การชักนำให้เจ็บครรภ์คลอด (Labor induction)
- โดย รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิง ประนอม บุพศิริ
- 18 กุมภาพันธ์ 2566
- Tweet
สารบัญ
- การชักนำให้เจ็บครรภ์คลอดคืออะไร?
- ทำไมต้องมีการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอด?
- สตรีตั้งครรภ์กลุ่มใดมีปัจจัยเสี่ยงต้องทำการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอด?
- สตรีตั้งครรภ์กลุ่มมีปัจจัยเสี่ยงต่อการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอดควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไร?
- วิธีในการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอดมีอะไรบ้าง?
- การเตรียมตัวก่อนทำการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอดมีอย่างไรบ้าง?
- ข้อดีของการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอดมีอะไรบ้าง?
- ข้อด้อยหรือภาวะแทรกซ้อนของการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอดมีอะไรบ้าง?
- สตรีตั้งครรภ์กลุ่มใดที่ไม่ควรหรือห้ามชักนำให้เกิดเจ็บครรภ์คลอด?
- ทารกที่เกิดจากการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอดจะมีปัญหาหรือไม่?
- ดูแลตนเองอย่างไรหลังการคลอดจากการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอด?
- หลังคลอดควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไร?
- ป้องกันไม่ให้มีการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอดได้อย่างไร?
- การตั้งครรภ์ครั้งต่อไปต้องทำการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอดอีกหรือไม่?
- การตั้งครรภ์ครั้งต่อไปควรเป็นเมื่อใด?
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนเจ็บครรภ์คลอด (Premature rupture of membranes)
- ตั้งครรภ์เกินกำหนด (Postterm pregnancy)
- ภาวะทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (Intrauterine growth restriction)
- ทารกเสียชีวิตในครรภ์ (Intrauterine fetal demise)
- ภาวะสายสะดือย้อย ภาวะสายสะดือโผล่แลบ (Umbilical cord prolapse)
- ตกเลือดหลังคลอด (Postpartum hemorrhage)
- ภาวะเครียดของทารกในครรภ์ (Fetal distress)
- มดลูกแตกในสตรีตั้งครรภ์ (Uterine rupture in pregnancy)
การชักนำให้เจ็บครรภ์คลอดคืออะไร?
ในภาวะปกติเมื่อตั้งครรภ์ครบกำหนด ร่างกายจะมีกลไกทำให้เกิดการหดรัดตัวของมดลูกมากขึ้นเรื่อยๆ ที่เรียกว่า “เจ็บครรภ์คลอด” แล้วคลอดทารกออกมา, แต่ในบางกรณีที่ไม่มีการเจ็บครรภ์คลอดตามธรรมชาติ หรือ มีเหตุการณ์ที่ต้องทำให้การตั้งครรภ์สิ้นสุดลงก่อนกำหนดเพราะจะมีอันตรายต่อสุขภาพมารดาหรือต่อทารกในครรภ์ แพทย์จะทำการรักษาโดย “การชักนำให้เกิดการเจ็บครรภ์คลอด หรือ การชักนำให้เกิดการคลอด (Labour/Labor induction หรือ Inducing labour หรือ Induced labour)” โดยให้ยากระตุ้นให้มดลูกหดรัดตัวมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกระบวนการเจ็บครรภ์คลอดตามธรรมชาติ แล้วทำให้เกิดการคลอดทารกออกมาทางช่องคลอดตามปกติ
อนึ่ง: การชักนำให้เกิดการเจ็บครรภ์คลอด เป็นหัตถการทางสูติกรรมที่พบบ่อย โดยในสหรัฐอเมริกา มีรายพบได้ประมาณ 9 - 23% ของการตั้งครรภ์ทั้งหมด
ทำไมต้องมีการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอด?
สาเหตุที่ทำให้ต้องมีการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอด จนเกิดมีการคลอด หรือมีการสิ้นสุดการตั้งครรภ์ ก็เพื่อสุขภาพที่ดีของทารกในครรภ์และของมารดา ที่แพทย์พิจารณาแล้วว่า หากยังคงให้ทารกอยู่ในครรภ์ต่อไป จะมีอันตรายทั้งต่อตัวทารกเองและ/หรือต่อชีวิตมารดา
สตรีตั้งครรภ์กลุ่มใดมีปัจจัยเสี่ยงต้องทำการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอด?
