สายตาผิดปกติ (Refractive error)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต
- 5 กรกฎาคม 2563
- Tweet
- บทนำ
- ดวงตาทำงานอย่างไร เราจึงมองเห็นได้?
- สายตาผิดปกติมีกี่ชนิด? อะไรบ้าง?
- สายตาผิดปกติเกิดจากอะไร?
- รักษา(แก้ไข)สายตาผิดปกติได้อย่างไร?
- ควรพบหมอตาเมื่อไร?
- กายวิภาคและสรีรวิทยาของตา (Anatomy and physiology of the eye)
- โรคตา โรคทางตา (Eye disease)
- สายตาสั้น (Nearsighted)
- สายตายาว (Farsighted)
- สายตาเอียง (Astigmatism)
- เลสิค (Lasik)
- สายตาผู้สูงอายุ (Presbyopia)
- การแก้ไขสายตาผิดปกติด้วยวิธีผ่าตัด (Refractive surgery)
บทนำ
ลูกตา (Eye) เป็นอวัยวะสัมผัสที่สำคัญอวัยวะหนึ่งของคนเรา มีหน้าที่สำคัญคือ การมอง เห็น ซึ่งการมองเห็นก่อให้เกิดการเรียนรู้ได้ดีกว่าการได้ยินหรือการใช้สัมผัสอื่นๆ แต่บ่อยครั้ง เรามักเกิดความผิดปกติในสายตา (Refractive error) เช่น มองภาพไกลหรือใกล้ไม่ชัด เป็นต้น
ภาวะต่างๆเหล่านี้ เมื่อเรารู้จักว่ามันคืออะไร จะช่วยให้เราสามารถพบหมอตา (จักษุแพทย์) ได้รวดเร็วขึ้น จึงช่วยลดปัญหาในการแก้ไขสายตาลงได้
ดวงตาทำงานอย่างไร เราจึงมองเห็นได้?
![สายตาผิดปกติ สายตาผิดปกติ](https://haamor.com/media/images/articlepics/สายตาผิดปกติ-01.jpg)
ลูกตาคนเรามีรูปทรงกลมขนาดเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5 เซ็นติเมตร มีการทำ งานกันอย่างไรจึงทำให้เรารับรู้การเห็นได้
มีคนเปรียบเทียบลูกตาคนเราเหมือนกล้องถ่ายรูป มีกระจกตา (ตาดำ) และ แก้วตา ทำหน้าที่เหมือนเลนส์สำหรับโฟกัสภาพ มี จอตา ทำหน้าที่เหมือนฟิล์ม
การมองเห็นเริ่มจากแสงจากวัตถุ ผ่านกระจกตาและแก้วตา ซึ่งทำหน้าที่เหมือนเลนส์ 2 อัน กระจกตาเป็นเลนส์อันแรก มีกำลังโฟกัสคงที่ ส่วนแก้วตาทำหน้าที่เป็นเลนส์อีกอันที่ปรับ และเปลี่ยนแปลงโดยการเพิ่มหรือลดกำลังได้ เพื่อช่วยการมองเห็นชัดในระยะต่างๆได้ดีขึ้น
ขบวนการปรับกำลังเลนส์ของแก้วตาเป็นไปโดยอัตโนมัติตั้งแต่เกิด แต่จะค่อยๆเสื่อมลงเมื่ออายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป
เมื่อแสงจากวัตถุ ผ่านระบบเลนส์ของตาคนเรา จะหักเหไปโฟกัสที่จอตา ซึ่งอยู่ส่วนหลังของลูกตา จอตาจะส่งสัญญาณไปยังขั้วประสาทตา ซึ่งเป็นกระจุกอยู่ที่ขั้วหลังสุดของลูกตา (มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 มม.)
จากขั้วประสาทตานี้จะส่งกระแสไฟฟ้า รับรู้การเห็นไปตามเส้นประสาทตา ซึ่งเป็นทางเดินภายในเนื้อสมอง ไปสุดที่บริเวณท้ายทอย ซึ่งเป็นศูนย์การรับรู้การเห็น ทำให้เรารับรู้ว่า มีภาพอะไรอยู่ข้างหน้า
กลไกการมองเห็นที่เป็นทอดๆ จนส่งไปถึงสมอง ใช้เวลาสั้นมาก แต่เป็นกระบวนการที่ค่อนข้างละเอียดและซับซ้อน หากมีอะไรมาขัดขวางกระบวนการนี้ การมองเห็นจะสะดุดทันที
สายตาผิดปกติมีกี่ชนิด? อะไรบ้าง?
