โรคภัยไข้เจ็บ ตอนที่ 19 – บุหรี่ไฟฟ้า (3)
- โดย ดร. วิทยา มานะวาณิชเจริญ
- 7 มิถุนายน 2566
- Tweet
ในบรรดาผู้ใหญ่ชาวอเมริกันที่พยายามเลิก (Quit) สูบบุหรี่ ประมาณ 1 ใน 3 ที่พยายามทดแทน (Substitute) บุหรี่แบบดั้งเดิมด้วยบุหรี่ไฟฟ้า มีงานวิจัยเปรียบเทียบบุหรี่ไฟฟ้ากับผลิตภัณฑ์นิโคตีน (Nicotine) อื่นๆ เช่น หมากฝรั่ง (Gum) หรือแผ่นแปะ (Patch)
ผลปรากฏว่า บุหรี่ไฟฟ้านำไปสู่การละเว้น (Abstinence) การสูบบุหรี่แบบดั้งเดิมภายใน 1 ปี ใน 18% ของผู้เข้าร่วมงานวิจัย เปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์นิโคตีนอื่น ใน 10% ของผู้เข้าร่วมงานวิจัย แต่ปัญหาก็คือ 1 ปีให้หลัง 80% ของผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้ายังคงเสพติดไอระเหย (Vaping)
ดังนั้น ผู้คนส่วนใหญ่ (Majority) ยังคงสูบบุหรี่และสูดไอระเหยในเวลาเดียวกัน (Simultaneous) ซึ่งสอดคล้องกับการค้นพบของศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคติดต่อ (Center for Disease Prevention and Control: CDC) ในสหรัฐอเมริกา ที่แสดงว่า ผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้า ไม่ได้หยุดยั้งการสูบบุหรี่แบบดั้งเดิม แต่ยังคงดำเนินการสูบทั้ง 2 รูปแบบ ซึ่งมีอันตรายมากกว่าการสูบบุหรี่เพียงแบบเดียว
การสูบบุหรี่ไฟฟ้า เป็นอันตรายต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพียงแต่เรายังไม่มีข้อมูลยาวนานพอ ที่จะสรุปว่า อันตรายน้อยกว่าการสูบบุหรี่แบบดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน เรารู้ว่าของเหลว (Liquid) นั้นเป็นละอองลอย (Aerosolized) ซึ่งประกอบด้วยสารเคมีอันตราย เมื่อถูกสูดเข้า (Inhaled) สู่ร่างกาย
ในระหว่างที่เรายังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ (Fully understand) ถึงขอบเขต (Extent) ของผลกระทบของการสูบบุหรี่ไฟฟ้า เราควรระมัดระวัง (Prudent) ในการหลีกเลี่ยงการใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นหนทาง (Means) ในการเลิกสูบบุหรี่แบบดั้งเดิม แล้วจดจ่อ (Focus) ในวิธีการอื่นที่จะช่วยหยุดการสูบบุหรี่แบบดั้งเดิม
การเลิกนิสัยการสูบบุหรี่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพทุกวัย หลังการเลิกสูบบุหรี่ได้ 1 ปี ความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจ (Heart disease) จะลดลงครึ่งหนึ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ยังคงสูบบุหรี่ต่อไป หลังการเลิกสูบบุหรี่ได้ 2 ถึง 5 ปี ความเสี่ยงของการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) จะกลับไป ณ ระดับของผู้ไม่สูบบุหรี่เลย
หลังการเลิกสูบบุหรี่ได้ 5 ปี ความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งปาก, คอหอย, หลอดอาหาร (Esophagus), และกระเพาะปัสสาวะ (Bladder) จะลดลง 50% หลังการเลิกสูบบุหรี่ได้ 10 ปี ความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งปอด จะเป็นครึ่งหนึ่งของผู้ยังคงสูบบุหรี่ต่อไป หลังการเลิกสูบบุหรี่ได้ 15 ปี ความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจ จะกลับไปที่ระดับของผู้ยังไม่สูบบุหรี่
ดังนั้น เวลาไหนก็เหมาะสำหรับการเลิกสูบบุหรี่ทั้งนั้น เพียงแต่ความจริงนี้ได้สูญหายไปในประชากรทั่วไป (General population) คนส่วนใหญ่ (ประมาณ 68%) ของผู้ต้องการเลิกสูบบุหรี่ ในปี ค.ศ. 2018 ประมาณ 55% ของผู้สูบบุหรี่รายงานว่า พยายามเลิกสูบบุหรี่อยู่ แต่มีเพียง 7.5% ที่ประสบความสำเร็จในปีดังกล่าว
ดังนั้น ประมาณ 5 ใน 10 คน ที่สูบบุหรี่ได้พยายามเลิกสูบแล้ว แต่มีเพียง 1 ใน 10 คนดังกล่าวที่สัมฤทธิ์ผล แล้วเราจะช่วยคนที่เหลือให้เลิกนิสัยสูบบุหรี่ได้อย่างไร
แหล่งข้อมูล