ลีเจียนแนร์ (Legionnaires’ disease) ลีเจียเนลโลซิส (Legionellosis) ไข้พอนเตียก(Pontiac fever)

สารบัญ

บทความที่เกี่ยวข้อง

บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?

ลีเจียเนลโลซิส(Legionellosis) คือ โรคติดเชื้อเฉียบพลันซึ่งเกิดจากร่างกายติดเชื้อแบคทีเรียในสกุล (Genus) Legionella โดยเป็นการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ 

ลีเจียเนลโลซิส เป็นโรคที่มีลักษณะทางคลินิกหรือมีธรรมชาติของโรคเป็น 2 แบบ คือ

  • โรคลีเจียนแนร์ (Legionnaires’ disease หรือ Legionnaires disease หรือ Legion fever หรือ Legionella Infection): เป็นโรคกลุ่มมีธรรมชาติของโรคที่รุนแรงอาจเป็นสาเหตุให้ถึงตายได้ โดยมักก่อให้เกิดปอดอักเสบ/ปอดบวม
  • โรคไข้พอนเตียก บางคนออกเสียงว่า ปอนเตียก (Pontiac fever): เป็นโรคกลุ่มอาการไม่รุนแรง มีอาการที่เรียกว่าโรคคล้ายไข้หวัดใหญ่ และผู้ป่วยส่วนใหญ่หายเองได้ด้วยการดูแลรักษาตนเองตามอาการ มักไม่ทำให้เสียชีวิต

ลีเจียเนลโลซิส/โรคลีเจียนแนร์/โรคไข้พอนเตียก พบทุกอายุ แต่พบได้สูงในผู้ใหญ่โดยเฉพาะในผู้ชายสูงอายุที่สูบบุหรี่ ซึ่งพบในผู้ชายสูงกว่าในผู้หญิงประมาณ 2 เท่า

ลีเจียเนลโลซิส/โรคลีเจียนแนร์/โรคไข้พอนเตียก เป็นโรคพบทั่วโลก  พบได้ประปราย ทุกฤดูกาล และสามารถก่อให้เกิดโรคระบาดได้เป็นครั้งคราว ซึ่งถ้ามีการระบาดมักระบาดในช่วงฤดูร้อนหรือช่วงก่อนฤดูใบไม้ร่วงเพราะเป็นช่วงมีอากาศเหมาะกับการเจริญเติบโตของแบคทีเรียชนิดนี้ โดยทั่วโลกพบโรคลีเจียนแนร์ได้ประมาณ 2% - 15% ของผู้ป่วยปอดบวมทั้งหมดที่รับไว้รักษาในโรงพยาบาล

อนึ่ง:

  • โรคลีเจียเนลโลซิส/โรคลีเจียนแนร์: ได้ชื่อมาจากการระบาดรุนแรงในหมู่ทหารที่เข้าร่วมการประชุมประจำปีของสมาคมทหารผ่านศึกแห่งสหรัฐอเมริกา (American Legion) ในปี ค.ศ. 1976 (พ.ศ. 2519)
  • บางคนออกเสียง’โรคลีเจียเนลโลซิส’ เป็น ‘โรคลีจิโอเนลโลซิส’, คนไทยเรียกว่า “โรคจากเครื่องปรับอากาศ”
  • โรคไข้พอนเตียก: ได้ชื่อจากชื่อเมือง Pontiac รัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ที่เกิดโรคนี้ระบาดเป็นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาในปีค.ศ.1968 (พ.ศ.2511)

โรคลีเจียเนลโลซิสเกิดจากอะไร? ติดต่อได้อย่างไร?