กระบวนการมองเห็นที่เกิดเฉพาะในลูกตาที่ปกติไม่มีโรค เริ่มจากแสงจากวัตถุระยะไกล(ประมาณ 20 ฟุต) ผ่านกระจกตาและแก้วตา มีการหักเหของแสงเพื่อโฟกัสที่จอตา ถ้าโฟกัสที่จอตาพอดี ทำให้มองเห็นได้ชัดเจน นั่นคือ สายตาปกติ
ถ้าแสงมาโฟกัสหน้าจอตา จะเกิดเป็นสายตาสั้น (myopia/ไมโอเปีย) แต่ถ้าโฟกัสหลังจอตา จะเกิดเป็นสายตายาว (Hyperope/ไฮเปอร์โอป) ถ้าแสงจากแนวนอนและแนวตั้งโฟกัสคนละจุดกัน จะเกิดเป็นสายตาเอียง (astigmatism/แอสติกมาติซึม)
- ภาวะสายตาสั้น: อาจเกิดจากกำลังหักเหของแสงของกระจกตาและแก้วตามากเกินไป หรือเมื่อกำลังหักเหของแสงปกติ ก็อาจจากลูกตายาวเกินไปหรือตาโตเกินไป ในกรณีนี้ถ้าภาพ หรือวัตถุอยู่ไกลแสง แสงจะโฟกัสหน้าจอตา จึงมองเห็นไม่ชัด แต่ถ้าภาพหรือวัตถุอยู่ในระยะ ใกล้แสง แสงจะโฟกัสตกที่จอตาพอดี จึงเห็นภาพได้ชัด จึงทำให้คนสายตาสั้น มองภาพระยะ ไกลไม่ชัด แต่มองที่ใกล้ๆชัด นั่นคือที่มาของคำว่า สายตามองใกล้ (Nearsighted) หมายถึงมองได้ชัดในระยะสั้นๆ
- ภาวะสายตายาว: อาจเกิดจากกำลังหักเหแสงของกระจกตาและแก้วตาน้อยเกินไป หรือจากลูกตาสั้นเกินไป (ตาเล็ก) ในกรณีนี้ไม่ว่าวัตถุจะอยู่ไกลหรือใกล้ ก็จะมาโฟกัสหลังจอตา แต่เนื่องจากแก้วตาคนเราสามารถยืดหยุ่นได้ สามารถปรับให้มีกำลังโฟกัสมากขึ้นได้ ถ้าโฟกัสหลังจอตาไม่มากนัก และแก้วตาของคนนั้นยังยืดหยุ่นได้ดี (อายุน้อยกว่า 40 ปี) แก้วตาของคนนั้นก็จะปรับตาเพิ่มกำลังโดยอัตโนมัติ ทำให้ภาพจากวัตถุไกลมาโฟกัสที่จอตาพอดีได้ และในทำนองเดียวกันถ้าสายตายาวไม่มากและกำลังยืดหยุ่นของแก้วตายังดีมาก ก็สามารถทำให้ภาพจากวัตถุใกล้มาโฟกัสที่จอตาได้ ผู้มีสายตายาวจึงอาจจะมองชัดทั้งไกลหรือใกล้ หรือมองไกลชัด มองใกล้ไม่ชัด หรือมองไม่ชัดทั้งไกลและใกล้ ขึ้นอยู่กับขนาดของสายตายาวและกำลังความสามารถของแก้วตาที่จะยืดหยุ่นเพิ่มกำลัง (ตามอายุ)
และเพราะต้องปรับตัวเพิ่มกำลังแก้วตาอยู่ตลอดเวลา ก่อให้เกิดการเกร็งของ กล้ามเนื้อของตา ทำให้มีอาการตาล้า ปวดเมื่อยตาได้ง่าย ผู้มีสายตายาวจึงอาจมาพบแพทย์ ด้วยมีอาการปวดศีรษะ ตาล้า ปวดตา ทั้งๆที่สายตาปกติได้ (หมายถึง มองเห็นชัดเหมือนคนปกติ)
- ภาวะสายตาเอียง: มักพบปนไปกับสายตาสั้นหรือสายตายาว ส่วนใหญ่เกิดจากความโค้งของกระจกตาในแต่ละแนวไม่เท่ากัน ทำให้แสงโฟกัสเกิดกระจายหลายจุด จึงส่งผลให้เห็นภาพไม่ชัดและปวดเมื่อยตา ส่วนน้อยเกิดจากแก้วตาซึ่งอยู่คลาดเคลื่อนไปจากที่ควร
