การติดเชื้อเอชพีวีอวัยวะเพศหญิง (Gential HPV in women)

สารบัญ

บทความที่เกี่ยวข้อง

การติดเชื้อเอชพีวีที่อวัยวะเพศหญิงคือโรคอะไร?เชื้อเอชพีวีคืออะไร?มีกี่ชนิด?

โรค/การติดเชื้อเอชพีวีที่อวัยวะเพศหญิง(Genital HPV in women) คือ โรคที่อวัยวะเพศหญิงติดเชื้อเอชพีวีจากมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ติดเชื้อนี้(โรคติต่อทางเพศสัมพันธ์)ทั้งชายกับหญิง, และ หญิงกับหญิง

เชื้อเอชพีวี (HPV) คือ ไวรัสชนิดหนึ่ง ชื่อเต็มว่า Human papillomavirus ซึ่ง

เชื้อเอชพีวีที่ทำให้ติดโรคมีมากกว่า 100 สายพันธุ์ โดยมีการตั้งชื่อสายพันธุ์ตามลำดับของการค้นพบ เช่น  HPV 6, HPV 11, HPV 16  เป็นต้น   

เชื้อเอชพีวีที่ทำให้ติดโรค แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

  1. เชื้อ เอชพีวี กลุ่มที่ทำให้เกิด’โรคหูด’ต่างๆ เช่น  HPV 1, 2, 3, 4, 6, 7, 8 ,10, 11 ที่ทำให้เป็น หูดที่มือ  หูดที่เท้า  หูดหงอนไก่ (Condyloma accuminata)  เชื้อกลุ่มนี้ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกต่ำ (Low risk HPV) 
  2. เชื้อ HPV กลุ่มที่ทำให้มีความเสี่ยงเกิดมะเร็งปากมดลูกสูง( High risk HPV) เช่น HPV 16, 18, 31, 33, 35,  39, 45, 52, 56

เราสามารถติดเชื้อเอชพีวีได้ทางใดบ้าง?

การติดเชื้อเอชพีวีอวัยวะเพศหญิง-01

การติดเชื้อเอชพีวี (HPV ) ติดต่อโดยการสัมผัส  โดยพบว่าเชื้อนี้ติดต่อกันทางเพศสัมพันธ์มากที่สุด พบว่าการติดเชื้อเอชพีวี เป็นสาเหตุที่มากที่สุดของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทั้งในชายและหญิงในปัจจุบัน  นอกจากนั้นสามารถติดต่อกันทางการร่วมเพศ ทางปาก คอหอย และทวารหนักได้ ส่วนในเด็กแรกเกิดพบว่าสามารถติดเชื้อตัวนี้ขณะคลอดผ่านช่องคลอดของมารดาที่มีเชื้อนี้อยู่ ทำให้ทารกอาจติดเชื้อ เอชพีวีที่กล่องเสียงได้

ในสหรัฐอเมริกา ช่วงปี ค.ศ. 2003-2004 (พ.ศ. 2546-2547) มีการศึกษาพบการติดเชื้อเอชพีวีในผู้หญิง/เพศหญิง/สตรีอายุ 14-59 ปี ประมาณ 26.8% โดยพบสูงสุดในช่วงอายุ 20-24 ปีซึ่งคิดเป็น 44.8% ของผู้หญิงทั้งหมดที่ศึกษา และอัตราการติดเชื้อจะลดลงเมื่ออายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป

ใครมีปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชพีวีอวัยวะเพศ?

ผู้หญิงที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชพีวี (HPV)ที่อวัยวะเพศ คือ ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ทุกคน ทั้งนี้รวมถึงจากมีการสัมผัสภายนอกของอวัยวะเพศซึ่งกันและกันด้วย (ทั้งเพศเดียวกัน หรือต่างเพศ) โดยโอกาสติดเชื้อจะสูงขึ้น เมื่อ

  • มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยาอนามัยชาย (การใช้ถุงยางอนามัยชายลดโอกาสติดเชื้อลงได้ แต่ป้องกันไม่ได้ 100%)
  • เปลี่ยนคู่นอนใหม่
  • สูบบุหรี่

การติดเชื้อเอชพีวีทำให้เกิดปัญหาอะไรบ้าง?

