เลฟลูโนไมด์ (Leflunomide)
- โดย ภก.วิชญ์ภัทร ธรานนท์
- 19 มิถุนายน 2565
- Tweet
สารบัญ
- บทนำ: คือยาอะไร?
- ยาเลฟลูโนไมด์มีสรรพคุณ (คุณสมบัติ) รักษาโรคอะไร?
- ยาเลฟลูโนไมด์มีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?
- ยาเลฟลูโนไมด์มีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?
- ยาเลฟลูโนไมด์มีขนาดรับประทานหรือวิธีใช้ยาอย่างไร?
- เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?
- หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร?
- ยาเลฟลูโนไมด์มีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?
- มีข้อควรระวังการใช้ยาเลฟลูโนไมด์อย่างไร?
- ยาเลฟลูโนไมด์มีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?
- ควรเก็บรักษายาเลฟลูโนไมด์อย่างไร?
- ยาเลฟลูโนไมด์มีชื่ออื่นอีกไหม? ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- ยารักษาโรค (Pharmaceutical drug)
- ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด
- โรคติดเชื้อไซโตเมกาโลไวรัส โรคติดเชื้อซีเอมวี (Cytomegalovirus infection: CMV infection)
- โรคข้อรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis)
- โรคภูมิต้านตนเอง โรคออโตอิมมูน (Autoimmune disease)
- ยาปรับเปลี่ยนการดำเนินโรครูมาตอยด์ (Disease-modifying anti-rheumatic drugs: DMARDs)
- ข้ออักเสบสะเก็ดเงิน (Psoriatic arthritis)
- แอแนฟิแล็กซิส: ปฏิกิริยาภูมิแพ้รุนแรงเฉียบพลัน (Anaphylaxis)
- สะตีเวนส์จอห์นสัน (Stevens-Johnson syndrome)
บทนำ: คือยาอะไร?
เลฟลูโนไมด์ (Leflunomide) หรือชื่อการค้าในประเทศไทยคือ ‘อะลาวา (Arava)’ คือ ยาในกลุ่มยาปรับเปลี่ยนการดำเนินโรครูมาตอยด์(Disease Modifying Anti-Rheumatic Drug ย่อว่า DMARDs) มีข้อบ่งใช้สำหรับการรักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์/โรคข้อรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis, RA) เพื่อลดอาการและอาการแสดงของโรคข้อรูมาตอยด์ โดยลดการทำลายข้อและเนื้อกระดูก เพิ่มความสามารถการทำงานของกระดูก ซึ่งสามารถเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้
ยาเลฟลูโนไมด์ สามารถออกฤทธิ์เพื่อลดการอักเสบได้อย่างรวดเร็วกว่ายารักษาโรคข้อรูมาตอยด์ชนิดอื่นๆ และยังมีผลอาการไม่พึงประสงค์ (ผลข้างเคียง) จากการใช้ยาที่ไม่รุนแรงเมื่อเทียบกับยาชนิดอื่นๆในกลุ่ม DMARDs เช่น เมทโทเทร็กเซท (Methotrexate), ซัลฟาซาลาซีน (Sulfasalazine), ไซโคลสปอริน (Cyclosporin), อาซาไทโอปีน (Azathiopine) เป็นต้น จึงเป็นยาที่มีประสิทธิภาพดีในการรักษาโรคข้อรูมาตอยด์ และเพิ่มความร่วมมือในการใช้ยาจากผู้ป่วยในแง่อาการไม่พึงประสงค์น้อย
นอกจากนี้ ยานี้ยังมีกลไกยับยั้งการรวมกลุ่มของกลุ่มอนุภาคที่สมบูรณ์ของไวรัส (virion assembly) ซึ่งเป็นขั้นตอนหนึ่งของการสร้างไวรัส ดังนั้นยาเลฟลูโนไมด์ยังถูกนำมาใช้เป็นยาเสริมในการรักษาโรคติดเชื้อซีเอมวี
ยาเลฟลูโนไมด์มีสรรพคุณ (คุณสมบัติ) รักษาโรคอะไร?