ภาวะสายตาเอียงมักเป็นสาเหตุของอาการปวดเมื่อยตาที่สำคัญ มากกว่าเป็นสา เหตุให้เห็นภาพไม่ชัด
คนทั่วไปมักจะเข้าใจว่าตาเอียง คือ ความผิดปกติของตำแหน่งที่อยู่ของลูกตา หรือตาเข โดยความเป็นจริงแล้ว ตาเอียงเป็นภาวะที่มองด้วยตาเปล่าจะตรวจไม่พบ ไม่ได้เกี่ยวกับตำแหน่งของลูกตา ส่วนตาเขเกี่ยวกับตำแหน่งของลูกตาซึ่งไม่อยู่ตรงกลางเมื่อมองตรงไปข้าง หน้า ภาวะตาเขจึงสังเกตได้ด้วยตาเปล่า แต่ตาเอียงใช้ตาเปล่าบอกไม่ได้
- สายตาผู้สูงอายุ (Presbyopia /เพรสไบโอเปีย): บางคนมักจะใช้คำว่าสายตายาวจึงทำให้สับสนกับสายตายาวที่กล่าวแล้วในข้างต้น จริงอยู่ เป็นภาวะที่ต้องแก้ไขด้วยเลนส์นูนเช่น เดียวกัน แต่เป็นคนละโอกาสกัน
สายตาผู้สูงอายุเกิดจากความสามารถในการเพิ่มกำลังเพ่ง เพื่อปรับแก้วตาให้มีกำลังหักเหเพิ่มขึ้น เพื่อดูวัตถุระยะใกล้ลดลงตามอายุ กล่าวคือ ในเด็ก กำลังเพ่งนี้มีประสิทธิ ภาพดีมากจนถึงอายุประมาณ 40 ปี กำลังเพ่งนี้จะลดลง ทำให้คนอายุ 40 ปีมองใกล้ไม่ชัด จำ เป็นต้องใช้แว่นเลนส์นูนช่วยเมื่อต้องการดูของใกล้ๆ แต่ขณะมองไกลไม่ต้องใช้แว่น หรือถ้านำมาใช้ อาจกลับทำให้ตามัวลง
สายตาผิดปกติเกิดจากอะไร?
ภาวะสายตาผิดปกติ มิใช่เป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นตลอด มีการเปลี่ยนแปลงตามอายุ ได้มีการศึกษาพบว่า คนทั่วไปเกิดมาในตอนเด็กจะเป็นสายตายาวเล็กน้อย พออายุ 3 - 4 ขวบ สายตาที่ยาวจะลดลงมาใกล้เคียงปกติ และสายตาจะสมบูรณ์ปกติในราวอายุ 13 - 15 ปี อันนี้คือ คนที่เกิดมามีสายตาปกติทั่วไป
สาเหตุของสายตาที่ผิดปกติ ยังไม่อาจสรุปได้แน่ชัดว่าเกิดจากอะไร แต่มีปัจจัยต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น เชื้อชาติ กรรมพันธุ์ ภาวะสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการทำงานที่ใช้สายตาดูใกล้เป็นเวลานาน ยกตัวอย่างเช่น คนญี่ปุ่นและชาวจีน จะมีสายตาสั้นมากกว่าคนไทย ชาวเอสกิโมและอเมริกันอินเดีย พบสายตาสั้นน้อยมาก เป็นต้น
บางคนก็เชื่อว่า คนสายตาสั้นมักจะมีเชาว์ปัญญาโดยเฉลี่ยสูงกว่าปกติ ดังจะเห็นจากนัก ศึกษาแพทย์มักจะสายตาสั้น เป็นต้น บางคนก็เชื่อว่าประชาชนในเมืองมักจะมีสายตาสั้นมากกว่าชาวชนบท
อย่างไรก็ตามถ้าสายตาผิดปกติไม่มาก ไม่เกิน 600 หรือเอียงไม่เกิน 200 ให้ถือว่าเป็นภาวะปกติไม่ใช่โรค เฉกเช่นบางคนอาจมีส่วนสูง 150 ซ.ม. หรือ 165 ซ.ม. ก็ไม่ใช่ผิดปกติแต่ถ้าสูงเพียง 100 ซ.ม. หรือถึง190 ซ.ม. ถึงจะสงสัยว่าน่าจะไม่ปกติ
รักษา(แก้ไข)สายตาผิดปกติได้อย่างไร?
