ตาบอดกลางคืน (Night blindness)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง สกาวรัตน์ คุณาวิศรุต
- 1 เมษายน 2566
- Tweet
สารบัญ
- ตาบอดกลางคืนคือโรคอะไร? เกิดได้อย่างไร? มีสาเหตุจากอะไร?
- จอตาเสื่อมเกิดจากอะไร?
- โรค RP พบได้บ่อยไหม?
- โรค RP ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ได้กี่แบบ?
- แพทย์วินิจฉัยโรค RP ได้อย่างไร?
- โรค RP รุนแรงไหม? รักษาหายไหม?
- พบโรค RP ร่วมกับโรคอะไรได้บ้าง?
- รักษาโรค RP อย่างไร?
- ควรพบแพทย์เมื่อไร? ดูแลตนเองอย่างไร?
- ป้องกันตาบอดกลางคืนอย่างไร?
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- กายวิภาคและสรีรวิทยาของตา (Anatomy and physiology of the eye)
- ภาวะขาดวิตามิน เอ (Vitamin A deficiency)
- ตาบอดสี (Color blindness)
- โรคของจอตา โรคจอตา (Retinal disease)
- สายตาสั้น (Nearsighted)
- ต้อหิน (Glaucoma)
- ต้อกระจก (Cataract)
- เบาหวานขึ้นตา เบาหวานกินตา (Diabetic retinopathy)
ตาบอดกลางคืนคือโรคอะไร? เกิดได้อย่างไร? มีสาเหตุจากอะไร?
ตาบอดกลางคืน (Night blindness หรือ Nyctalopia) ไม่ใช่โรค แต่คือ อาการที่มองเห็นไม่ชัดในที่แสงสลัว หรือ ในเวลากลางคืน, พบได้ในโรคจอตาหลายโรค กล่าวคือ ในคนปกติภายในจอตาจะมีเซลล์รับรู้การเห็น (Photoreceptor cells) 2 ชนิด คือ ‘Rod (เซลล์รูปแท่ง)’ และ ‘Cone (เซลล์รูปโคน)’
- Rod: จะกระจายอยู่บริเวณขอบๆของจอตา(Peripheral retina)เป็นส่วนใหญ่ ทำหน้าที่ในการมองเห็นในที่แสงสลัว
- Cone: มีการกระจุกตัวอยู่บริเวณจอตาส่วนอยู่ตรงกลาง (Central retina) โดยเฉพาะที่เรียกว่า ‘จุดภาพชัด (Macula)’ ทำหน้าที่ในการมองเห็นตรงกลางและในที่มีแสงสว่าง หากมีความผิดปกติของจอตาส่วนอยู่ตรงกลาง โดยเฉพาะในบริเวณจุดภาพชัด จะทำให้สายตาในตอนกลางวัน/ที่มีแสงสว่างมัวลง ร่วมกับการเห็นสีที่เปลี่ยนไป
กรณีมีความผิดปกติของจอตาบริเวณขอบๆ โดยมีการทำลายหรือสูญเสียหน้าที่ หรือมีการตายของ’Rod’ จะทำให้ผู้นั้นตามัวลงเวลากลางคืน/ที่มีแสงสลัว ซึ่งเรียกว่า “ตาบอดกลางคืน (Night blindness)”
ภาวะมีการสูญเสียหน้าที่หรือการตายของ Rod พบได้ในหลายโรค อาทิเช่น
- ภาวะขาดวิตามินเอ
- สายตาสั้นมาก
- จอตาเสื่อม(กล่าวในหัวข้อถัดไป)
ก. ภาวะขาดวิตามินเอ:
ในจอตา กระบวนการมองเห็นจะโดยสารเคมี ที่เรียกว่า 11-Cis retinal ทำงานรวมกับโปรตีน Opsin เกิดเป็นสารโปรตีนที่เรียกว่า Rhodopsin ซึ่งจำเป็นในการมองเห็นกลางคืน หรือในการทำงานของ Rod ซึ่งการขาดวิตามิน-เอ จะยับยั้งการเกิด Rhodopsin จึงทำให้การมองเห็นในที่สลัวลดลง