ลีเจียนแนร์

ลีเจียเนลโลซิส/โรคลีเจียนแนร์/โรคไข้พอนเตียก เกิดจากแบคทีเรียในสกุล Legionella ซึ่งเป็นแบคทีเรียเจริญเติบโตในน้ำอุ่นสะอาดที่แช่ค้าง ไม่ค่อยมีการไหลเวียน และมีอุณหภูมิประมาณ 25 - 45 องศาเซลเซียส (Celsius) แต่ที่เหมาะสมที่สุดคือประมาณ 35 องศาเซลเซียส ดังนั้นแหล่งของเชื้อโรคชนิดนี้ คือ บ่อน้ำร้อน  น้ำพุ  ระบบหล่อเย็นของเครื่องปรับอากาศ หรือที่ทำน้ำอุ่นของสถานที่ต่างๆเช่น โรงแรม สปาร์ โรงพยาบาล เครื่องปรับอากาศ เครื่องทำความชื้น เครื่องช่วยหายใจในสถานพยาบาล และอะควาเรียม (Aquarium) โดยเชื้อจะแพร่กระจายอยู่ในละอองน้ำจากแหล่งน้ำเหล่านี้ ทั้งนี้รวมถึงผ้าน้ำอุ่นที่ปนเปื้อนเชื้อนี้

เมื่อคนหายใจเอาเชื้อโรคนี้เข้าสู่ร่างกายก็จะก่อให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โดยเป็นการติดเชื้อเฉียบพลัน ซึ่งในผู้สูงอายุและในคนที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ เชื้อจะรุน แรงจนก่อให้เกิดปอดอักเสบ/ปอดบวมรุนแรง ซึ่งถ้าให้การรักษาไม่ทันอาจเป็นสาเหตุให้ถึงตายได้สูง บางรายงานอัตราตายสูงถึง 100%

อนึ่ง โรคลีเจียเนลโลซิส/โรคลีเจียนแนร์/โรคไข้พอนเตียก ยังไม่พบติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คน หรือ จากคนสู่สัตว์

ใครคือกลุ่มเสี่ยงของโรคลีเจียเนลโลซิส?

บุคคลที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคลีเจียเนลโลซิส/โรคลีเจียนแนร์  คือ

  • ผู้สูงอายุอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป
  • สูบบุหรี่
  • มีโรคปอดอยู่ก่อนแล้ว เช่น โรคถุงลมโป่งพอง
  • มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำเช่น คนมีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน  โรคไต โรคมะเร็ง
  • คนที่ทำงานเกี่ยวกับระบบน้ำหล่อเย็นต่างๆเช่น คนล้างทำความสะอาดระบบน้ำหล่อเย็นดังกล่าว

โรคลีเจียเนลโลซิสมีอาการอย่างไร?

ไม่มีอาการเฉพาะของโรคลีเจียเนลโลซิส/โรคลีเจียนแนร์/โรคไข้พอนเตียก  

  • ถ้าเป็นจากโรคกลุ่มที่ไม่รุนแรง/โรคไข้พอนเตียก จะไม่มีการติดเชื้อที่ปอด/ปอดบวม อาการจะคล้ายอาการของโรคไข้หวัดใหญ่ และอาการมักหายภายใน 2 - 7 วัน

อาการที่พบได้ของไข้พอนเตียก เช่น

  • ไข้สูงเฉียบพลัน
  • ปวดหัว
  • ปวดกล้ามเนื้อ
  • เบื่ออาหาร
  • อ่อนเพลีย
  • อาจมีคลื่นไส้อาเจียนบ้าง อาจมีท้องเสียเล็กน้อย
  • อาจมีน้ำมูกและ/หรือไอแต่ไม่มากและมักไม่มีเสมหะ
  • ถ้าเป็นอาการของโรคกลุ่มรุนแรงหรือโรคลีเจียนแนร์ อาการเริ่มต้นจะคล้ายอาการจากโรคไข้พอนเตียก แต่รุนแรงกว่าและจะมีการติดเชื้อในปอด(ปอดอักเสบ/ปอดบวม) ร่วมด้วย เสมอ

อาการที่พบได้ในโรคกลุ่มนี้ได้แก้

  • มีไข้สูงเฉียบพลัน
  • หนาวสั่น
  • ปวดหัวและปวดกล้ามเนื้อมาก
  • ท้องเสียเป็นน้ำ พบได้ประมาณ 20 - 40% ของผู้ป่วย และ
  • มีอาการของปอดอักเสบหรือปอดบวมคือ เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก ไอ มีเสมหะ อาจไอเป็นเลือด ผู้ป่วยจะดูมีอาการรุนแรง อ่อนเพลียมาก อาจสับสน และถ้าให้การรักษาไม่ทันมักเกิดภาวะหายใจล้มเหลวและถึงตายได้

ใครมีปัจจัยเสี่ยงเกิดโรครุนแรง?