ส่วนมากการติดเชื้อเอชพีวี (HPV) ไม่ทำให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆที่ทำให้สตรีผู้นั้นสังเกตได้ในระยะแรกๆ ปัจจุบันพบว่าการติดเชื้อเอชพีวี เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยที่สุด  จะพบเชื้อนี้ในช่องคลอดสตรี และปากมดลูกมากกว่าบริเวณอื่น,  แต่การติดเชื้อนี้ส่วนมากจะหายเองได้ภายในระยะเวลาประมาณ  2  ปี เมื่อร่างการสร้างภูมิต้านทานเชื้อนี้ขึ้นมาได้อย่างเพียงพอ,  มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะคงอยู่และทำให้เกิดโรคต่างๆตามมา 

ตำแหน่งการติดเชื้อ นอกจากบริเวณอวัยวะสืบพันธ์แล้ว สามารถพบการติดเชื้อเอชพีวีที่ใน ช่องปาก คอหอย ทวารหนัก ได้ ตามลักษณะของการมีกิจกรรมทางเพศ ซึ่งการติดเชื้อเอชพีวีในสตรี ทำให้เกิดปัญหาดังต่อไปนี้ เช่น

  • หูดหงอนไก่ (Condyloma accuminata): จะมีลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆ ผิวไม่เรียบ  หลายๆตุ่มกระจายเต็มอวัยวะเพศภายนอก   อาจมีอาการคันได้    ส่วนมากพบได้ที่บริเวณปากช่องคลอด  ช่องคลอด ปากมดลูก นอกจากนั้นอาจพบในลำคอ  คอหอย   สาเหตุของหูดเหล่านี้เกิดจากเชื้อเอชพีวี สายพันธ์ย่อย( type) 6,และ 11 มากที่สุด
  • มะเร็งปากมดลูก:  ปัจจุบันมีหลักฐานมากมายที่บอกว่ามะเร็งปากมดลูกมีความสัมพันธ์กับการติดเชื้อเอชพีวี ส่วนใหญ่เกิดจากสายพันธ์ 16,และ 18 มากที่สุด (ประมาณ 70% ของมะเร็งปากมดลูกทั้งหมด) โดยเชื้อจะทำให้เซลล์ปากมดลูกเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์มะเร็งได้
  • มะเร็งอวัยวะสืบพันธุ์อื่นๆนอกจากปากมดลูก: เช่น มะเร็งอวัยวะเพศหญิง  มะเร็งช่องคลอด มะเร็งองคชาติในฝ่ายชาย (มะเร็งอวัยวะเพศชาย)   มะเร็งทวารหนัก เป็นต้น

การติดเชื้อเอชพีวีทำให้เกิดอาการหรือความผิดปกติอย่างไรบ้าง?

สตรีที่ติดเชื้อ เอชพีวี ส่วนมากมักไม่มีอาการ  เชื้อส่วนใหญ่จะหายไปเองภายใน 2 ปี และการติดเชื้อตัวนี้ก็เป็นๆหายๆ จะมีเพียงสตรีส่วนน้อยเท่านั้นที่มีอาการ เช่น หากเป็นหูดหงอนไก่ ก็จะพบตุ่มเนื้องอกขนาดเล็กบริเวณปากช่องคลอด หลายๆตุ่ม, ไม่มีอาการเจ็บ,  หากเป็นถึงระดับมะเร็ง (มะเร็งอวัยวะเพศหญิง มะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากมดลูก) แล้ว อาจมีตกขาวมากว่าปกติ  มีเลือดปนตกขาว  ตกขาวมีกลิ่นเหม็น  มีเลือดออกกะปริบกะปรอยทางช่องคลอด,  หรือหากเป็นมะเร็งทวารหนักก็จะเห็นแผลหรือก้อนเนื้อผิดปกติที่ปากทวารหนัก

หากติดเชื้อเอชพีวีสามารถรักษาหายไหม?

ปัจจุบันยังไม่มียาที่ใช้รักษาการติดเชื้อ เอชพีวี (HPV) ให้หายขาด  เราเพียงแต่รักษาสุขภาพของร่างกายให้แข็งแรงเพื่อให้มีภูมิต้านทานต่อตัวเชื้อ,   การติดเชื้อจะหายไปเองได้ประมาณ 70% ในปีแรก  และหายไปเกือบ 90%ในปีที่ 2,  มีเพียงผู้ติดเชื้อส่วนน้อย (ประมาณ 5-10%) ที่เชื้อจะคงอยู่ในร่างกายแล้วพัฒนาทำให้เกิดเป็นโรคต่างๆ  เช่น มะเร็งปากมดลูก ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการที่เซลล์ที่ติดเชื้อจะเปลี่ยนเป็นมะเร็งประมาณ  10-15 ปี

ดูแลตนเองอย่างไรเมื่อติดเชื้อเอชพีวี?