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ต้องมีการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอด ทั่วไปแบ่งเป็น 2 ปัจจัยหลัก คือ
- สตรีตั้งครรภ์ที่มี ความดันโลหิตสูงชนิดรุนแรงจากการตั้งครรภ์(Pre-eclampsiawith severe feature) หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่า “ภาวะครรภ์เป็นพิษ” ซึ่งหากปล่อยให้การตั้งครรภ์ดำเนินต่อไป ความดันโลหิตของมารดาจะสูงขึ้นมาก จนมารดามีโอกาสเกิดการชักได้ เพราะว่าภาวะครรภ์เป็นพิษนี้เกิดจากภาวะที่มีทารกในครรภ์ ซึ่งหากทำให้การตั้งครรภ์สิ้นสุดลง มารดาก็จะอาการดีขึ้น ซึ่งการชักขณะตั้งครรภ์จะก่ออันตรายทั้งต่อมารดาและต่อทารกในครรภ์ จนเป็นสาเหตุให้ถึงตายได้ทั้งมารดาและทั้งทารกฯ
- สตรีตั้งครรภ์เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด หรือโรคเบาหวาน ขั้นรุนแรง: ซึ่งจะทำให้มีปัญหาที่เส้นเลือด ส่งผลทำให้เลือดไปเลี้ยงทารกในครรภ์ไม่เพียงพอ ทารกฯจึงอาจเกิดความพิการหรือตายได้
- สตรีตั้งครรภ์ที่มีถุงน้ำคร่ำแตกก่อนเจ็บครรภ์คลอดเป็นเวลานานเกิน 24 ชั่วโมงแล้วยังไม่มีอาการเจ็บครรภ์คลอด: หากรอให้เจ็บครรภ์คลอดเอง จะมีปัญหาเรื่องการติดเชื้อในถุงน้ำคร่ำซึ่งจะเป็นอันตรายต่อทารกฯจนทารกฯอาจถึงตายได้
- สตรีตั้งครรภ์ที่มีการติดเชื้อในถุงน้ำคร่ำจากสาเหตุอื่นๆ: ซึ่งจะส่งผลเป็นอันตรายต่อทารกฯจนทารกฯอาจถึงตายได้ เช่น จากช่องคลอดอักเสบติดเชื้อ
- สตรีตั้งครรภ์ที่ตั้งครรภ์เกินกำหนด: โดยทั่วไปเมื่อไปฝากครรภ์ แพทย์จะมีการคาดคะเนวันคลอดให้ตามประวัติประจำเดือน และวันคาดคะเนครบกำหนดคลอดจะเป็นวันที่อายุครรภ์ 40 สัปดาห์ หากเลยกำหนดวันคาดคะเนคลอดไปประมาณ 2 สัปดาห์คือคาดคะเนตั้งครรภ์ได้ประมาณ 42 สัปดาห์ จัดเป็น “การตั้งครรภ์เกินกำหนด (Post term pregnancy)” แล้วยังไม่มีการเจ็บครรภ์คลอด แพทย์ต้องนัดสตรีตั้งครรภ์นั้นมาชักนำให้เกิดการเจ็บครรภ์คลอด เพื่อให้การตั้งครรภ์สิ้นสุดลง เพราะถ้าปล่อยให้ตั้งครรภ์ต่อไป การทำงานของ 'รก' จะลดลง ทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตทารกในครรภ์ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเปรียบเทียบกับทารกฯที่คลอดไม่เกินกำหนด ซึ่งปัจจุบัน นิยมนัดมาชักนำให้เจ็บครรภ์คลอดที่อายุครรภ์ประมาณ 41-42 สัปดาห์
- ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ เนื่องจากมีพยาธิสภาพที่ตัวทารกเอง หรือจากตัวรก หรือ จากมารดาที่มีโรคประจำตัว ซึ่งหากให้ทารกฯอยู่ในครรภ์ต่อไป จะมีอันตรายมากกว่าที่จะกระตุ้นให้เกิดการคลอดออกมาแล้วมาดูแลทารกฯภายนอกครรภ์
- ทารกฯที่มีความพิการมากจนเมื่อคลอดออกมาแล้วทารกไม่สามารถมีชีวิตรอดได้เช่น ภาวะไม่มีกะโหลกศีรษะ หรือ มีความผิดปกติทางโครโมโซมอย่างรุนแรง จึงไม่มีความจำเป็นให้ทารกฯอยู่ในครรภ์ต่อไป
- ทารกเสียชีวิตในครรภ์
สตรีตั้งครรภ์กลุ่มมีปัจจัยเสี่ยงต่อการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอดควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไร?