ยาเลฟลูโนไมด์ (Leflunomide) มีสรรพคุณ/ข้อบ่งใช้:
- รักษาโรคข้อรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis, RA) เพื่อลดอาการและอาการแสดงของโรคข้อรูมาตอยด์ ลดการทำลายข้อและเนื้อกระดูก และเพิ่มความสามารถการทำงานของกระดูก ถือว่าเป็นยาในกลุ่มปรับเปลี่ยนการดำเนินโรคฯ
- นอกจากนี้
- ยาเลฟลูโนไมด์ ยังถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อซีเอ็มวี (Cytomagalovirus, CMV) ในผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะและไม่ตอบสนองต่อการรักษาการติดเชื้อไวรัสซีเอ็มวีด้วยสูตรยามาตรฐาน และ
- ยังนำมาใช้ป้องกันการเกิดภาวะต่อต้านอวัยวะที่ปลูกถ่ายในผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ
ยาเลฟลูโนไมด์มีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?
กลไกการออกฤทธิ์ของยาเลฟลูโนไมด์ คือ ตัวยาจะเข้ายับยั้งการสังเคราะห์สารที่เกี่ยวข้องกับสารพันธุกรรมที่มีชื่อว่า’ไพริมิดีน (Pyrimidine)’ ซึ่งเป็นกรดนิคลีอิก (Neucleic acid) เพื่อลดการสร้างใหม่ของสารพันธุกรรมดีเอ็นเอ (DNA) และอาร์เอ็นเอ (RNA) ซึ่งส่งผลต่อการลดกระบวนการออกฤทธิ์เพื่อต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory effect) และยับยั้งกระบวนการแบ่งตัว (Anti-periferative effect) ของเซลล์ จึงนำมารักษาโรคข้อรูมาตอยด์ได้
และยาเลฟลูโนไมด์ยังสามารถเข้าขัดขวางการรวมกลุ่มของกลุ่มอนุภาคที่สมบูรณ์ของไวรัส (Virion assembly) จึงสามารถนำมาใช้เป็นยาเสริม (Adjunctive therapy) เพื่อร่วมในการรักษาโรคติดเชื้อซีเอ็มวีได้
ยาเลฟลูโนไมด์มีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?
รูปแบบที่มีจำหน่ายของยาเลฟลูโนไมด์:
- ยาเม็ดเคลือบฟิล์ม (Film-coated tablet) สำหรับรับประทาน ขนาด 20 และ 100 มิลลิกรัมต่อเม็ด
ยาเลฟลูโนไมด์มีขนาดรับประทานหรือวิธีใช้ยาอย่างไร?
ยาเลฟลูโนไมด์มีขนาดรับประทานหรือวิธีใช้ยา เช่น
- ขนาดยาเลฟลูโนไมด์สำหรับการรักษาโรคข้อรูมาตอยด์(Rheumatoid arthritis, RA) ในผู้ใหญ่: เริ่มต้นด้วยขนาดยา 100 มิลลิกรัมวันละ 1 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน จากนั้นลดขนาดยาลงเป็น 20 มิลลิกรัมวันละ 1 ครั้ง (แพทย์จะพิจารณาลดขนาดยาเป็น 10 มิลลิกรัมวันละ 1 ครั้งได้ กรณีผู้ป่วยไม่สามารถทนต่ออาการไม่พึงประสงค์/ผลข้างเคียงจากยา)
*หมายเหตุ: แพทย์อาจพิจารณาเริ่มต้นขนาดยาด้วย 20 มิลลิกรัมต่อวัน กรณีผู้ป่วยมีความเสี่ยงเกี่ยวกับภาวะตับบกพร่อง หรือการเกิดภาวะกดการทำงานของไขกระดูก
- ขนาดยาเลฟลูโนไมด์สำหรับการรักษาโรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน(Psiriatic arthritis) ในผู้ ใหญ่: เริ่มต้นด้วยขนาดยา 100 มิลลิกรัมวันละ 1 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน จากนั้นแพทย์จะพิจารณาปรับลดขนาดยาลงเป็น 20 มิลลิกรัมวันละ 1 ครั้ง
- ขนาดยาเลฟลูโนไมด์สำหรับการรักษาโรคติดเชื้อไวรัสซีเอ็มวีที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษา ด้วยยามาตรฐาน: ขนาดยา 100 - 200 มิลลิกรัมวันละ 1 ครั้งเป็นเวลา 5 - 7 วัน จากนั้นแพทย์จะพิจารณาลดขนาดยาลงเป็น 40 - 60 มิลลิกรัมวันละ 1 ครั้ง