โดยทั่วไป การขาดไวตามิน-เอ มักพบในเด็กที่รับประทานนมที่ขาดวิตามิน-เอ องค์การอนามัยโลกประเมินว่า 1 ใน 3 ของเด็กอายุ 5 ขวบลงมาในประเทศที่ยังไม่พัฒนา มีภาวะพร่องไวตามิน-เอ โดยพบมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอัฟริกา, ผู้ใหญ่อาจพบในผู้ที่มีโรคเรื้อรัง ติดเหล้า ผู้มีโรคเรื้อรังของลำไส้ จึงมีปัญหาในการดูดซึมอาหาร/วิตามิน-เอ, ในคนปกติมักจะไม่ขาดไวตามิน-เอ เนื่องจากพบในอาหาร พืช ผัก ผลไม้ สีเหลือง ส้ม แสด แดง ทั่วไป
อย่างไรก็ตาม ในเด็กที่ขาดไวตามิน-เอ เด็กอาจจะไม่บอกว่ามีตามัว/ตาบอดกลางคืน แต่ผู้ปกครองจะสังเกตเห็นความผิดปกติอื่นๆที่เกิดร่วมกับตาบอดกลางคืน คือ ภาวะตาแห้ง โดยจะสังเกตเห็น เยื่อบุตา และกระจกตา/ตาขาวแห้ง มีเกล็ดขาวๆ บริเวณตาขาวที่เรียกว่า ‘เกล็ดกระดี่ (Bitot’s spot)’ ตามด้วยกระจกตา นุ่ม อ่อนแอ (Keratomalacia) จึงเปื่อยและสลายตัวทำให้กระจกตาบางลง ยิ่งถ้ามีการติดเชื้อเข้าแทรก เพราะตาแห้งจะทำให้ติดเชื้อง่าย ทำให้กระจกตาทะลุและตาบอดในที่สุด
การสังเกตเห็น’ตาแห้ง’ร่วมกับ’เกล็ดกระดี่’ ก็สามารถวินิจฉัยได้แล้วว่า ‘มีภาวะขาดวิตามินเอ’ จึงสังเกตเห็น/ตรวจพบได้ง่ายกว่า ซึ่งการรักษา คือการเพิ่มการบริโภควิตามิน-เอ
อนึ่ง: ปัจจุบัน ในประเทศเราพบว่า เด็กและผู้ใหญ่ขาดวิตามิน-เอน้อยลงมาก จนไม่เป็นปัญหาสำหรับประเทศเราแล้ว รวมทั้งในทั่วโลกส่วนใหญ่ด้วย ดังนั้นบทความนี้ จึงจะไม่กล่าวถึงรายละเอียดในเรื่องของ ตาบอดกลางคืน สาเหตุจากภาวะขาดวิตามินเอ
ข. สายตาสั้นมาก:
ในคนที่สายตาเริ่มสั้นหรือสายตาสั้นมากขึ้น จะเริ่มมีปัญหาการมองเห็นในเวลากลางคืนก่อนเสมอ ที่เรียกว่า ‘Night myopia’ เนื่องจากเวลากลางคืน ม่านตาคนเราจะขยายกว่าปกติ จึงเกิดภาวะแสงที่หักเหกระจายมากขึ้น ซึ่งในภาวะสายตาสั้น ตาจะโฟกัสแสงเหล่านี้ได้ยาก มากกว่าตอนกลางวันที่รูม่านตาเล็ก จึงส่งผลให้เกิดอาการตาบอดกลางคืนได้ ภาวะนี้ไม่ได้เกิดจากมีปัญหาในจอตาแต่อย่างใด เมื่อแก้ไขภาวะสายตาสั้นได้ สายตาที่มัวเวลากลางคืนจะหายไป
ในกรณีสายตาสั้นมาก และมีตามัวเวลากลางคืนบางราย อาจมีการเสื่อมของ Rod ร่วมด้วยก็ได้ แต่มักจะไม่ลุกลามมากนัก
อนึ่ง: ในเรื่องของสายตาสั้น ได้มีบทความเฉพาะในเรื่องนี้แล้วในเว็บ haamor.com ดังนั้นในบทความนี้ จึงจะไม่กล่าวถึงเรื่องของสายตาสั้น ขอให้อ่านเพิ่มเติมในบทความเรื่อง สายตาสั้น
จอตาเสื่อมเกิดจากอะไร?