ผู้มีปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคลีเจียเนลโลซิสรุนแรงจนอาจถึงตายได้คือ

  • ผู้สูงอายุและผู้ป่วยเด็กที่อายุน้อยกว่า 1 ปี
  • ผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรังหรือมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำเช่น ผู้ป่วยโรคมะเร็ง ผู้ป่วยโรคปอดเรื้อรัง ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
  • ผู้ที่ติดเชื้อโรคชนิดนี้จากโรงพยาบาล
  • ได้รับการรักษาล่าช้าเมื่อเกิดปอดบวม

ควรพบแพทย์เมื่อไหร่?

ควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเสมอเมื่อมีอาการดังกล่าวใน ‘หัวข้อ อาการฯ’ โดยเฉพาะเมื่อมีประวัติท่องเที่ยว หรือใช้บริการต่างๆ หรืออยู่ในสถานที่ ดังกล่าวในหัวข้อ โรคเกิดจากอะไร และในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรครุนแรง ควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเมื่อดูแลตนเองแล้วอาการไม่ดีขึ้นใน 1 – 2 วันหลังเกิดอาการหรือเมื่ออาการต่างๆเลวลง 

แพทย์วินิจฉัยโรคลีเจียเนลโลซิสอย่างไร?

แพทย์วินิจฉัยโรคลีเจียเนลโลซิส/โรคลีเจียนแนร์/โรคไข้พอนเตียก ได้จาก

  • การซักถามประวัติอาการ ประวัติการทำงาน การเดินทางท่องเที่ยว
  • การตรวจร่างกาย
  • ตรวจเลือด  ซีบีซี (CBC) เพื่อแยกระหว่างการติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส
  • การตรวจเลือดดู สารภูมิต้านทาน
  • การตรวจปัสสาวะดู สารก่อภูมิต้านทานต่อเชื้อนี้
  • การตรวจเชื้อจากเสมหะ
  • การเพาะเชื้อจากเลือดและจากเสมหะ และ
  • การถ่ายภาพปอดด้วยเอกซเรย์ปอดและ /หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์(ซีทีสแกน)

รักษาโรคลีเจียเนลโลซิสอย่างไร?

การรักษาโรคลีเจียเนลโลซิส/โรคลีเจียนแนร์/โรคไข้พอนเตียก ในรายที่รุนแรงต้องเป็นการรักษาในโรงพยาบาล ทั้งนี้แนวทางการรักษาประกอบด้วย

  • การให้ยาปฏิชีวนะ: ซึ่งอาจต้องให้ทางหลอดเลือดดำในรายที่โรครุนแรง โดยยาปฏิชีวนะที่ใช้ได้ผลมีหลายชนิด เช่น Azithromycin, Tetracycline, Erythromycin, Ofloxacin  ซึ่งจะเลือกใช้ยาตัวใดขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษา
  • การรักษาควบคุมโรคประจำตัว: เช่น การรักษา โรคเบาหวาน โรคปอดเรื้อรัง เป็นต้น
  • การรักษาตามอาการ: เช่น การให้ออกซิเจน การให้สารน้ำและสารอาหารทางหลอดเลือดดำเมื่ออ่อนเพลียมาก กินได้น้อย การให้ยาบรรเทาอาการไอ และ/หรือยาละลายเสมหะ/ยาขับเสมหะ เป็นต้น

โรคลีเจียเนลโลซิรุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงอย่างไร?

