โรคพุพอง (Impetigo)
- โดย พญ. ธนัฐนุช วงศ์ชินศรี
- 31 มกราคม 2564
- Tweet
- บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
- อะไรเป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคพุพอง?
- โรคพุพองติดต่ออย่างไร?
- โรคพุพองมีอาการอย่างไร?
- แพทย์วินิจฉัยโรคพุพองได้อย่างไร?
- ควรพบแพทย์เมื่อไหร่?
- แพทย์รักษาโรคพุพองอย่างไร?
- โรคพุพองมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
- โรคพุพองก่อผลข้างเคียงอะไรบ้าง?
- ดูแลตนเองอย่างไร?
- ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?
- ป้องกันโรคพุพองอย่างไร?
- บรรณานุกรม
- โรคผิวหนัง (Skin disorder)
- โรคติดเชื้อ ภาวะติดเชื้อ (Infectious disease)
- แบคทีเรีย: โรคจากแบคทีเรีย (Bacterial infection)
- กรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis)
- ยาฆ่าเชื้อ (Antimicrobial drug) ยาแก้อักเสบ (Anti inflammatory drug)
- น้ำยาฆ่าเชื้อ หรือ สารระงับเชื้อ (Antiseptics)
- เด็ก: โรคเด็ก (Childhood: Childhood diseases)
- ไตอักเสบ (Nephritis)
- ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics)
- ยาใส่แผล ยาทำแผล (Antiseptic)
บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
โรคพุพอง หรือโรคแผลพุพอง (Impetigo) คือโรคติดเชื้อที่ผิวหนังในบริเวณที่เป็นชั้นตื้นๆของหนังกำพร้า พบบ่อยในวัยเด็ก และมีการติดต่อง่าย มักพบบริเวณ ใบหน้า แขน ขา หรือ บริเวณที่มีรอยเปิดของผิวหนัง เช่น บริเวณที่มีแผล เช่น จากรอยเกา
อะไรเป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคพุพอง?
โรคพุพองเกิดจากผิวหนังติดเชื้อแบคทีเรียชนิด Streptococcus pyogenes และชนิด Staphylococcus aureus ซึ่งเป็นเชื้อที่อาจพบได้ปกติบริเวณผิวหนังและทางเดินหายใจ
โรคพุพองติดต่ออย่างไร?
โรคพุพองติดต่อได้จากการสัมผัสแผลพุพองโดยตรง หรือจากสัมผัสของใช้ เช่น เสื้อผ้า ของเล่นของเด็ก หรือของใช้-เสื้อผ้าของคนที่เป็นโรคพุพอง
โรคพุพองมีอาการอย่างไร?
อาการของโรคพุพอง:
- มักพบเกิดเป็นรอยโรคที่ผิวหนังบริเวณใบหน้าหรือบริเวณแขน-ขาที่มีแผลอยู่ก่อนแล้ว โดยเริ่มด้วยมีตุ่มน้ำหรือตุ่มหนองเล็กๆที่มีผนังบางๆซึ่งจะแตกออกง่ายจึงทำให้บริเวณแผลแฉะไปด้วยน้ำเหลืองและน้ำหนอง ซึ่งบางบริเวณจะแห้งกรังเป็นสะเก็ดกรัง
- กรณีแผลสีเหลืองๆคล้ายน้ำผึ้งเรียกว่า ‘Impetigo contagiosa’
- ในผู้ป่วยประมาณ 30% อาจมีตุ่มน้ำพองขนาดใหญ่ได้เรียกว่า ‘Bullous impetigo’
แพทย์วินิจฉัยโรคพุพองได้อย่างไร?
