ไฟลามทุ่ง (Erysipelas)
- โดย พญ.ชลธิรศน์ ศรีเกษตรสรากุล
- 13 มิถุนายน 2563
- Tweet
- บทนำ
- อะไรเป็นสาเหตุและกลไกการเกิดโรคไฟลามทุ่ง?
- ใครมีปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคไฟลามทุ่ง?
- โรคไฟลามทุ่งมีอาการอย่างไร?
- ควรไปพบแพทย์เมื่อไหร่?
- แพทย์วินิจฉัยโรคไฟลามทุ่งได้อย่างไร?
- แพทย์รักษาโรคไฟลามทุ่งอย่างไร?
- โรคไฟลามทุ่งก่อผลข้างเคียงอย่างไร?
- โรคไฟลามทุ่งมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
- ดูแลตนเองอย่างไร?
- เมื่อไหร่ต้องพบแพทย์ก่อนนัด?
- ป้องกันโรคไฟลามทุ่งอย่างไร?
- บรรณานุกรม
- โรคติดเชื้อ ภาวะติดเชื้อ (Infectious disease)
- แบคทีเรีย: โรคจากแบคทีเรีย (Bacterial infection)
- โรคผิวหนัง (Skin disorder)
- หลอดเลือดอักเสบ (Vasculitis)
- ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ (Sepsis) ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Septicemia)
- ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics)
- ผิวหนังติดเชื้อ (Skin infection)
บทนำ
ไฟลามทุ่ง (Erysipelas) คือโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังในชั้นหนังแท้ (Dermis) โดยมีความรุนแรงของอาการหลายระดับ ตั้งแต่เป็นไม่มาก รักษาเพียงยาปฏิชีวนะ รับประทานก็หาย, ไปจนถึง อาการที่เป็น ลุกลามจนมีไข้สูง ถึงมีการติดเชื้อในกระแสโลหิต(ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ) ได้
อะไรเป็นสาเหตุและกลไกการเกิดโรคไฟลามทุ่ง?
สาเหตุและกลไกการเกิดโรคไฟลามทุ่ง เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งที่พบบ่อยคือ จากแบคทีเรียชนิด สเตรปโตคอคคัส (Streptococcus) โดยเชื้อแบคทีเรียอาจเข้าสู่ผิวหนังทางรอยแยกแตกของผิวหนัง ที่เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น
- มีการบาดเจ็บ/แผลที่บางครั้งเราอาจไม่ได้สังเกตเห็น
- ทางรอยแยกของผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อรา
- รอยแมลงกัด
- แผลผ่าตัด
- บริเวณผิวหนังที่บวมเรื้อรัง (เช่น มือ เท้า แขน ขา ที่บวม)
- บริเวณผิวหนังที่มีเนื้อตายอยู่เดิม (เช่น แผลที่เท้าจากโรคเบาหวาน) ฯลฯ
ซึ่งเมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ผิวหนังชั้นหนังแท้ ก็จะทำให้เกิดการติดเชื้อลุกลามขึ้น แต่มีบางครั้งที่เมื่อเกิดการติดเชื้อชั้นหนังแท้/ไฟลามทุ่ง รอยแตกของผิวหนังภายนอกเหล่านี้ได้หายไปแล้ว เมื่อเกิดไฟลามทุ่งขึ้น
ใครมีปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคไฟลามทุ่ง?
ผู้มีปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคไฟลามทุ่ง ได้แก่
- ผู้มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้รับประทานยากดภูมิคุ้มกันต้านทานโรค (เช่น ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ) ผู้ป่วยโรคมะเร็ง ผู้ป่วยมีโรคประจำตัว (เช่น โรคเบาหวาน)
- ผู้ป่วยที่มีการการอุดตันของหลอดเลือดดำจากลิ่มเลือด (ภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ)
- มีท่อน้ำเหลืองอุดตัน เช่น แขนบวมจากฉายรังสีรักษาและ/หรือจากผ่าตัดรักษาโรคมะเร็งเต้านม
- การผ่าตัดในอุ้งเชิงกราน (เช่น ผ่าตัดรักษามะเร็งปากมดลูก)
- เคยผ่าตัดหลอดเลือดดำขา (เช่น โรคหลอดเลือดดำขอด)
- และ/หรือ ผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองขาหนีบ (เช่น ในผู้ป่วยโรคมะเร็งผิวหนังของขา)
โรคไฟลามทุ่งมีอาการอย่างไร?
