คำถามเกี่ยวกับยา
โดย วันทนีย์ โลหะประกิตกุล
เรื่อง : ซัลฟา
ยาซัลฟาเป็นกลุ่มยาที่ถูกสังเคราะห์เพื่อนำมากำจัดเชื้อแบคทีเรีย (Antimicrobials) และนำมาผลิตเป็นยารักษาโรคต่างๆ เช่น
- รักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรีย
- รักษาโรคเบาหวาน
- รักษาและป้องกันโรคลมชัก
- เป็นยาขับปัสสาวะ
- ยาต้านไวรัส
ยาซัลฟามีผลข้างเคียงที่หลากหลาย เช่น ทำให้ทางเดินปัสสาวะมีความผิดปกติ (เช่น ปัสสาวะขุ่นหรือเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ) ดีซ่าน วิงเวียน ปวดศีรษะ ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ผื่นคัน แพ้แสงแดด โลหิตจาง ปัสสาวะเป็นเลือด ระบบเลือดผิดปกติ และอาจถึงขั้นแพ้ยา เช่น มีอาการของ Stevens-Johnson syndrome เป็นต้น
- ห้ามใช้ยานี้กับเด็กทารก เด็กแรกเกิด
- ระวังการใช้ยาอื่นที่มีส่วนประกอบของธาตุกำมะถัน (เช่น ยาทารักษาโรคผิวหนังบางชนิด) ในผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้ยาซัลฟา
- ระวังการใช้ยานี้กับผู้ป่วยที่มีภาวะตับไตทำงานผิดปกติ
- ระวังการใช้ยานี้กับหญิงมีครรภ์
- การใช้ยาซัลฟา ควรดื่มน้ำตามเป็นปริมาณที่เพียงพอ (2 แก้ว) ในการละลายและกระจายตัวมิให้เกิดการตกตะกอนในปัสสาวะ
- การใช้ยาซัลฟา เช่น Sulfamethoxazole ร่วมกับยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น Warfarin จะทำให้การทำงานของยาต้านการแข็งตัวของเลือดมีฤทธิ์นานขึ้น ควรปรับขนาดใช้ให้เหมาะสมกับคนไข้เป็นรายบุคคลไป
- การใช้ยาซัลฟา เช่น Sulfasalazine ร่วมกับยาต้านไวรัสเฮชไอวี เช่น Tenofovir สามารถก่อให้เกิดปัญหาที่ไตของผู้ป่วย หากมีความจำเป็นต้องใช้ยาร่วมกัน ควรต้องปรับขนาดการใช้ให้เหมาะสม
- การใช้ยาซัลฟากับผู้ป่วยที่มีภาวะปัสสาวะเป็นกรด จะทำให้ยาซัลฟาหลายตัวตกตะกอนในปัสสาวะ เกิดทางเดินปัสสาวะอักเสบได้ หรือเมื่อกินร่วมกับยาบางตัว เช่น Methenamine (ยารักษาการอักเสบในระบบทางเดินปัสสาวะ) ซึ่งทำให้ปัสสาวะมีฤทธิ์เป็นกรด และเกิดตะกอนในปัสสาวะได้เช่นกัน จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาซัลฟาในผู้ป่วยมีภาวะปัสสาวะเป็นกรด
- การใช้ยา Sulfamethoxazole/Trimethoprim ร่วมกับยาลดความดันโลหิตกลุ่ม ACE inhibitors จะทำให้ระดับโพแทสเซียมในกระแสเลือดเพิ่มมากขึ้น ควรปรับขนาดใช้ให้เหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละรายไป
- การใช้ยาซัลฟาร่วมกับยารักษาโรคหัวใจ เช่น Digoxin สามารถเพิ่มระดับ Digoxin ในกระแสเลือด และทำให้เกิดพิษของ Digoxin ต่อร่างกายเพิ่มขึ้น หากไม่มีความจำเป็นควรเลี่ยงการใช้ร่วมกัน
- การใช้ยาซัลฟาร่วมกับยารักษาโรคข้อรูมาตอยด์ เช่น Cyclosporine จะทำให้ฤทธิ์ในการ รักษาของ Cyclosporine ด้อยประสิทธิภาพลง อีกทั้งทำให้เกิดปัญหากับไตได้มากขึ้น ควรเลี่ยงที่จะใช้ยาร่วมกันหรือควรปรับขนาดใช้ให้เหมาะสม
การแพ้ยาในกลุ่มซัลฟา เกิดขึ้นได้น้อย มีรายงานว่าการแพ้ยาในกลุ่มนี้เกิดได้ 3%ของผู้ใช้ยาซัลฟาทั่วไป และเกิดได้ประมาณ 60% ในผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีและกลุ่มผู้ป่วยโรคเอดส์ที่ใช้ยากลุ่มนี้ ดังนั้น ผู้ป่วยกลุ่มโรคเอดส์/ติดเชื้อเอชไอวี และผู้ป่วยที่มีความบกพร่องของภูมิคุ้มกันร่างกายจึงมีโอกาสเกิดการแพ้ยาในกลุ่มซัลฟาได้มากกว่าผู้ป่วยในกลุ่มโรคอื่นๆ ผู้ป่วยทุกคนจึงควรแจ้งให้ แพทย์ พยาบาล เภสัชกร ทราบทุกครั้งถึงการมีโรคประจำตัว