ความรุนแรง(การพยากรณ์โรค)ของโรคลีเจียเนลโลซิส:

  • โรคลีเจียเนลโลซิส ชนิด ไข้พอนเตียกเป็นโรคไม่รุนแรง บางคนโรคหายได้เองโดยไม่ต้องได้ยาปฏิชีวนะ ทั่วไปโรคมักหายภายใน 2 - 10 วัน
  • ส่วนโรคชนิดรุนแรงหรือโรคลีเจียนแนร์จะไม่หายเอง จำเป็นต้องได้ยาปฏิชีวนะอย่างพอเพียงเสมอ ซึ่งเมื่อได้รับการรักษาที่เหมาะสมและทันท่วงที ผู้ป่วยมักจะหายได้ภายใน 1 - 2 สัปดาห์  อย่างไรก็ตาม มีรายงานอัตราตายได้ประมาณ 20 - 50% ทั้งนี้ขึ้นกับปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดความรุนแรงของโรคดังได้กล่าวแล้วใน ‘หัวข้อ ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรครุนแรง’

         ผลข้างเคียง/ภาวะแทรกซ้อนของโรคลีเจียนแนร์ คือ

  • ภาวะหายใจล้มเหลว
  • ภาวะช็อกจากการติดเชื้อ
  • ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด และ
  • ไตวายเฉียบพลัน

ดูแลตนเองอย่างไร?

การดูแลตนเองที่สำคัญโดยเฉพาะบุคคลกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสสัมผัสโรค เช่น จากการท่องเที่ยวบ่อน้ำพุร้อน การพักในโรงแรม การทำสปาร์น้ำอุ่น ฯลฯ เมื่อมีอาการดังกล่าวใน’หัวข้อ อาการฯ’ ควรรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเสมอภายในไม่เกิน 1 - 2 วันนับจากมีอาการ

ส่วนเมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ การดูแลตนเองที่บ้านคือ

  • ปฏิบัติตาม แพทย์ พยาบาล แนะนำ
  • กินยาที่แพทย์สั่งอย่างถูกต้องครบถ้วนเมื่อเป็นการรักษาที่บ้าน และต้องไม่ขาดยา ไม่ปรับยา ไม่หยุดยาเอง
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ)
  • ไม่สูบบุหรี่, เลิก/งดสูบุหรี่
  • รู้จักใช้หน้ากากอนามัย
  • พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามนัดเสมอ

เมื่อไหร่ควรพบแพทย์ก่อนนัด?

ควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัดเสมอ เมื่อ

  • อาการต่างๆแย่ลง เช่น หายใจลำบากมากขึ้น ไอมากขึ้น มีเสมหะมากขึ้น เสมหะเหม็น หรือมีสีเปลี่ยนเป็นเหลือง เขียว หรือมีเลือดปน
  • มีอาการผิดปกติไปจากเดิม เช่น ไอเป็นเลือดจากที่ไม่เคยมีอาการมาก่อน
  • กลับมามีอาการที่เคยรักษาหายไปแล้ว เช่น กลับมามีไข้ หรือเป็นเลือดอีกหลังรักษาหายไปแล้ว
  • กังวลในอาการ

ป้องกันโรคลีเจียเนลโลซิสอย่างไร?

การป้องกันโรคลีเจียเนลโลซิส/โรคลีเจียนแนร์/โรคไข้พอนเตียก ได้แก่

  • ในด้านสังคม: คือ สถานบริการต่างๆที่ต้องใช้ระบบหล่อเย็นต้องรักษาความสะอาดเครื่องมือเครื่องใช้ตามมาตรฐานสากล โดยกระทรวงสาธารณสุขเองก็ต้องเข้มงวดตรวจตราสม่ำเสมอให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์สากลเช่นกัน
  • ในด้านบุคคล: การเลือกใช้โรงแรม สปาร์ต่างๆ โดยเฉพาะคนกลุ่มเสียง ต้องคำนึงถึงโรคนี้ไว้ด้วยเสมอเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ใช้บริการดังกล่าวในกรณีไม่แน่ใจในมาตรฐานการรักษาความสะอาด

บรรณานุกรม

  1. Murdoch,D. (2003). Diagnosis of legionella infection. Clin Infect Dis.36,64-69.
  2. Stout,J., and Yu,L. (1997). Legionellosis. NEJM.337,682-686.
  3. https://emedicine.medscape.com/article/220163-overview#showall  [2021,Dec18]
  4. https://emedicine.medscape.com/article/965492-overview#showall  [2021,Dec18]
  5. https://en.wikipedia.org/wiki/Legionnaires%27_disease   [2021,Dec18] 
  6. https://en.wikipedia.org/wiki/Pontiac_fever  [2021,Dec18]