- วิธีการขจัดยาเลฟลูโนไมด์สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับยาเลฟลูโนไมด์เกินขนาด/สตรีที่ต้องการมีบุตรและได้รับยาเลฟลูโนไมด์โดยอุบัติเหตุ/ผู้ที่ได้รับพิษจากยานี้: รับประทานยาโคเลสไทรามีน(Cholestyramine) ครั้งละ 8 กรัมวันละ 3 ครั้งเป็นเวลา 11 วัน โดยระยะเวลาในการให้ยาอาจขึ้น กับอาการทางคลินิกของผู้ป่วยเช่นกัน
- ขนาดยาสำหรับการรักษาเสริมในโรคติดเชื้อไวรัสซีเอ็มวี: ขนาดยาอ้างอิงจากการศึกษาในหลอดทดลอง เริ่มต้นด้วยขนาดยา 100 มิลลิกรัมวันละ 1 ครั้งเป็นเวลา 3 - 5 วัน จากนั้นแพทย์จะพิจารณาลดขนาดยาลงเป็น 20 - 40 มิลลิกรัมวันละ 1 ครั้ง
- ขนาดยาสำหรับผู้ป่วยที่มีการทำงานของไตบกพร่อง: ไม่จำเป็นต้องปรับขนาดยาในผู้ ป่วยที่มีภาวะไตบกพร่อง
- ขนาดยาสำหรับผู้ป่วยที่มีการทำงานของตับบกพร่อง: ไม่จำเป็นต้องปรับขนาดยาในผู้ ป่วยที่มีภาวะตับบกพร่อง แต่แนะนำให้หยุดการใช้ยาเลฟลูโนไมด์หากค่าเอนไซม์การทำงานของตับ (ค่า ALT: Alanine aminotransferase) เพิ่มสูงขึ้นมากกว่าหรือเท่ากับ 3 เท่าของค่าสูงสุดของผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ
*อนึ่ง:
- เด็ก(นิยามคำว่าเด็ก): การใช้ยาเลฟลูโนไมด์ในเด็ก ยังไม่มีข้อมูลความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการใช้ยานี้ในเด็กและในทารก การใช้ยานี้ในผู้ป่วยกลุ่มนี้จึงอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษา
- ห้ามแบ่งยาให้ผู้อื่นใช้
- ห้ามใช้ยาหมดอายุ
- ห้ามเก็บยาหมดอายุ
*****หมายเหตุ: ขนาดยาและระยะเวลาในการใช้ยาที่ระบุในบทความนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำสั่งใช้ยาของแพทย์ผู้รักษาได้ การใช้ยาที่เหมาะสมควรต้องปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
เมื่อมีการสั่งยาควรแจ้งแพทย์/พยาบาลและเภสัชกรอย่างไร?
เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมทั้งยาเลฟลูโนไมด์ ผู้ป่วยควรแจ้ง แพทย์ พยาบาล และ เภสัชกร เช่น
- ประวัติแพ้ยา/แพ้อาหาร/แพ้สารเคมีทุกชนิด
- มีโรคประจำตัวต่างๆ รวมทั้งกำลังกินยา/ใช้ยาอะไรอยู่ เพราะยาเลฟลูโนไมด์อาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรืออาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆที่กิน/ที่ใช้อยู่ก่อนแล้ว
- หากเป็นสุภาพสตรีควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์/มีครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร เนื่องจากยาเลฟลูโนไมด์มีผลพิษต่อทารกในครรภ์ อาจก่อให้ทารกเกิดความพิการขึ้นได้ อีกทั้งหากอยู่ในช่วงให้นมบุตร แนะนำให้หลีกเลี่ยงการให้นมบุตร เพราะยานี้ถูกขับออกทางน้ำนมอาจก่อให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์/ผลข้างเคียงรุนแรงแก่บุตร รวมถึงสตรีที่ต้องการจะมีบุตรควรหลีกเลี่ยงการใช้ยานี้
หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร?
แนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานยาเลฟลูโนไมด์ให้ตรงเวลาทุกวัน โดยอาหารไม่มีผลต่อการดูดซึมยา จึงสามารถรับประทานยาเลฟลูโนไมด์ได้ทั้งขณะท้องว่างหรือหลังอาหาร ดังนั้นการเลือกช่วงเวลาในการรับประทานยาจึงไม่ต้องคำนึงถึงมื้ออาหาร โดยปกติแล้วยาเลฟลูโนไมด์จะรับประทานวันละ 1 ครั้ง
กรณีวิธีการรับประทานยาเพียงวันละ 1 ครั้ง เพื่อให้ระดับยาในร่างกายคงที่และมีประสิทธิภาพ จึงควรรับประทานยาในเวลาเดียวกันของทุกวัน
กรณีลืมรับประทานยาและมีวิธีการรับประทานยาเพียงวันละ 1 ครั้ง ให้รับประทานยาทันทีที่นึกขึ้นได้ แต่หากใกล้กับเวลาที่ต้องรับประทานยามื้อถัดไป (วันถัดไป) ให้รอรับประทานยามื้อถัด ไปเลยโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เท่าเช่น ปกติรับประทานยาเวลา 8.00 น. หากผู้ป่วยนึกขึ้นได้ว่าลืมรับประทานยามื้อ 8.00 น. ตอนเวลา 15.00 น. ก็ให้รับประทานยามื้อ 8.00 น. ทันทีที่นึกขึ้นได้ แต่หากนึกขึ้นได้ในช่วงที่ใกล้กับช่วงเวลาของยามื้อถัดไป (หมายถึงเกินกว่า 12 ชั่วโมงจากเวลารับประทานยาปกติ) เช่น นึกขึ้นได้ว่าลืมรับประทานยามื้อ 8.00 น. ตอนเวลา 22.00 น. ของวันนั้น ให้รอรับประทานยามื้อถัดไปในขนาดยาปกติช่วงเวลาเดิมได้เลย โดยไม่ต้องนำยามื้อที่ลืมรับประทานมารับประทานเพิ่ม
ยาเลฟลูโนไมด์มีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?
ผล/อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา(ผลข้างเคียง)ของยาเลฟลูโนไมด์ เช่น
ก. ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย: เช่น
- อาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น กระเพาะอาหารอักเสบ เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย หรือท้องผูก
- อาการทางผิวหนังเช่น พบผื่นเป็นจุด หรือตุ่มนูนที่ผิวหนัง ผมร่วง
- อาการทางระบบประสาท อาจทำให้เกิดอาการปวดหัว, หรืออาการปวดเนื้อตัว
ข. ผลข้างเคียงอื่นที่พบได้น้อยแต่ร้ายแรงและอาจเป็นอันตรายถึงตายได้ : เช่น
- อาการแพ้ยาอย่างรุนแรงเฉียบพลันที่เรียกว่า แอแนฟิแล็กซิส (Anaphylactic shock, Anaphylaxis)
- กลุ่มอาการผื่นแพ้ยารุนแรง เช่น กลุ่มอาการสตีเวนส์จอห์นสัน (Stevens Johnson Syndrome: SJS) หรือ เทนส์ (Toxic Epidermal Necrolysis: TEN)
- ภาวะกดไขกระดูก (Bone Marrow Suppression) ที่ส่งผลทำให้เกิดภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ, ซีด, และเกล็ดเลือดต่ำ จึงเสี่ยงต่อการเกิดการติดเชื้อโรค, ภาวะซีดทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย และมีเลือดออกผิดปกติได้ง่าย
มีข้อควรระวังการใช้ยาเลฟลูโนไมด์อย่างไร?