อาการที่พบได้ในโรคไฟลามทุ่ง ได้แก่
- ผิวหนังที่เกิดโรค มีลักษณะเป็นผื่นใหญ่ แดงสด บวม เจ็บ คลำดูที่ผื่นจะร้อน ขอบผื่นยกนูนจากผิวหนังปกติชัดเจน
- อาจพบเป็นตุ่มพอง(Blister) ร่วมด้วย
- โดยผื่นฯที่เกิด มักลุกลามอย่างรวดเร็ว และผิวหนังที่แดงอักเสบบวม จะตึงมีลักษณะคล้ายเปลือกส้มหรือหนังหมู (Peau d' orange)
- นอกจากนั้น อาการที่มักพบเกิดร่วมด้วย คือ
- อาการไข้ ที่มักเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน และในรายรุนแรง มักเป็นไข้สูง หนาวสั่น
- และประมาณ 90% ของผู้ป่วยไฟลามทุ่ง พบการติดเชื้อที่บริเวณ ขา เท้า, ส่วนประมาณ 2.5-10% มีการติดเชื้อที่บริเวณใบหน้า หรือ ที่ผิวหนังส่วนอื่นๆ
ควรไปพบแพทย์เมื่อไหร่?
หากมี ผื่นขึ้น ปวด บวมแดง ร้อน ขอบเขตชัด และ/หรือร่วมกับมีไข้ ชวนให้สงสัยว่าเป็นโรคไฟลามทุ่ง โดยเฉพาะที่เกิดบริวณ ขาและเท้า ที่พบได้บ่อย ควรมารับพบแพทย์/ไปโรงพยาบาล เพื่อทำการวินิจฉัยและได้รับการรักษาแต่เนิ่นๆ เนื่องจากการติดเชื้อลักษณะนี้สามารถลุกลามได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ และ/หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวต่างๆ โดยเฉพาะที่มีภาวะขา แขน บวมเรื้อรังอยู่ก่อนแล้ว
แพทย์วินิจฉัยโรคไฟลามทุ่งได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยโรคไฟลามทุ่งได้จาก
ก. กรณีอาการไม่รุนแรง: แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคไฟลามทุ่งได้จาก
- การซักถามประวัติทางการแพทย์ต่างๆของผู้ป่วย ที่สำคัญ เช่น อาการ ประวัติการมีแผล ประวัติการใช้ยาต่างๆ โรคประจำตัว
- การตรวจร่างกาย และการตรวจลักษณะผื่น
- อาจร่วมกับ การตรวจเลือด ซีบีซี (CBC) ซึ่งจะพบภาวะ เม็ดเลือดขาวสูง(Leukocytosis ) ซึ่งช่วยบอกว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียในร่างกาย
ข. กรณีที่ิอาการรุนแรง: ในการวินิจฉัยโรคฯนอกจากเช่นเดียวกับดังกล่าวใน “ข้อ ก.” แพทย์อาจต้องทำการตรวจสืบค้นเพิ่มเติม โดยเฉพาะ ทำการเพาะเชื้อแบคทีเรียจากแผล และจากเลือด เพื่อระบุชนิดของเชื้อแบคทีเรีย
แพทย์รักษาโรคไฟลามทุ่งอย่างไร?
การรักษาโรคไฟลามทุ่ง คือการให้ยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และการรักษาประคับ ประคองตามอาการ
ก. การใช้ยาปฏิชีวนะ: ระยะเวลาในการให้ยาปฏิชีวนะ ทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 2 สัปดาห์
โดยชนิดของยาปฏิชีวนะที่ใช้มีได้หลากหลายชนิด ขึ้นกับชนิดของเชื้อ ความรุนแรงของอาการ และดุลพินิจของแพทย์
- ในผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรง: สามารถรักษาโดยรับประทานยาปฏิชีวนะ และรักษาแบบผู้ป่วยนอกได้
- ส่วนในผู้ป่วยที่อาการรุนแรง: มีอาการไข้ร่วมด้วย อาจต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล และให้การรักษาโดยการฉีดยาปฏิชีวนะ
ข. ส่วนการรักษาประคับประคองตามอาการ: เช่น
- การให้ ยาแก้ปวด ยาลดไข้
- และ/หรือให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ กรณีดื่มน้ำได้น้อย และ/หรือ กินอาหารได้น้อย
โรคไฟลามทุ่งก่อผลข้างเคียงอย่างไร?