โดยทั่วไปแพทย์วินิจฉัยโรคพุพองจาก
- การสอบถามประวัติอาการ ประวัติการเกิดแผล ประวัติการสัมผัสโรค
- การตรวจร่างกาย และ ตรวจดูรอยโรคเป็นสำคัญ
- โดยอาจส่งเพาะเชื้อจากแผล เพื่อยืนยันชนิดของเชื้อโรค และเพื่อดูประสิทธิภาพของยาปฏิชีวนะต่อเชื้อที่ก่อโรคพุพอง
- การตัดชิ้นเนื้อจากรอยโรคเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา อาจทำในกรณีที่แพทย์ไม่แน่ใจในการวินิจฉัย หรือในผู้ป่วยที่เป็นแผลมานานโดยรักษาแล้วแผลไม่ดีขึ้น
ควรพบแพทย์เมื่อไหร่?
เมื่อมีบาดแผลที่ไม่หายจากการดูแลตนเองในเบื้องต้นหรือมีอาการที่แย่ลง เช่น มีอาการเจ็บ/ปวด หรืออักเสบมากขึ้น มีหนอง หรือแผลลุกลามขยายขนาดแผล ควรรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเสมอ
แพทย์รักษาโรคพุพองอย่างไร?
แพทย์รักษาโรคพุพองโดยแบ่งเป็นการดูแลบริเวณแผลและการกำจัดเชื้อโรค
ก. การดูแลแผล:
- โดยการทำแผลด้วยน้ำเกลือทำแผล (Normal saline) ที่สะอาด
- จากนั้น ทาบริเวณแผลด้วยยาฆ่าเชื้อ/ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมกับเชื้อเพื่อกำจัดเชื้อบริเวณแผล และเพื่อส่งเสริมกระบวนการหายของแผล
- ผู้ป่วยต้องไม่บีบ แคะ แกะ เกา บริเวณแผล เพราะจะเพิ่มโอกาสเชื้อกระจายไปผิวหนังบริเวณอื่น แผลลุกลามลงลึก และทำให้แผลหายช้า
ข. การกำจัดเชื้อโรค: คือ การทานยาปฏิชีวนะเพราะนอกจากจะกำจัดเชื้อบริเวณผื่น/แผลได้แล้ว ยังสามารถกำจัดเชื้อจากผิวหนังบริเวณอื่น และช่วยลดโอกาสการเกิดไตอักเสบจากปฏิกริยาภูมิคุ้มกันร่างกายต่อเชื้อโรคบางสายพันธุ์ (Poststreptococcal Glomerulonephritis)
โรคพุพองมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
โรคพุพอง มีการพยากรณ์โรคที่ดี ในผู้ป่วยที่มีสุขภาพแข็งแรง แผลอาจหายเองได้ใน 2 - 3 สัปดาห์แม้ไม่ได้รับการรักษา แต่หากได้รับการรักษาที่เหมาะสมแผลจะดีขึ้นใน 7 - 10 วัน
ผู้ป่วยที่มีผื่นที่ผิวหนังจากโรคอื่นร่วมด้วยเช่น ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง อาจจะทำให้โรคหายช้ากว่าปกติ
โรคนี้เมื่อรักษาหายแล้วสามารถกลับเป็นใหม่ได้อีก โดยทั่วไปถ้าการติดเชื้อไม่ลุกลามลงในผิวหนังชั้นลึกๆ หลังการรักษาหายแล้วมักไม่เกิดแผลเป็น
โรคพุพองก่อผลข้างเคียงอะไรบ้าง?
แม้โรคพุพองอาจสามารถหายได้เอง แต่อย่างไรก็ตามผู้ป่วยควรได้รับการรักษาที่เหมาะ สมจากแพทย์ เพื่อให้ผื่นหายเร็ว ลดการติดต่อไปสู่ผู้อื่น และยังลดโอกาสเชื้อลุกลาม เช่น การติดเชื้อเข้าสู่ผิวหนังชั้นที่อยู่ลึกซึ่งจะไม่หายเอง การรักษาจะยุ่งยากและเมื่อแผลหายแล้วอาจเกิดเป็นแผลเป็นได้
นอกจากนี้ การรักษาโดยแพทย์ยังช่วยลดโอกาสเกิดไตอักเสบจากปฏิกริยาภูมิคุ้มกันร่างกาย (Poststreptococcal Glomerulonephritis)
ดูแลตนเองอย่างไร?