จอตาเสื่อม (Retinal dystrophy): ความเสื่อมของจอตาก่อนวัย (ทั่วไปจะพบในผู้สูงอายุ) มีหลายประเภทที่ทำให้เกิดตามัว/บอดกลางคืน อาจแบ่งได้เป็นกลุ่มใหญ่ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่จอตาเสื่อมคงที่ (Stationary), และกลุ่มที่จอตาเสื่อมลงเรื่อยๆ (Progressive)
การแยก 2 กลุ่มนี้ออกจากกันเพื่อ การพยากรณ์โรค/การทำนายความรุนแรงของโรค โดยใช้การตรวจจอตาด้วยคลื่นไฟฟ้าที่เรียกว่า Electroretinogram (ERG) คล้ายๆการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจอีเคจี, เป็นการตรวจถึงการทำงานของ Rod และ Cone ตลอดจนเซลล์ที่มีสารสีในจอตา (Retina pigment epithelium, เซลล์มีหน้าที่ช่วยให้ความแข็งแรงแก่จอตา)
ก. กลุ่มจอตาเสื่อมคงที่: ประกอบด้วยโรค Congenital stationary night blindness (CSNB) กลุ่มนี้เป็นโรคที่เป็นแต่กำเนิด ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ เป็นได้ ทั้งแบบ
- ปมเด่น (Autosomal dominant): คือ ความผิดปกติของโครโมโซมที่ไม่ใช่ โครโมโซมเพศ x หรือ y โดยทั่วไป โครโมโซมจะมีลักษณะเป็นคู่เสมอ ถ้ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับโครโมโซมเพียงข้างเดียว แล้วก่อให้เกิดความผิดปกติที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธ์ได้ เรียกว่า ถ่ายทอด -แบบปมเด่น/Autosoma dominant)
- แบบปมด้อย(Autosomal recessive): คือ ต้องมีความผิดปกติของโครโมโซมที่ไม่ใช่โครโมโซมเพศ 2 ข้าง/ ผิดปกติเป็นคู่ จึงจะก่อให้เกิดอาการได้
- หรือแบบ X-link recessive: ที่พบในชายมากกว่าหญิงเล็กน้อย, ผู้หญิงมีโครโมโซมเป็น xx ดังนั้น เมื่อมี x ผิดปกติ 1 ตัว อีกตัวที่เหลือจะช่วยทำให้ไม่เกิดอาการ แต่เป็นพาหะโรค, แต่ผู้ชายมีโครโมโซมเป็น xy มี x เดียว เมื่อ x ผิดปกติ จึงแสดงอาการตาบอดกลางคืนเสมอ ซึ่งความผิดปกติของโครโมโซม ในลักษณะนี้เรียกว่า X-linked recessive)
ผู้ป่วยในโรคกลุ่มนี้ มักมีสายตากลางวันค่อนข้างดี มีปัญหาเฉพาะเวลากลางคืน บางรายตรวจจอตาด้วยกล้องส่องตรวจในลูกตา (Ophthalmoscope) ไม่พบความผิดปกติเลย ต้องตรวจด้วย ERG
บางรายอาจพบความผิดปกติของจอตา ด้วยการดูจาก Ophthalmoscope เห็นจอตาสีเขียววาวๆ แต่เมื่ออยู่ที่มืด สีของจอตาจะกลับมาปกติ ได้แก่ โรค Oguchi disease หรือบางราย จอตามีจุดขาวๆ กระจายไปทั่ว คือ โรค Fundus albipunctatus