สตรีตั้งครรภ์กลุ่มมีปัจจัยเสี่ยงต่อการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอด ต้องพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตรงตามแพทย์นัดเสมอ และหากมีอาการเจ็บครรภ์, หรือเจ็บครรภ์คลอด, หรือมีความผิดปกติต่างๆ, ควรต้องรีบไปพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัด
วิธีในการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอดมีอะไรบ้าง?
วิธีในการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอด เช่น
- Oxytocin drug: โดยต้องผสมยานี้ในน้ำเกลือแล้วหยดเข้าเส้นเลือดดำมารดา ยานี้จะไปกระตุ้นให้เกิดการหดรัดตัวของมดลูก แล้วมีการคลอดตามมา, ข้อดีของวิธีนี้ คือ แพทย์สามารถควบคุมการหดรัดตัวของมดลูกได้ และสามารถเพิ่มหรือลดขนาดยาที่ใช้ได้ง่าย
- Prostaglandins: ยากลุ่มนี้ มีทั้งรูปแบบยาเหน็บช่องคลอด และแบบ Gel/เจลใส่ในช่องคลอด, ยานี้จะไปกระตุ้นให้เกิดการหดรัดตัวของมดลูกแล้วมีการคลอดตามมาเช่นกัน, ข้อด้อยของวิธีนี้คือ เมื่อให้ยาไปแล้วไม่สามารถเอายาออกได้ หากเกิดปัญหามดลูกหดรัดตัวถี่เกินไป ก็จำเป็นที่ต้องมี การผ่าท้องคลอดเพื่อช่วยชีวิตลูก
- ในบางครั้ง เมื่อถุงน้ำคร่ำแตกแล้ว แต่ยังไม่เกิดการเจ็บครรภ์ ก็ต้องพิจารณาให้ยา Oxytocin เพื่อกระตุ้นมดลูกเพิ่มเติม, เพราะหากปล่อยให้เวลาเนิ่นนาน ก็จะมีปัญหาการติดเชื้อในถุงน้ำคร่ำตามมา ที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์
การเตรียมตัวก่อนทำการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอดมีอย่างไรบ้าง?
ในบทความนี้ ขอกล่าวถึงการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอดเฉพาะวิธีใช้ยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก เพราะเป็นวิธีที่แพทย์นิยมใช้ในปัจจุบัน โดยการเตรียมตัวก่อนทำการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอด คือ แพทย์จะนัดมารดาให้ไปนอนพักที่โรงพยาบาล และพิจารณาเลือกใช้ยาชักนำการเจ็บครรภ์คลอดตามดุลพินิจของแพทย์ อาจเป็นยาที่ผสมในน้ำเกลือแล้วหยดเข้าเส้นเลือด หรือใช้เป็นยาเหน็บในช่องคลอด, การชักนำให้เกิดการเจ็บครรภ์คลอดอาจใช้เวลาหลายวัน ขึ้นอยู่กับสภาพปากมดลูกพร้อมที่จะคลอดหรือไม่ หากปากมดลูกพร้อม(ปากมดลูกเปิด) การชักนำการคลอดมีโอกาสสำเร็จสูง ใช้เวลาไม่นานก็เกิดการเจ็บครรภ์และเกิดการคลอด แต่หากสภาพปากมดลูกไม่พร้อม มีโอกาสที่จะเกิดความล้มเหลวในการชักนำการเจ็บครรภ์คลอดสูง, หากชักนำให้เจ็บครรภ์คลอดให้เกิดการคลอดทางช่องคลอดไม่สำเร็จ ก็ต้องทำการผ่าตัดคลอด
ข้อดีของการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอดมีอะไรบ้าง?
ข้อดีของการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอด เช่น
- ในกรณีที่มีถุงน้ำคร่ำแตกนานแล้วแต่ยังไม่มีการคลอด การชักนำให้เจ็บครรภ์คลอดจะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อในถุงน้ำคร่ำ
- ลดความรุนแรงของภาวะครรภ์เป็นพิษ หรือความดันโลหิตสูงจากการตั้งครรภ์ ที่จะมีอันตรายต่อทั้งมารดาและต่อทารกในครรภ์
- ทารกมีความเสี่ยงในการเสียชีวิตน้อยกว่าการให้คลอดออกมาหากสภาพในครรภ์ไม่เหมาะสมต่อทารกในครรภ์ เช่น ตั้งครรภ์เกินกำหนด หรือ ทารกฯมีความผิดปกติทางโครโมโซม
ข้อด้อยหรือภาวะแทรกซ้อนของการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอดมีอะไรบ้าง?