เมื่อมีบาดแผลเกิดขึ้น ควรมีการดูแลรักษาความสะอาดแผล, ไม่บีบ แกะ เกา, ควรมีการทำแผล ทาแผลด้วยยาฆ่าเชื้อ/ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม
หากแผลมีอาการแย่ลง เช่น มีการอักเสบมากขึ้น มีหนอง หรือลุกลามขยายขนาด ควรรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาล
*เมื่อพบแพทย์แล้ว การดูแลตนเองนอกจากเช่นเดียวกับที่กล่าวตอนต้นคือ รักษาความสะอาดแผล ไม่บีบ แกะ เกา และยังควรต้อง
- ตัดเล็บให้สั้น
- รักษาความสะอาดเสื้อผ้า เครื่องใช้
- ล้างมือให้สะอาดบ่อยๆด้วยสบู่โดยเฉพาะหลังสัมผัสแผล
- ปฏิบัติตามแพทย์พยาบาลแนะนำ ที่รวมถึงกินยาต่างๆที่แพทย์สั่งให้ครบถัวนถูกต้อง ไม่หยุดยาเอง
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ)
- พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามนัดเสมอ
ควรพบแพทย์ก่อนนัดเมื่อไหร่?
หากเคยพบแพทย์แล้ว ควรรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัดเสมอเมื่อ
- อาการพุพองไม่ดีขึ้น
- มีอาการต่างๆแย่ลง
- มีอาการใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน เช่น ตาบวม แขนขาบวม ปัสสาวะเป็นเลือด
- เมื่อกังวลในอาการ
ป้องกันเกิดโรคพุพองอย่างไร?
การป้องกันโรคพุพองคือ การป้องกันแผลติดเชื้อเมื่อเกิดมีแผลขึ้นที่ผิวหนังซึ่งป้องกันได้โดย
- รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ)
- รักษาความสะอาดผิวหนังเสมอด้วยการอาบน้ำทุกวัน
- ทำความสะอาดผิวหนังทุกครั้งด้วยสบู่เมื่อสัมผัสสิ่งสกปรก
- เมื่อมีแผลเกิดขึ้นควรรักษาความสะอาดแผลเสมอ อาจทาแผลด้วยยาฆ่าเชื้อหรือทายาปฏิชีวนะจนกว่าแผลจะหาย
- ไม่แกะ เกา บีบ แผล
- ตัดเล็บให้สั้น
- เมื่อมีแผล รักษาความสะอาดเสื้อผ้า เครื่องใช้ ที่สัมผัสแผล
- ล้างมือให้สะอาดบ่อยๆและทุกครั้งที่สัมผัสแผล
- ไม่คลุกคลีกับผู้ป่วยโรคพุพอง ไม่ใช้เครื่องใช้ร่วมกัน
- เพื่อป้องกันแผลลุกลาม เมื่อเกิดแผลพุพอง/แผลเป็นหนอง แผลติดเชื้อ ควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเสมอ ไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะใช้เอง
บรรณานุกรรม
- Burns, T., & Rook, A. (2010). Rook's textbook of dermatology (8th ed.). Chichester, West Sussex, UK ; Hoboken, NJ: Wiley-Blackwell.
- http://www.dermnetnz.org/bacterial/impetigo.html [2021,Jan23]
- http://emedicine.medscape.com/article/965254-overview [2021,Jan23]
- https://www.nlm.nih.gov/medlineplus/ency/article/000860.html [2021,Jan23]
- ปรียากุลละวณิชย์,ประวิตร พิศาลยบุตร .Dermatology 2020:ชื่อบท.พิมพ์ครั้งที่1.กรุงเทพฯ:โฮลิสติก,2555