มีข้อควรระวังการใช้ยาเลฟลูโนไมด์ เช่น
- ห้ามใช้กับผู้ป่วยที่แพ้ยานี้หรือแพ้ส่วนประกอบของยานี้
- ยานี้อาจทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้รักษาเท่านั้น
- การใช้ยาเลฟลูโนไมด์ในเด็ก ยังไม่มีข้อมูลความปลอดภัยและประสิทธิภาพในเด็กและทารก
- การใช้ยาเลฟลูโนไมด์ในผู้สูงอายุไม่จำเป็นต้องปรับขนาดยา ใช้ยาตามขนาดยาของผู้ ใหญ่
- การใช้ยาเลฟลูโนไมด์ในช่วงกำลังตั้งครรภ์ เนื่องจากยาเลฟลูโนไมด์มีผลพิษต่อทารกในครรภ์อาจก่อให้ทารกเกิดความพิการขึ้นได้ อีกทั้งหากอยู่ในช่วงให้นมบุตร แนะนำให้หลีกเลี่ยงการให้นมบุตร เพราะยาถูกขับออกทางน้ำนมอาจก่อให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์รุนแรงแก่บุตร จึงควรพิจารณาหยุดให้นมบุตรหากมารดากำลังได้รับยานี้อยู่ หรือหยุดการใช้ยานี้ในช่วงที่กำลังตั้งครรภ์ และหรือกำลังให้นมบุตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความจำเป็นของมารดาต่อภาวะที่กำลังเป็นอยู่ โดยควรอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา
- ผู้ป่วยที่มีประวัติความเจ็บป่วยเดิมเกี่ยวกับวัณโรค ควรได้รับการรักษาวัณโรคก่อนเริ่มใช้ยา เลฟลูโนไมด์
- ผู้ป่วยที่มีภาวะการทำงานของไตผิดปกติจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดพิษจากยาเลฟลูโนไมด์ได้
- ไม่แนะนำให้ใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่มีการทำงานของตับผิดปกติเนื่องจากจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะตับอักเสบ
- ไม่แนะนำให้ใช้ยาในผู้ป่วยที่มีภาวะกดการทำงานของไขกระดูก(Bone Marrow Suppres sion: ส่งผลทำให้เกิดภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ, โลหิตจาง /ซีด และเกล็ดเลือดต่ำ จึงเสี่ยงต่อการเกิดการติดเชื้อโรค, ภาวะซีดทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย และเลือดออกผิดปกติได้ง่าย)
- ไม่แนะนำให้ใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่มีการทำงานของปอดผิดปกติ เนื่องจากยานี้สามารถทำให้เกิดโรคของเนื้อเยื่อในปอด (Interstitial lung disease เช่น พังผืดในปอด)
***** อนึ่ง: ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ ”ยา” ที่รวมถึงยาแผนปัจจุบันทุกชนิด (รวม ถึงยาเลฟลูโนไมด์ด้วย) ยาแผนโบราณ อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ทุกชนิดและสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกชนิดควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ (อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอด้วยเช่นกัน
ยาเลฟลูโนไมด์มีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?