ข้อด้อยหรือภาวะแทรกซ้อน(ผลข้างเคียง)ของการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอด เช่น
- หากมดลูกหดรัดตัวถี่เกินไป จะทำให้ขาดเลือดไปเลี้ยงทารกในครรภ์ จึงอาจเป็นอันตรายต่อทารกฯได้
- หากมดลูกหดรัดตัวถี่เกินไป อาจเกิดภาวะมดลูกแตกในสตรีตั้งครรภ์ โดยเฉพาะสตรีที่มีแผลผ่าตัดที่กล้ามเนื้อมดลูก เช่น กรณีเคยผ่าตัดเนื้องอกมดลูก หรือ เคยผ่าท้องคลอด
- อาจทำให้เกิดการคลอดแบบรวดเร็วเกินไป จนแพทย์/พยาบาลควบคุมไม่ได้ ทำให้เกิดการฉีกขาดของช่องทางคลอด เช่น ปากมดลูก และ/หรือ ผนังช่องคลอด
- การที่ทำให้เกิดถุงน้ำคร่ำแตก สามารถทำให้เกิดภาวะสายสะดือย้อยได้ หรือ มีความเสี่ยงในการติดเชื้อในถุงน้ำคร่ำ หากถุงน้ำคร่ำแตกนานเกินไป
- เกิดภาวะน้ำคร่ำไปอุดตันที่ปอด (ภาวะน้ำคร่ำอุดหลอดเลือด) ทำให้มารดาถึงตาย ได้
- เกิดภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด จากการที่มดลูกหดรัดตัวแรง ทารกฯจึงอาจเกิดอันตรายได้
- มีโอกาสที่จะตกเลือดหลังคลอดได้เนื่องจากกล้ามเนื้อมดลูกหดรัดตัวไม่ดี เพราะการให้ยาชักนำให้เจ็บครรภ์คลอดเป็นเวลานานๆ จะทำให้กล้ามเนื้อมดลูกล้า จนหดรัดตัวไม่ดี
- เพิ่มอุบัติการณ์ของการผ่าท้องคลอดบุตร เนื่องจากปากมดลูกขยายตัวไม่ดี, หรืออาจเกิดจากมดลูกที่หดรัดตัวมากเกินไป, ทำให้ทารกอยู่ในภาวะอันตรายต้องรีบผ่าตัดคลอดเพื่อช่วยชีวิตทารก
สตรีตั้งครรภ์กลุ่มใดที่ไม่ควรหรือห้ามชักนำให้เกิดเจ็บครรภ์คลอด?
สตรีตั้งครรภ์กลุ่มที่ไม่ควร หรือที่ห้ามชักนำให้เกิดเจ็บครรภ์คลอด เช่น
- สตรีที่เคยผ่าตัดคลอด และ/หรือสตรีที่เคยผ่าตัดที่กล้ามเนื้อมดลูก เช่น ผ่าตัดเนื้องอกมดลูก เพราะมีความเสี่ยงในการเกิดมดลูกแตก เนื่องจากมีแผลที่มดลูก ทำให้กล้ามเนื้อมดลูกบริเวณนั้นมีความอ่อนแอ
- สตรีผู้ที่มีรูปร่างมดลูกผิดปกติแต่กำเนิด เช่น มีโพรงมดลูก 2 โพรง(ปกติจะมีโพรงเดียว) เพราะมีความเสี่ยงในการเกิดมดลูกแตก เนื่องจากมีผนังมดลูกอ่อนแอ มดลูกจึงมีโอกาสแตกได้ง่าย
- สตรีที่มดลูกมีการขยายตัวมากผิดปกติ เช่น ในกลุ่มสตรีที่ตั้งครรภ์แฝด หรือ ผู้ที่มีภาวะน้ำคร่ำมากกว่าปกติ หรือมีเนื้องอกมดลูกขณะตั้งครรภ์, กล้ามเนื้อมดลูกที่ขยายมาก จึงมีความอ่อนแอ จึงเกิดมดลูกแตกได้ง่าย
- ทารกในครรภ์อยู่ในท่าที่ไม่สามารถคลอดทางช่องคลอดได้ เช่น ทารกท่าขวาง หรือ ทารกท่าก้นที่มีขายื่นลงมา หรือทารกท่าหน้า
- สตรีตั้งครรภ์ที่มีภาวะรกเกาะต่ำ เพราะจะทำให้เลือดออกจากมดลูกมากจนเป็นอันตรายต่อชีวิตมารดา และ/หรือต่อทารกฯได้
- สตรีตั้งครรภ์ที่เป็นมะเร็งปากมดลูกชนิดลุกลาม เพราะจะเกิดการอุดกั้นช่องทางทารกคลอดจากตัวก้อนเนื้อมะเร็ง จนอาจเกิดมดลูกแตก และ/หรือ เป็นอันตรายต่อทารกฯได้
- ทารกในครรภ์มีภาวะเครียดของทารกในครรภ์ จึงอยู่ในภาวะอันตราย คับขัน ต้องรีบช่วยชีวิต โดยการผ่าตัดคลอด
ทารกที่เกิดจากการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอดจะมีปัญหาหรือไม่?
ทารกที่เกิดจากการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอดโดยส่วนใหญ่ไม่มีปัญหา จะเหมือนทารกคลอดปกติทั่วไป, ยกเว้นกรณีที่ทารกมีการขาดออกซิเจนนานเกินไป ก็จะเกิดผลข้างเคียงตามมาได้ เช่น ทารกมีการพัฒนาล่าช้า เป็นต้น
การตั้งครรภ์ครั้งต่อไปต้องทำการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอดอีกหรือไม่?
หากสตรีตั้งครรภ์ไม่มีปัจจัยเสี่ยง หรือไม่มีปัญหาต่างๆดังกล่าวในหัวข้อ “ปัจจัยเสี่ยงฯ” ก็สามารถคลอดตามปกติ ไม่ต้องทำการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอด
ดูแลตนเองอย่างไรหลังการคลอดจากการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอด?
การดูแลตนเองหลังคลอดภายหลังจากมีการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอด จะเหมือนการดูแลตนเองหลังคลอดทั่วไป ขึ้นกับว่า เป็นการคลอดทางช่องคลอด หรือคลอดโดยการผ่าตัดคลอด/การผ่าท้องคลอดบุตร (อ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com, 2 บทความ คือ บทความ เรื่อง ภาวะหลังคลอด และเรื่อง การผ่าท้องคลอดบุตร)
หลังคลอดควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไร?
หลังคลอดด้วยการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอด ทั่วไป ควรรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาลก่อนนัดเสมอ หากมีอาการผิดปกติต่างๆ เช่น
- มีไข้สูง
- หนาวสั่น
- น้ำคาวปลามีกลิ่นเหม็น และ/หรือ
- น้ำคาวปลาออกมาก
- ปริมาณน้ำคาวปลาไม่ค่อยๆลดน้อยลง
ป้องกันไม่ให้มีการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอดได้อย่างไร?
ทั่วไปสามารถป้องกันไม่ให้มีการชักนำการเจ็บครรภ์คลอดจากการใช้ยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูก หรือใช้อุปกรณ์ขยายปากมดลูก หรือ การเจาะถุงน้ำคร่ำ ได้โดย เมื่อตั้งครรภ์ครบกำหนดแล้วยังไม่มีอาการเจ็บครรภ์:
- แพทย์มักตรวจภายในเพื่อประเมินความพร้อมของปากมดลูก
- ในบางครั้ง หากปากมดลูกเริ่มเปิดเล็กน้อยแพทย์จะใช้นิ้วทำการเซาะเยื่อหุ้มทารก (Stripping membrane) ที่อยู่ส่วนล่างรอบๆปากมดลูก เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายมีการหลั่งสาร Prostaglandins ที่จะทำให้เกิดการหดรัดตัวของมดลูกตามมา ซึ่งจะเกิดช้าหรือเร็ว ขึ้นกับความพร้อมของปากมดลูก
- นอกจากนั้น แพทย์จะแนะนำการใช้วิธีทางธรรมชาติที่กล่าวมาแล้ว คือ การกระตุ้นหัวนม
การตั้งครรภ์ครั้งต่อไปต้องทำการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอดอีกหรือไม่?
หากไม่มีปัจจัยเสี่ยง หรือ ไม่มีปัญหาต่างๆ ตามที่ได้กล่าวมาแล้วในหัวข้อ “ปัจจัยเสี่ยงฯ” สตรีตั้งครรภ์สามารถคลอดได้ตามปกติเช่นเดียวกับสตรีตั้งครรภ์ทั่วไป ไม่จำเป็นต้องทำการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอด
การตั้งครรภ์ครั้งต่อไปควรเป็นเมื่อใด?
การตั้งครรภ์ครั้งต่อไป หลังมีการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอด ขึ้นอยู่กับว่า เป็นการคลอดทางช่องคลอด, หรือการผ่าท้องคลอดบุตร, อย่างไรก็ตามควรเว้นระยะมีบุตรไปประมาณ 2 ปี เพื่อให้สามารถเลี้ยงดูบุตรคนที่มีอยู่ได้อย่างเต็มที่ และเพื่อสุขภาพที่สมบูรณ์ของมารดา