         การดูแลตนเองเมื่อรู้ว่าติดเชื้อเอชพีวี (HPV) แล้ว เช่น

  1. ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเสมอ ซึ่งการดูแลตนเองขั้นพื้นฐาน คือ การรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ)
  2. ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอตามควรกับสุขภาพ
  3. ใส่ถุงยางอนามัยชายทุกครั้งเมื่อมีการร่วมเพศ
  4. ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทุกปี(อ่านเพิ่มเติมจากเว็บ com เรื่องวิธีการตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง) หรือบ่อยตามแพทย์แนะนำ
  5. พบแพทย์เมื่อมีโรคหูดหงอนไก่

มีวิธีการตรวจคัดกรองการติดเชื้อเอชพีวีอย่างไร?

การตรวจคัดกรองการติดเชื้อเอขพีวี คือ

  • ตรวจ Papanicolaou smear หรือ แป๊บสเมียร์(Pap smear) โดยการใช้แผ่นไม้บางๆเล็กๆรูปร่างคล้ายไม้พาย ป้ายบริเวณรูปากช่องคลอดแล้วมาป้ายบนสไลด์แล้วนำไปย้อมสี  จากนั้นนำมาดูลักษณะของเซลล์ หากมีการติดเชื้อ  ลักษณะเซลล์จะผิดปกติไป 
  • ตรวจด้วยเทคนิคที่เรียกว่า Liquid-based solution ซึ่งการตรวจจะคล้ายคลึงกับการตรวจแปบสเมียร์ แต่จะเป็นการเก็บเซลล์ที่จะตรวจในน้ำยาเฉพาะ แทนการป้ายเซลล์บนแผ่นแก้ว (Slide) ซึ่งจะให้ความแม่นยำในการตรวจสูงกว่าการตรวจแปบสเมียร์
  • ตรวจหาดีเอ็นเอของเชื้อเอชพีวี(HPV DNA testing)จากเซลล์ปากมดลูก (ตรวจจากการตรวจภายใน) ซึ่งสามารถบอกได้ถึงชนิดของเชื้อเอชพีวี ว่าเป็นกลุ่มที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งสูงหรือต่ำ

ควรไปพบแพทย์เมื่อไหร่?

ในสตรีที่แต่งงาน/มีเพศสัมพันธ์แล้ว มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อเอชพีวี (HPV) ทุกคนหากไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัยชายทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้นการไปพบแพทย์ เพื่อตรวจภายในและคัดกรองมะเร็งปากมดลูกทุกๆปี หรือบ่อยตามแพทย์แนะนำ แม้จะไม่มีอาการผิดปกติ จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสตรีที่แต่งงาน, และที่มีเพศสัมพันธ์แล้วทุกคน

เมื่อมีการติดเชื้อเกิดขึ้น ซึ่งสามารถตรวจพบจากการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก อาจโดยการตรวจด้วย วิธี Pap smear (ทราบว่ามีการติดเชื้อ HPV แต่บอกสายพันธ์ย่อยไม่ได้),   วิธี  Liquid based solution (ทราบว่ามีการติดเชื้อเอชพีวี แต่บอกสายพันธ์ย่อยไม่ได้), หรือ วิธี  HPV DNA testing ที่บอกสายพันธ์ย่อยได้,  ซึ่งเมื่อพบมีการติดเชื้อ แพทย์มักจะนัดไปทำการตรวจเพิ่มเติมต่อไป โดยผ่านกล้องส่องขยายและตัดชิ้นเนื้อที่ปากมดลูกเพิ่มเติมเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา

ป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีอย่างไร?

ป้องกันการติดเชื้อเอชพีวีได้ เช่น

  • ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง
  • รับประทานอาหาร ผัก ผลไม้ที่มีประโยชน์
  • ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ
  • ใส่ถุงยางอนามัยชายทุกครั้งเมื่อมีการร่วมเพศ
  • ฉีดวัคซีนป้องการการติดเชื้อ HPV(เอชพีวี วัคซีน) ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยให้เราลดโอกาการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้

บรรณานุกรม

  1. Dunne,E. et al. (2007). Prevalence of HPV Infection Among Females in the United States. JAMA.297,813-819. 
  2. Winer,R. et al. (2003). Genital Human Papillomavirus Infection: Incidence and Risk Factors in a Cohort of Female University Students. Am J epidemiol.157, 218-226.
  3. https://www.cdc.gov/std/hpv/stdfact-hpv.htm   [2022,June18]
  4. https://www.medicalnewstoday.com/articles/hpv-symptoms-in-women#vaginal-symptoms  [2022,June18]