ข. กลุ่มจอตาเสื่อมลงเรื่อยๆ: ซึ่งโรคที่รู้จักกันดี และพบได้บ่อยที่สุดและถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ ซึ่ง’เมื่อพูดถึงตาบอดกลางคืนในปัจจุบันจะนึกถึงโรคนี้เป็นส่วนมาก คือโรค Retinitis pigmentosa (โรค RP)’ ชื่อของโรคทำให้เข้าใจว่าเป็นการอักเสบของจอตา ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่พบการอักเสบแต่อย่างใด เป็นโรค/ภาวะที่เรียกว่า Rod – Cone dystrophy (ต่างจาก Cone – Rod dystrophy) เป็นการเสื่อมที่เริ่มจาก Rod ก่อน แล้วจึงตามด้วยการเสื่อมของ Cone หลังจากนั้นผู้ป่วยจึงมีอาการตาบอดกลางคืนและตามด้วยตามัวลงๆในเวลากลางวัน, ส่วน Cone – Rod dystrophy จะมีการเสื่อมของ Cone ก่อนการเสื่อมของ Rod แล้วจึงตามมาด้วยตามัวและตาบอดกลางคืน
โรค RP นี้ บางตำราอาจเรียกว่า โรค Retinal dystrophy หรือ Retinal degeneration หรือ Tapetoretinal degeneration
โรค RP นี้ วินิจฉัยโดยข้อกำหนดที่ว่า
- มีโรคเกิดกับตาทั้ง 2 ข้าง
- มีการทำงานของเซลล์ Rod ลดลง ซึ่งตรวจได้ จาก ERG
- มีการทำงานของเซลล์ Rod ลดลงไปเรื่อยๆ (Progressive)
- มีการสูญเสียลานสายตาจึงมองเห็นแคบลงๆเรื่อยๆ
ผู้ป่วยโรค RP จะมีอาการดังนี้ เช่น
- ตาบอดกลางคืน
- มองภาพแคบลง เห็นแต่ตรงกลาง จึงมักจะเดินชนสิ่งของ เพราะว่าลานสายตาด้านข้างๆหายไป
- ตากลัวแสง/ตาไม่สู้แสง (เมื่อมีแสงสว่าง จะแสบตา มีน้ำตา)
- ใช้เวลาปรับตัวนานจากสถานที่มืดไปสู่สถานที่สว่าง หรือ จากสถานที่สว่างไปสถานที่มืด
- ผู้ป่วยมักจะมีสายตาสั้นร่วมด้วย
- เป็นต้อกระจกเร็วกว่าคนปกติ คือพบได้ในอายุน้อยๆ
- ตรวจพบต้อหินได้มากกว่าคนปกติ
โรค RP พบได้บ่อยไหม?
พบโรค RP ได้ในอัตราประมาณ 1: 3000 ถึง 1: 4000 ของประชากรทั่วไปคาดกันว่ามีโรคนี้ถึง 1.5 ล้านคนทั่วโลก ชายพบมากกว่าหญิงเล็กน้อย เนื่องจากสาเหตุหนึ่ง คือ จากทางพันธุกรรมที่ถ่ายทอดได้จากโครโมโซมของเพศหญิง เรียกว่าการถ่ายทอดแบบ X-linked recessive ดังกล่าวแล้ว
โรค RP ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ได้กี่แบบ?
การผิดปกติทางกรรมพันธุ์ (มีทั้งชนิดที่ถ่ายทอดสู่คนในครอบครัวได้ และชนิดที่เกิดเฉพาะตัว ไม่ถ่ายทอด) ในโรค RP มักเป็นชนิดที่ถ่ายทอดได้ โดยมีการถ่ายทอด ได้หลายแบบ เช่น
- แบบปมเด่น (Autosomal dominant, AD): พบได้ประมาณ 5% ของโรค RP ทั้งหมด อาการมักจะไม่รุนแรง มีการดำเนินโรค/จอตาเสื่อมลงช้าๆ บางรายอาจยังมีสายตาใช้ได้ไปจนอายุ 60 ถึง 80 ปี
- แบบปมด้อย (Autosomal recessive, AR): พบได้ประมาณ 70% มักมีอาการตอนวัยรุ่น การดำเนินโรคเร็ว มักตาบอดในอายุยังไม่มาก เป็นกลุ่มที่มักจะมีโรคในระบบอื่นๆร่วมด้วยหลายโรค
- แบบ X- linked recessive: โรครุนแรงที่สุด พบได้ประมาณ 6%
- Simplex: เป็นกลุ่มที่ตรวจไม่พบการถ่ายทอดแบบไหนชัดเจน เป็นกลุ่มที่พบได้ประมาณ 19% เป็นกลุ่มที่มีความรุนแรงโรคได้หลากหลาย เพราะถ้าได้รับการตรวจอย่างละเอียดด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย โรคกลุ่มนี้ มักอยู่ในแบบใดแบบหนึ่ง ของ 3 แบบที่ได้กล่าวไปแล้ว
แพทย์วินิจฉัยโรค RP ได้อย่างไร?
