การเปลี่ยนแปลงทางผิวหนังและเล็บจากยาเคมีบำบัด (Chemotherapy: Skin and nail changes)

สารบัญ

บทความที่เกี่ยวข้อง

 

ทำไมยาเคมีบำบัดถึงทำให้ผิวหนังและเล็บมีการเปลี่ยนแปลง?

ยาเคมีบำบัด (Chemotherapy) มีคุณสมบัติทำลายเซลล์ โดยก่อให้เซลล์เกิดการบาดเจ็บและตายได้ แต่จะทำลายเซลล์มะเร็งมากกว่าเซลล์ปกติมากมาย นอกจากนั้นเซลล์ปกติยังมีคุณสมบัติที่จะซ่อมแซมฟื้นตัวจากการบาดเจ็บได้ดีกว่าเซลล์มะเร็งมาก เพราะคุณสมบัติเหล่านี้ เราจึงนำยาเคมีบำบัดมารักษาโรคมะเร็ง เพราะเซลล์ปกติหลังเกิดการบาดเจ็บจากยาเคมีบำบัดก็จะฟื้นตัวกลับเป็นปกติหลังครบเคมีบำบัดแล้ว

ทั้งนี้เซลล์ปกติที่จะเกิดการบาดเจ็บได้ง่าย คือ เซลล์ที่มักมีการเจริญเติบโต/แบ่งตัวอยู่เสมอ, หนึ่งในเซลล์เหล่านั้น คือ เซลล์ของผิวหนังและของเล็บ ดังนั้นภายหลังได้ยาเคมีบำบัด จึงเกิดมีการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังและของเล็บผิดปกติไปจากเดิม

การเปลี่ยนแปลงของผิวหนังและของเล็บ จะมากหรือน้อย ขึ้นกับชนิดและปริมาณ (Dose) ของยาเคมีบำบัด ซึ่งโดยทั่วไป จะเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังและของเล็บตั้งแต่จบคอร์ส (Course) แรกของยาเคมีบำบัด และความผิดปกติจะค่อยๆสะสมเพิ่มขึ้นตามจำนวนคอร์สของยาเคมีบำบัด  โดยยาเคมีบำบัดทั่วไปมักให้ตั้งแต่ 3 คอร์สขึ้นไป, 1 คอร์สของยาเคมีบำบัดอาจให้นานตั้งแต่ 1 วันไปจนถึงประมาณ 4-7 วัน หรืออาจนานกว่านั้น ทั้งนี้แตกต่างกันในแต่ละโรคมะเร็ง

อย่างไรก็ตาม อาการผิดปกติต่างๆที่เกิดขึ้นกับผิวหนังและเล็บ มักจะกลับสู่ภาวะปกติภายหลังครบยาเคมีบำบัดได้ประมาณ 3-6 เดือนไปแล้ว

ผิวหนังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างเมื่อได้รับเคมีบำบัด?

 

การเปลี่ยนแปลงของผิวหนังที่อาจพบได้หลังจากได้รับยาเคมีบำบัด เช่น

  • ผิวแห้ง
  • ผิวไวต่อแสงแดด/ผิวแพ้แสงแดดมากขึ้น เช่น แสบ ขึ้นผื่น หรือเกิดตุ่มน้ำเมื่อโดนแดด
  • ผิวแพ้สิ่ง/สารต่างๆได้ง่ายขึ้น เช่น ขึ้นผื่น คัน
  • ผิวติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
  • ผิวในบริเวณที่เคยได้รับรังสีรักษามาก่อนกลับมาแดง ขึ้นผื่น หรือมีตุ่มน้ำ (Radiation recall phenomenon)
  • หลอดเลือดดำแข็ง เห็นเป็นเส้นยาวดำแข็งไปตามทางเดินของหลอดเลือดที่ให้ยาฯ บางครั้งมีอาการเจ็บร่วมด้วย
  • แผลเปื่อยจากยาเคมีบำบัดโดนผิวหนังโดยตรงจากหลอดเลือดที่ให้ยาแตกขณะกำลังให้ยาฯ

เล็บเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างเมื่อได้รับเคมีบำบัด?

ลักษณะผิดปกติของเล็บภายหลังได้รับยาเคมีบำบัด เช่น

  • สีเล็บผิดปกติ อาจเหลือง หรือ ดำคล้ำ ขึ้นกับชนิดของยาเคมีบำบัด
  • มีเส้นผิดปกติเกิดขึ้นบนเล็บ อาจเกิดได้ทั้งตามขวางและตามยาว อาจเป็นเส้นสีขาว หรือ สีคล้ำ
  • เล็บเปราะ แตกง่าย เล็บหลุดง่าย
  • ติดเชื้อที่ผิวรอบๆ เล็บได้ง่าย
  • รูปร่าง ลักษณะอื่นๆของเล็บนอกเหนือจากที่กล่าวแล้ว อาจผิดปกติไปจากเดิม

ป้องกันผิวหนังและเล็บเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร?