ผลข้างเคียง/ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้จากโรคไฟลามทุ่ง คือ
- การติดเชื้อลุกลามจากการติดเชื้อที่ผิวหนัง กลายเป็นการติดเชื้อในกระแสโลหิต (ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ)
- การติดเชื้อจากผิวหนังลุกลามไปตามระบบน้ำเหลืองสู่ ต่อมน้ำเหลือง เช่น ต่อมน้ำเหลืองบริเวณขาหนีบ ทำให้เกิดต่อมน้ำเหลืองอักเสบ เช่น บวม เจ็บ
- การติดเชื้อที่ผิวหนังเองที่ลุกลามรุนแรง เกิดเป็น แผล หนอง และ หลอดเลือดอักเสบ
โรคไฟลามทุ่งมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
โดยทั่วไป โรคไฟลามทุ่ง มีการพยากรณ์โรคที่ดี แผล/ผื่นมักหายภายในระยะเวลา 2-3 สัปดาห์หลังได้รับยาปฏิชีวนะ ซึ่งผื่นจะค่อยๆยุบลง โดยผิวหนังส่วนที่เคยติดโรคจะลอกเป็นขุย และไม่มีแผลเป็นเกิดตามมา
อย่างไรก็ตาม ในรายที่มีโรคประจำตัวที่มีอาการบวมร่วมด้วย เช่น ขาบวมเรื้อรัง พบการกลับเป็นซ้ำตำแหน่งเดิมได้ประมาณ 20%
ดูแลตนเองอย่างไร?
การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคไฟลามทุ่ง ได้แก่
- ปฏิบัติตามแพทย์ พยาบาล แนะนำ โดยเฉพาะในการดูแลแผล/ผื่น
- กินยาปฏิชีวนะที่แพทย์สั่งให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่หยุดยาเองเมื่ออาการดีขึ้น ต้องกินยาให้หมดตามแพทย์สั่ง
- เพื่อให้การบวมของผื่นยุบเร็วขึ้น ควรนอนยกขาสูง และเดินให้น้อยลง
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ลดความรุน แรงของโรค
- พบแพทย์/มาโรงพยาบาลตามนัดเสมอ
เมื่อไหร่ต้องพบแพทย์ก่อนนัด?
กรณีที่ผู้ป่วยโรคไฟลามทุ่ง ไม่ได้นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล หรือที่แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านแล้ว (กรณีรักษาตัวในโรงพยาบาล) ให้สังเกต อาการไข้ และขนาดของผื่น
หากหลังรับการรักษา ผื่นยังลามขึ้น หรือยังคงมีไข้ ควรรีบมาพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัด เพื่อแพทย์ประเมินอาการและปรับแนวทางการรักษาใหม่
ป้องกันโรคไฟลามทุ่งอย่างไร?
การป้องกันโรคไฟลามทุ่ง คือ การสังเกตและระวังการเกิดแผลอันเป็นทางเข้าสู่ผิวหนังของเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะ เด็ก, ผู้สูงอายุ, ผู้มีโรคประจำตัว (โดยเฉพาะที่ทำให้เกิดหลอดเลือดหรือทางเดินน้ำเหลืองอุดตัน ที่มักมีอาการขาหรือแขนบวมเรื้อรัง) เพราะอาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียที่นำไปสู่โรคไฟลามทุ่งได้ง่าย
ซึ่งถ้าพบมีแผล ต้องรีบรักษาความสะอาด และ/หรือรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลถ้าแผลไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วันหลังการดูแลตนเอง
บรรณานุกรม
- Lowell A Goldsmith , Stephen I Katz , Barbara A Gilchrest,Amy S.Paller ,David J. Leffell,Klaus Wolff,Amy S. Paller, David J.Leffell ; Fitzpatrick's dermatology in general medicine ; eighth edition ; Mc Grawhill medical
- Erysepelas : medscape ; https://emedicine.medscape.com/article/1052445-overview#showall [2020,June6]
- ปรียา กุลละวณิชย์, ประวิตร พิศาลบุตร บรรณาธิการ. ตำราโรคผิวหนังในเวชปฏิบัติปัจจุบัน Dermatology 2020 พิมพ์ครั้งที่ 1 กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ โฮลิสติก พับลิชชิ่ง. 2555