ทั่วไป แพทย์วินิจฉัยโรค RP ได้จาก
- การตรวจ ERG: สามารถตรวจได้ถึง การทำงานของ Rod และ Cone โดยเฉพาะโรคนี้จะตรวจพบความผิดปกติของ ERG ชัดเจน
- การตรวจลานสายตา: จะพบมีความผิดปกติเฉพาะที่เรียก Ring scotoma คือ บริเวณที่เห็นมัว/ไม่เห็น จะล้อมรอบด้วยบริเวณที่เห็นปกติ
- การตรวจสายตาในภาวะแสงสลัว (Dark adaptation): ซึ่งจะให้การตรวจวิธีนี้ได้เฉพาะบางโรงพยาบาลเท่านั้น
- การตรวจอื่นๆ: ถ้าทำได้จะช่วยยืนยันการวินิจฉัย และบอกความรุนแรงของโรคได้ เช่น การตรวจคลื่นไฟฟ้าของจอตา (EOG, Electroocculogram) ฯลฯ
โรค RP รุนแรงไหม? รักษาหายไหม?
เนื่องจากเป็นโรคที่เป็นการเสื่อมที่ไม่ทราบสาเหตุชัดเจน การพยากรณ์โรคว่า ตาจะมัวมากน้อยแค่ไหน ลูกหลานมีโอกาสเป็นมากน้อยแค่ไหน จึงอาศัยปัจจัยต่างๆ เช่น
- ดูการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ ถ้าเป็นแบบ X-linked recessive ตาจะมัวลงเร็วที่สุด ตามด้วยแบบ AR และแบบ AD ซึ่งจอตาจะเสื่อมช้าที่สุด
- อายุที่เกิดอาการ ถ้าอายุน้อยตาจะบอดได้เร็วกว่า
- ดูค่าของ ERG และติดตามการเปลี่ยนแปลง ถ้าค่าลดลงเร็ว โรคมีความรุนแรงสูง
- ตรวจลานสายตา ถ้าเลวลงในอายุน้อย โรคมีความรุนแรงสูง
พบโรค RP ร่วมกับโรคอะไรได้บ้าง?
อาจพบโรค RP ร่วมกับหูตึง, และการทรงตัวไม่ดี, ซึ่งเรียกว่า ‘กลุ่มอาการ Usher’s syndrome’
พบร่วมกับผู้ป่วยที่มี เชาว์ปัญญาต่ำ, โรคอ้วน, มีนิ้วมือมากกว่าปกติ, และมีอวัยวะเพศเล็กกว่าปกติ, เรียกว่า ‘กลุ่มอาการ Laurence – Moon syndrome’
และอาจพบร่วมกับ โรคผิวหนัง, หูหนวก, โรคไต, โรคตับ, และมีโรคอื่นๆได้อีกหลายๆ โรคที่อาจพบร่วมกับ โรค RP ได้
รักษาโรค RP อย่างไร?
โรค RP เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของจอตาที่ยังไม่ทราบสาเหตุชัดเจน แม้ว่าในปัจจุบันจะพบความผิดปกติของ จีน/ยีน (Gene) ที่ทำให้เกิดโรคนี้มากกว่า 35 gene แล้ว แต่วิธีรักษาและผลการรักษา ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัด เช่น
- การให้วิตามิน-เอ: ปัจจุบันจากการศึกษาเชื่อว่า ไม่น่าจะได้ผล และถ้าให้ในปริมาณสูง อาจมีผลต่อตับทำให้เกิดตับอักเสบได้ ปัจจุบันจึงหันมาศึกษาการใช้ Omega 3 แต่ก็ยังไม่สามารถสรุปผลแน่ชัดว่าได้ประโยชน์
- การหลีกเลี่ยงแสงแดดโดยการใช้แว่นกรองแสงยูวี (UV light): เพื่อปกป้องเซลล์ Rod และ Cone ให้เสื่อมช้าลง
- หากตรวจพบต้อกระจก หรือต้อหิน ร่วมด้วย ก็ให้การรักษาไปตามระยะของโรคที่ตรวจพบนั้นๆ
- ใช้เครื่องช่วยในภาวะสายตาเลือนราง: เช่น แว่นขยาย กล้องส่องทางไกล ตามความเหมาะสม
- การรักษาด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆที่เป็นความหวังและกำลังอยู่ในการศึกษา: เช่น การปลูกถ่ายจอตา (Retinal transplant), การปลูกถ่ายตัวอ่อน (Stem cell transplant), การซ่อมเปลี่ยนกรรมพันธุ์ที่ผิดปกติ (Gene therapy), ตลอดจนการใช้ Microchip ฝังที่จอตาเพื่อเป็นตัวช่วยการนำส่งแสงสว่าง
ควรพบแพทย์เมื่อไร? ดูแลตนเองอย่างไร?