การแก้ไขสายตาผิดปกติทำได้หลายวิธี ได้แก่ การใช้แว่นตาตลอดจนเลนส์สัมผัส (คอนแทคเลนส์/Contact lens) ซึ่งเป็นการแก้ไขชั่วคราว การผ่าตัดซึ่งประกอบด้วยการผ่าตัดด้วยมีด การใส่เลนส์เสริมแก้วตา (Phakic intraocular lens) และใช้แสงเลเซอร์ (ที่เรียกกันว่า เลสิค/ Lasik) ซึ่งถือว่าเป็นการแก้ไขแบบถาวร แต่ละวิธีมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป
ความจำเป็นของการแก้ไขสายตาที่ผิดปกติ จักษุแพทย์มักจะได้รับคำถามเสมอๆว่า สาย ตาสั้น ยาว หรือเอียงแค่ไหนถึงจำเป็นต้องรับการแก้ไข หลักทั่วๆไปก็คือ ถ้าความผิดปกติของสายตานั้นรบกวนหรือบั่นทอนภารกิจประจำวันหรือคุณภาพชีวิตก็จงแก้ไข เช่น
นักเรียน ถ้ามีสายตาสั้น หากต้องดูกระดานดำเวลาเรียนหนังสือถ้ามองไม่ชัดก็จะทำให้ผลการเรียนตกต่ำลง หรือถ้าสายตาเอียงหรือสายตายาวที่แม้จะมองเห็นได้ชัดเจน แต่มีอาการปวดศีรษะ ปวดตาเป็นประจำ ทั้งสองกรณี ก็จำเป็นต้องรับการแก้ไข
ในทางตรงข้าม แม้จะสายตาสั้น หรือตายาว หรือตาเอียงค่อนข้างมาก แต่ผู้นั้นไม่ต้องใช้สายตามองไกล ภารกิจประจำวันไม่เดือดร้อน ไม่มีอาการปวดตาเวลาใช้สายตา ก็ไม่จำเป็นต้องแก้ไข
อย่างไรก็ตามมีข้อสำคัญอันหนึ่งที่จำเป็นต้องแก้ไขสายตาที่ผิดปกติอย่างแน่นอน ก็คือ หากสายตาผิดปกตินั้น อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อระบบการทำงานอย่างอื่น เช่น สายตายาวจนก่อ ให้เกิดตาเข หรือสายตาผิดปกตินั้น อาจก่อให้เกิดภาวะ “ตาขี้เกียจ (ตามัว/Amblyopia)” ซึ่งหมายถึงการไม่รับรู้การเห็นอย่างถาวร มักพบเกิดในเด็ก โดยเป็นภาวะมักพบในสายตาผิดปกติที่ไม่เท่ากันระหว่างตา 2 ข้าง ในกรณีนี้ ควรรับการแก้ไขสายตาที่ผิดปกติอย่างเคร่งครัด เช่น โดยการสวมแว่นตลอดเวลา ไม่ใช่ใส่ๆถอดๆ โดยทั่วไปการแก้ไขสายตาผิดปกติในเด็กควรพิถีพิถันกว่าผู้ใหญ่ การแก้ไขที่ถูกต้อง นอกจากช่วยให้สายตาดีขึ้นแล้ว ยังทำให้การพัฒนาการของสาย ตาดำเนินไปอย่างปกติด้วย
ผู้ที่สายตาผิดปกติส่วนมากไม่ได้เป็นโรคหรือผิดไปจากคนทั่วไป ไม่ควรถือว่าเป็นปมด้อย ไม่ต้องกังวลว่าการแก้ไขจะทำให้สายตายิ่งเลวลงไปเรื่อยๆ หากสงสัยว่าตัวเองสายตาผิดปกติควรปรึกษาหมอตา (จักษุแพทย์) เพื่อรับการแก้ไขตามความเหมาะสมต่อไป
ควรพบหมอตาเมื่อไร?
ตาเป็นอวัยวะสำคัญมาก ถึงแม้โรคของตาจะไม่ทำให้เสียชีวิต แต่ส่งผลถึงคุณภาพในการมองเห็น และในบางโรคเมื่อพบหมอล่าช้า อาจเป็นสาเหตุให้ตาบอดได้ เช่น โรคต้อหิน ดังนั้น เมื่อมีอาการผิดปกติทางสายตา เช่น มองเห็นภาพไม่ชัด หรือ มองเห็นภาพมัวลง ควรรีบพบหมอตา (จักษุแพทย์) เสมอ
นอกจากนั้น วิธีดูแลตาที่ถูกต้อง คือ ควรพบหมอตาตรวจสุขภาพตาประจำปีเสมอ เริ่มได้ในทุกอายุรวมทั้งในเด็กที่พอเข้าใจวิธีการตรวจ ต่อจากนั้น หมอตาจะเป็นผู้แนะนำเองว่า ควรพบหมอตาบ่อยขนาดไหนและอย่างไร?