ปัจจุบัน ยังไม่มีวิธีการป้องกันการเกิดการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังและของเล็บจากยาเคมีบำบัด แต่ดังกล่าวแล้ว โดยทั่วไปอาการเหล่านี้จะค่อยๆกลับเป็นปกติภายหลังครบยาเคมีบำบัดแล้วประมาณ 3-6 เดือน

ดูแลตนเองอย่างไรเมื่อมีผิวหนังและ/หรือเล็บเปลี่ยนแปลง? ควรพบแพทย์เมื่อไร?

การดูแลผิวหนังและเล็บเมื่อได้ยาเคมีบำบัด เช่น

  • รักษาความสะอาดผิวหนังและเล็บเสมอ
  • ใช้สบู่อ่อน สบู่เด็ก
  • งดการเสริมสวยทำเล็บ
  • ตัดเล็บให้สั้น (ไม่ใช่ตัดให้กุด)
  • ใส่ถุงมือเสมอเมื่อต้องทำงานสกปรก เช่น ล้างจาน ทำสวน
  • ผู้ชายต้องใช้เครื่องโกนหนวดไฟฟ้า และหลีกเลี่ยงการโกนหนวดทุกวัน เพื่อลดการบาดเจ็บต่อผิวหนังบริเวณนั้น
  • ไม่ใช้/จำกัดเครื่องสำอาง รวมทั้งน้ำหอม
  • ใช้ยาระงับกลิ่นตัว/ยาระงับเหงื่อเท่าที่จำเป็น, เลือกชนิดที่ก่ออาการแพ้ได้น้อย, ไม่มีกลิ่น, และไม่มียาทำให้ผิวขาว
  • อาบน้ำที่อุณหภูมิปกติ หรือไม่อุ่นจัด, ไม่เช็ดตัวรุนแรง, ไม่ขัดผิวรุนแรง
  • ใช้โลชั่นบำรุงผิวและเล็บบ่อยๆ สม่ำเสมอ ตลอดไป
  • เมื่อออกแดด: ใช้ยากันแดด สวมหมวก หรือใช้ร่ม สวมใส่เสื้อแขนยาว กางเกงขายาว, เสื้อผ้าสีอ่อนที่จะสะท้อนแสงแดดได้ดีขึ้น
  • เสื้อผ้า, ชุดชั้นในต้องไม่รัดแน่น, ไม่ก่อการระคายเคืองผิว, ที่รวมถึงถุงมือ ถุงเท้า ควรเป็นผ้าฝ้าย 100%
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่มที่อ่อนโยนต่อผิว
  • หลีกเลี่ยงสารเคมีสัมผัสผิว เช่น น้ำยาล้างห้องน้ำ น้ำยาล้างจาน จึงควรต้องสวมถุงมือขณะใช้สารเหล่านี้
  • ขณะให้ยาเคมีบำบัด ถ้าน้ำเกลือไม่หยด, ตำแหน่งให้ยาฯบวม และ/หรือเจ็บ, ต้องรีบแจ้งพยาบาล/แพทย์ทันที
  • ทาน้ำยาคาลามายด์ (Calamine lotion), หรือกินยาแอนติฮีสตามีน(Antihista mine)/ยาแก้แพ้ เมื่อเกิดอาการคัน โดยปรึกษาเภสัชกรก่อนซื้อยาใช้เองเสมอ
  • ดื่มน้ำสะอาดเพิ่มมากขึ้นเพื่อลดภาวะขาดน้ำ เพราะผิวจะแห้งมากขึ้น อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม
  • เมื่อเจ็บตามรอยของหลอดเลือดดำที่ให้ยาเคมีบำบัด, ทาบริเวณที่เจ็บด้วยยาครีม หรือเจล/Gel ในกลุ่มยาเอ็นเสด (NSAIDs, Non steroidal anti inflammatory drugs) โดยปรึกษา แพทย์ พยาบาล หรือ เภสัชกรก่อนซื้อยาใช้เองเสมอ
  • ควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเมื่อ
    • ผิวเกิดผื่น, ตุ่มน้ำ,บวม, แดง, มีหนอง,เจ็บ,และ/หรือแสบ โดยเฉพาะเมื่อร่วมกับมีไข้ควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลภายใน 24 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ
    • ผิวในตำแหน่งที่เคยได้รังสีรักษา ขึ้นผื่น หรือ บวม แดง หรือ ผิดปกติ
    • เล็บหลุด เพราะจะติดเชื้อได้ง่าย

บรรณานุกรม

  1. DeVita, V., Hellman, S., and Rosenberg, S. (2005). Cancer: principles& practice of oncology (7th edition). New York: Lippincott Williams & Wilkins.
  2. https://www.cancer.gov/about-cancer/treatment/side-effects/skin-nail-changes [2023,March4]
  3. https://chemocare.com/chemotherapy/side-effects/skin-reactions.aspx [2023,March4]
  4. https://dermnetnz.org/topics/skin-toxicity-of-chemotherapy-drugs [2023,March4]
  5. https://www.cancer.org/treatment/treatments-and-side-effects/treatment-types/chemotherapy/chemotherapy-side-effects.html [2023,March4]