ยาเลฟลูโนไมด์มีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่น เช่น
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาเลฟลูโนไมด์ ร่วมกับยาเมทโทเทร็กเซท(Methotrexate: ยากดภูมิ คุ้มกัน, ยาเคมีบำบัด, ยารักษาโรคข้อและโรคกระดูก) เนื่องจากจะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดผลพิษต่อตับและต่อภาวะกดการทำงานของไขกระดูก
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาเลฟลูโนไมด์ ร่วมกับยาวาร์ฟาริน (Warfarin: ยาต้านการแข็งตัวของเลือด) เนื่องจากจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะเลือดออกผิดปกติ
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาเลฟลูโนไมด์ ร่วมกับวัคซีนชนิดเชื้อเป็น (Live vaccines: หมายถึง วัค ซีนเชื้อเป็นที่ถูกผลิตขึ้นโดยใช้เชื้อโรคมาทำให้อ่อนฤทธิ์ลงจนไม่สามารถทำให้เกิดโรค แต่เชื้อยังมีฤทธิ์เพียงพอที่จะกระตุ้นภูมิคุ้มกันฯของร่างกายได้ เพื่อให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันฯต่อเชื้อโรคนั้นๆ ตัวอย่างวัคซีนเชื้อเป็นเช่น วัคซีนหัด-หัดเยอรมัน-คางทูม (วัคซีนเอ็มเอ็มอาร์) , วัคซีนอีสุกอีใส, วัคซีนโปลิโอชนิดกิน, วัคซีนไวรัสโรต้า, และวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิดพ่นจมูก เป็นต้น) ดังนั้น ในช่วงที่กำลังได้รับยาเลฟลูโนไมด์อยู่และจำเป็นต้องได้รับวัคซีนชนิดเชื้อเป็น อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดการติดเชื้อจากวัคซีนชนิดเชื้อเป็นนั้นๆได้เพราะภูมิคุ้มกันฯของผู้ป่วยจะลดลง เชื้อโรคที่อ่อนฤทธิ์อาจจะก่อโรคได้ในช่วงนี้
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาเลฟลูโนไมด์ ร่วมกับยาไรแฟมปิซิน (Rifampicin: ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย, ยาต้านวัณโรค) เนื่องจากระดับยาเลฟลูโนไมด์อาจจะลดลงเพราะยาไรแฟมปิซินสามารถเพิ่มการทำ งานของเอนไซม์ทำลายยาเลฟลูโนไมด์ได้
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาเลฟลูโนไมด์ ร่วมกับยาโคเลสไทรามีน(Cholestyramine: ยาลดไขมันในเลือด) จะทำให้ระดับยาเลฟลูโนไมด์ลดลงเนื่องจากยาโคเลสไทรามีนจะลดการดูดซึมยาเลฟลูโนไมด์ โดยรบกวนกระบวนการดูดซึมยาผ่านตับและขับยาออกทางท่อน้ำดีที่สามารถถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดอีกครั้งหนึ่ง(Enterohepatic recirculation) แนะนำให้หยุดใช้ยาโคเลสไทรามีนขณะที่ผู้ป่วยได้รับยาเลฟลูโนไมด์
ควรเก็บรักษายาเลฟลูโนไมด์อย่างไร?
แนะนำเก็บยาเลฟลูโนไมด์:
- เก็บยา ณ อุณหภูมิห้อง
- ห้ามเก็บยาในช่องแช่แข็งของตู้เย็น
- เก็บยาให้พ้นจากแสงแดดและแสงสว่างที่กระทบยาได้โดยตรง
- หลีกเลี่ยงนำยาสัมผัสกับความร้อนที่มาก เช่น เก็บยาในรถที่ตากแดด หรือเก็บยาในห้องที่มีอุณหภูมิสูง มีแสงแดดส่องถึงทั้งวันหรือเป็นเวลานาน
- ไม่เก็บยาในห้องที่ชื้น เช่น ห้องน้ำหรือห้องครัว
- ควรเก็บยาในภาชนะบรรจุเดิม
- เก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
ยาเลฟลูโนไมด์มีชื่ออื่นอีกไหม? ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?
ยาเลฟลูโนไมด์ มียาชื่อการค้าอื่น และบริษัทผู้ผลิต เช่น
ชื่อการค้า | บริษัทผู้ผลิต |
---|---|
Arava (อะลาวา) tablet 20, 100 mg | Sanofi-aventis |
บรรณานุกรม
- Andrew A and Paul E. Leflunomide: a novel DMARD for the treatment of rheumatoid arthritis. Exp Opn Pharmacother 2001.
- Chacko B and John GT. Leflunomide for cytomegalovirus: bench to bedside. Transpl Infect Dis 2012;14:111-120
- Lacy CF. Amstrong LL, Goldman MP, Lance LL. Drug Information handbook. 20th ed. Ohio: Lexi-Comp,Inc.; 2011-12.
- Product Information: Arava, Leflunomide, Sanofi-aventis, Thailand.
- TIMS (Thailand). MIMS. 130th ed. Bangkok: UBM Medica ;2013
- https://www.mims.com/thailand/drug/info/leflunomide?mtype=generic [2022,June18]
- https://www.mims.com/thailand/drug/info/arava?type=full [2022,June18]