การดูแลตนเองที่ดีที่สุด คือ เมื่อมีปัญหาทางการมองเห็น รวมทั้งอาการตาบอดกลางคืน จำเป็นต้องรีบพบจักษุแพทย์/หมอตา/มาโรงพยาบาลเสมอ เพื่อแพทย์วินิจฉัยหาสาเหตุ เพื่อการรักษาแต่เนิ่นๆ เพราะปัญหาในการมองเห็นเกิดได้จากหลายโรคมาก ซึ่งส่วนใหญ่ มักเป็นโรคที่รักษาได้ถ้าพบแพทย์ตั้งแต่แรกเริ่มมีอาการ เช่น สายตาสั้น, ต้อกระจก, ต้อหิน, หรือ เบาหวานขึ้นตา
ซึ่งเมื่อพบแพทย์แล้ว ทั่วไปการดูแลตนเอง คือ
- การปฏิบัติตาม แพทย์ พยาบาล แนะนำให้ถูกต้อง ครบถ้วนเสมอ
- พบแพทย์ตามนัด และ
- รีบพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อมีอาการผิดปกติไปจากเดิม, หรือเมื่ออาการต่างๆเลวลง, หรือเมื่อกังวลในอาการ
ส่วนการดูแลตนเอง ภายหลังเมื่อรู้ว่ามีอาการตาบอดกลางคืน นอกจากดังได้กล่าวแล้ว เช่น
- กินอาหารมีประโยชน์ห้าหมู่ให้ครบถ้วนในทุกมื้ออาหาร โดยเฉพาะอาหาร ที่มีวิตามิน-เอสูง (ผัก ผลไม้ ที่มีสีเขียวเข้ม เหลือง แดง ส้ม เช่น ใบตำลึง บรอกโคลี มะละกอสุก มะม่วงสุก แคนตาลูป นม ไข่ ตับ และอาหารเช้า ซีเรียล/Cereal ที่มีการเสริมวิตามิน-เอ)
- ระมัดระวังอุบัติเหตุทั้งในบ้าน และในสถานที่ต่างๆ ในบ้านควรต้องมีแสงสว่างเพียงพอในช่วงกลางคืน วางสิ่งของเครื่องใช้ ให้ปลอดภัยต่อการเดินชน และหาคนอยู่ด้วยในช่วงกลางคืน เป็นต้น
- ปรับตัว ปรับงาน และปรับการเดินทางต่างๆ เป็นต้น
- ใช้เครื่องช่วยการมองเห็นตามแพทย์แนะนำ
- ใช้แว่นตากันแดดชนิดป้องกันแสงยูวีในแสงแดดได้อย่างน้อย 90% เพื่อช่วยชะลอการเสื่อมของจอตาจากยูวี เมื่อต้องออกแดดเสมอ
ป้องกันตาบอดกลางคืนอย่างไร?
ตาบอดกลางคืนบางสาเหตุป้องกันได้ เช่น ภาวะขาดวิตามินเอ โดยการกินอาหารมีประโยชน์ห้าหมู่ให้ครบถ้วนทุกมื้ออาหาร, แต่บางสาเหตุ เช่น จากกรรมพันธุ์ เป็นโรคป้องกันไม่ได้, แต่การพบจักษุแพทย์แต่เนิ่นๆ แพทย์จะมีวิธีรักษาที่อาจช่วยชะลอการเสื่อมของจอตาให้ช้าลงได้
บรรณานุกรม
- http://www.pjo.com.pk/25/1/Jamshad%20Ahmed.pdf [2023,April1]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Retinal_pigment_epithelium [2023,April1]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Nyctalopia [2023,April1]