทำความสะอาดปรอทวัดไข้ให้เรียบร้อยและสะบัดปรอทให้พร้อมใช้ในวันรุ่งขึ้นโดยไม่ต้องมาเสียเวลาสลัดปรอทอีก, ทั้งนี้เมื่อดูจากค่าอุณหภูมิ เราสามารถเลือกวันที่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้เพื่อลดความเสียงในการตั้งครรภ์
- การดูมูก/ตกขาว/สารคัดหลั่งจากปากมดลูก(Cervical mucus inspection method หรือ Ovulation method หรือ Billings method): มูกปากมดลูกจะมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะของความเหนียวข้นและความยืดหยุ่นตามอิทธิพลของฮอร์โมนเพศหญิงในแต่ละรอบเดือน, ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่ง่าย, โดยให้สตรีสังเกตลักษณะมูกในช่องคลอดตนเอง
- ในช่วงใกล้ตกไข่ด้วยอิทธิพลของฮอร์โมนเอสโตรเจนจะทำให้มูกปากมดลูกมีปริมาณมาก, ใส, สามารถจับมูกยืดได้ยาว (Spinnbarkeit), หากมีการร่วมเพศในช่วงนี้ก็จะเสี่ยงกับการตั้งครรภ์ได้สูง, เชื้ออสุจิผ่านมูกแบบนี้ได้ง่ายจึงต้องเลี่ยงเวลานี้หากต้องการคุมกำเนิด
- แต่เมื่อมีการตกไข่ไปแล้ว ด้วยอิทธิพลของฮอร์โมนโปรเจสเตโรน มูกหรือสารคัดหลั่งจากช่องคลอดจะ เป็นสีขุ่นขึ้น, มีปริมาณน้อยลง, ยืดมูกไม่ได้ยาว
- การสังเกตอาการประกอบการตรวจอุณหภูมิ(Symptothermal method): เป็นการใช้หลายวิธีรวมกันซึ่งจะช่วยให้ประสิทธิภารการคุมกำเนิดดีขึ้น โดยดูทั้งจาก
- อาการปวดหน่วงท้องน้อยที่คาดว่าจะเกิดการตกไข่ (Ovulation pain หรือ Mittelschmerz/ปวดท้องจากตกไข่)
- การมีเลือดออกทางช่องคลอดเล็กน้อยเมื่อมีการตกไข่เนื่องจากการลดลงของฮอร์โมนเพศ
- อาการเจ็บคัดตึงเต้านม
- การดูปฏิทินที่เป็นวันปลอดภัย
- ประกอบกับการวัดอุณหภูมิ
- ร่วมกับการสังเกตลักษณะมูกของปากมดลูก
- การใช้ชุดตรวจการตกไข่ ( Ovulation indicator testing kit): ปัจจุบันมีชุดตรวจคาดคะเนการตกไข่ ส่วนมากใช้ในสตรีที่ต้องการตั้งครรภ์ และต้องการกำหนดช่วงเวลาที่มีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่มีการตกไข่ หรือใกล้ตกไข่มากที่สุด เพื่อให้ตั้งครรภ์, เป็นการตรวจหาฮอร์โมน Luteinizing hormone (LH/ ฮอร์โมนกระตุ้นการตกไข่) ในปัสสาวะ ซึ่งจะตรวจพบได้เมื่อ 8-12 ชั่วโมงหลังมีการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมน LH (LH surge),
- ในสตรีปกติทั่วไป LH จะเป็นตัวกระตุ้นให้มีการตกไข่ ปริมาณของ LH จะเพิ่มสูงขึ้นมาก 20-48 ชั่วโมงก่อนตกไข่, สามารถใช้ชุดตรวจนี้ช่วยในการคุมกำเนิดได้โดยหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ในระยะที่ตรวจพบ LH ในปัสสาวะ
- การหลั่งนอก (Withdrawal method หรือ Coitus interruptus): เป็นการที่ฝ่ายชายถอดองคชาติที่กำลังจะหลั่งน้ำอสุจิขณะร่วมเพศจนใกล้ถึงจุดสุดยอดออกมาจากช่องคลอด แล้วมาหลั่งน้ำอสุจิภายนอกช่องคลอด เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ตัวเชื้ออสุจิเข้าไปในช่องคลอดและในปากมดลูก, เป็นวิธีที่เกิดความล้มเหลวบ่อย (15-30%) เพราะฝ่ายชายมักถอนอวัยวะเพศไม่ทัน จึงทำให้มีตัวเชื้ออสุจิส่วนหนึ่งเข้าไปในช่องคลอดได้ และ/หรืออสุจิที่เปื้อนอยู่บริเวณปากช่องคลอดยังอาจสามารถเคลื่อนตัวผ่านเมือกที่ปากช่องคลอดฝ่ายหญิงที่มีมากขณะมีอารมณ์ทางเพศได้อีกด้วย
- การกลั้นไม่หลั่งน้ำอสุจิ (Coitus reservatus): เป็นการที่ฝ่ายชายควบคุมตนเองไม่ให้หลั่งน้ำอสุจิ เมื่อใกล้จุดสุดยอดจะต้องค่อยๆบังคับตนเองให้ลดความตื่นเต้นทางเพศลง ค่อยๆผ่อนคลายจนหมดไป, วิธีการนี้มีโอการพลาดได้ง่าย (10-30%) เช่นเดียวกับการหลั่งนอก
- การให้นมบุตร (Lactational infertility): เป็นการคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะสตรีที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว ประจำเดือนจะมาช้ากว่าสตรีที่เลี้ยงลูกด้วยนมผสม เนื่องจากการให้ลูกดูดนมจะมีผลต่อการหลั่งฮอร์โมน Gonadotropin releasing hormone (GnRH,ฮอร์โมนควบคุมการเจริญเติบโของไข่) ทำให้ไม่มีการหลั่ง ฮอร์โมน Follicular stimulating hormone (FSH) และฮอร์โมน LH ไปกระตุ้นให้ไข่ในรังไข่มีการเจริญเติบโตจนเกิดการตกไข่ได้, ซึ่งโดยมากการตกไข่มักเกิด 10-12 สัปดาห์หลังคลอด, แต่หากต้องการคุมกำเนิดอย่างจริงจัง ควรมีการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย
- การสวนล้างช่องคลอดและการถ่ายปัสสาวะ (Douching and urination): เป็นวิธีที่’ไม่ได้ผล’, ในการสวนล้างช่องคลอดหรือถ่ายปัสสาวะหลังการมีเพศสัมพันธ์เพราะเมื่อฝ่ายชายหลั่งน้ำอสุจิเข้าในช่องคลอด เชื้ออสุจิบางส่วนจะเข้าไปในโพรงมดลูกได้แล้ว, วิธีดังกล่าวจึงไม่สามารถป้องกันน้ำอสุจิไม่ให้เข้าไปในโพรงมดลูกได้
ประสิทธิภาพของการคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติเป็นอย่างไรบ้าง?
ประสิทธิภาพของการคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติ ‘ไม่ดี’เท่าการคุมกำเนิดด้วยการใช้ยาฮอร์โมน เพราะต้องขึ้นอยู่กับความร่วมมือของทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง
- หากมีการปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัดและถูกต้อง, ประสิทธิภาพโดยรวมประมาณ 90%
- แต่หากปฏิบัติตัวไม่ถูกต้อง หรือไม่มีวินัยในการควบคุมตนเอง โอกาสความล้มเหลวจะมีมากกว่าการคุมกำเนิดด้วยยาหรือฮอร์โมนต่างๆมาก
อะไรเป็นปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จของการคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติ?
ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จของการคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติ เช่น
- ความสม่ำเสมอของรอบประจำเดือน
- ความร่วมมือของทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย
- ความมุ่งมั่น มีวินัยในตนเอง
- การเป็นคนช่างสังเกตตนเองของสตรี เช่น สังเกตว่าความเหนียวของมูกปากช่องคลอด และการเปลี่ยนแปลงของร่างกายในช่วงรอบเดือน เป็นต้น
ข้อดีของการคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติมีอะไรบ้าง?
ข้อดีของการคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติ เช่น
- ประหยัดค่าใช้จ่าย หรือไม่เสียค่าใช้จ่าย
- สามารถบริหารจัดการได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์ทางการแพทย์
- ไม่ต้องเสียเวลาไปพบแพทย์เพื่อรับบริการ
- ไม่ต้องได้รับฮอร์โมนต่างๆ ที่อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงต่างๆ เช่น น้ำหนักตัวเกิน/เพิ่ม, เนื้อตัวบวม
- ภาวะการเจริญพันธุ์ (การสามารถตั้งครรภ์): สามารถกลับมาได้ทันทีที่หยุดการคุมกำเนิดโดยวิธีธรรมชาติ
ข้อด้อยการคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติมีอะไรบ้าง?
ข้อด้อยการคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติ เช่น
- ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดยังไม่ดีนัก, โอกาสการตั้งครรภ์ 2-30 ต่อสตรี 100 คน
- ต้องมีวินัยในการปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัดทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย
- ไม่สะดวก ต้องได้รับความร่วมมือจากทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง
- กดดัน หรือเกิดความเครียด เนื่องจากความต้องการทางเพศอาจไม่ตรงกับวันที่และระยะเวลาในช่วงที่ปลอดภัย คือไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามความต้องการ
- เสียเวลาในการบันทึกประวัติประจำเดือน
- หากสตรีมีประจำเดือนที่ไม่สม่ำเสมอ จะทำให้การคำนวณระยะปลอดภัยไม่แม่นตรง
- ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้
สตรีใดบ้างที่เหมาะกับการคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติ?
สตรีที่เหมาะกับการคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติ เช่น
- ไม่ต้องการมีผลข้างเคียงของยาฮอร์โมนคุมกำเนิดต่างๆ
- ประจำเดือนมาสม่ำเสมอ
- มีโรคประจำตัวที่ไม่สามารถรับประทานหรือฉีดยาฮอร์โมนคุมกำเนิดได้
- สามีให้ความร่วมมือที่ดี
สตรีใดบ้างที่ไม่เหมาะการคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติ?
สตรีที่ไม่เหมาะการคุมกำเนิดด้วยวิธีธรรมชาติ ทั่วไป คือ
- มีประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ
- มีเลือดออกกะปริบกะปรอยทางช่องคลอด
- มีภารกิจ รัดตัว ยุ่งเหยิง ทำให้ไม่มีเวลาในการควบคุมดูแลตนเอง
- มีภาวะเครียด จะมีผลทำให้รอบประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ
- ฝ่ายชายไม่ร่วมมือ
บรรณานุกรม
- ยุทธพงศ์ วีระวัฒนตระกูล. การคุมกำเนิดเพื่อการวางแผนครอบครัว. คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น.
- https://americanpregnancy.org/getting-pregnant/natural-family-planning/ [2023,April8]
- https://www.aafp.org/pubs/afp/issues/2012/1115/p924-s1.html [2023,April8]
- https://www.medicinenet.com/natural_methods_of_birth_control/article.htm [2023,April8]