โรคขี้เต็มท้อง โรคอุจจาระอุดตัน (Fecal impaction)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
- 2 เมษายน 2565
- Tweet
สารบัญ
- บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
- โรคอุจจาระอุดตันเกิดได้อย่างไร?อะไรเป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง?
- อุจจาระอุดตันมีอาการอย่างไร?
- เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
- แพทย์วินิจฉัยโรคอุจจาระอุดตันได้อย่างไร?
- รักษาโรคอุจจาระอุดตันอย่างไร?
- ดูแลตนเองอย่างไร?
- โรคอุจจาระอุดตันรุนแรงไหม?
- ป้องกันโรคอุจจาระอุดตันอย่างไร?
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- ท้องผูก (Constipation)
- ยาแก้ท้องผูก (Anticonstipation)
- ริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids or piles)
- อุจจาระเป็นเลือด เลือดออกทางทวารหนัก ถ่ายเป็นเลือด (Bleeding per rectum)
- เลือดออกในทางเดินอาหาร (Gastrointestinal bleeding or GI bleeding)
- ลำไส้อุดตัน (Intestinal obstruction)
- ลำไส้ทะลุ (Gastrointestinal perforation)
- ลำไส้ใหญ่ (Large bowel)
- ลำไส้ใหญ่พอง (Megacolon)
บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
โรคอุจจาระอุดตัน/โรคขี้เต็มท้อง(Fecal impaction) คือ โรคที่มีอุจจาระแข็งและแห้งปริมาณมากมายขังคั่งค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่อย่างต่อเนื่องจนก่ออาการเรื้อรังผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร เช่น แน่นอึดอัดท้อง ปวดท้องแบบปวดบีบ ท้องผูกเรื้อรัง ปวดเบ่ง ทุกครั้งที่ถ่ายอุจจาระ อุจจาระเป็นเลือด ฯลฯ ซึ่งสาเหตุหลักเกิดเพราะท้องผูกเรื้อรังจากกลั้นอุจจาระต่อเนื่อง, ใช้ชีวิตแบบนั่งๆนอนๆ, และกินอาหารขาดใยอาหารที่เพียงพอ
โรคอุจจาระอุดตัน หรือ คนไทยมักเรียก ‘โรคขี้เต็มท้อง’ เป็นโรค/ภาวะพบทั่วโลกบ่อยพอประมาณ แต่ยังไม่มีรายงานการศึกษาสถิติเกิด พบสูงในผู้สูงอายุที่ขาดคนดูแล/ในบ้านพักคนชรา/ในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุซึ่งมีรายงานจากสหรัฐอเมริกาในกลุ่มดังกล่าวพบสูงถึงประมาณ 70% และมักพบในเพศหญิงสูงกว่าเพศชาย, อย่างไรก็ตาม พบได้ทุกเพศทุกวัย, โดยสาเหตุหลักคือท้องผูกเรื้อรังจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันและ/หรือจากโรคระบบทางเดินอาหารเรื้อรัง
อนึ่ง: ชื่ออื่นของโรคนี้ เช่น Fecal impaction of colon, Impacted bowel, Impacted colon
โรคอุจจาระอุดตันเกิดได้อย่างไร?อะไรเป็นสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง?
โรคอุจจาระอุดตัน/โรคขี้เต็มท้อง คือโรคที่เกิดเพราะมีภาวะท้องผูกเรื้อรัง มักร่วมกับการใช้ยาแก้ท้องผูกเรื้อรังจนกล้ามเนื้อลำไส้ใหญ่โดยเฉพาะไส้ตรงทำงานด้อยประสิทธิภาพลง การบีบตัวขับอุจจาระออกจึงลดลงมาก อุจจาระจึงเหลือกักขังคั่งค้างในลำไส้ใหญ่โดยเฉพาะส่วนไส้ตรง(ส่วนปลายลำไส้ใหญ่ที่ใช้กักอุจจาระก่อนปล่อยออกนอกร่างกาย)ที่ส่งผลให้อุจจาระ แห้ง แข็ง จึงยิ่งขับถ่ายได้ยาก ถ่ายไม่ออก ส่งผลเกิดการสะสมของอุจจาระต่อเนื่องจนท้นเข้าในลำไส้ใหญ่ส่วนอื่นๆที่ต่อเนื่องกับไส้ตรง จนในที่สุดกักค้างในทุกส่วนของลำไส้ใหญ่ เกิดเป็น ’ภาวะ/โรคขี้เต็มท้อง หรือ อุจจาระอุดตัน’
ทั้งนี้ ปัจจัยทำให้เกิดท้องผูกเรื้อรัง หรือกล้ามเนื้อลำไส้ใหญ่ขาดประสิทธิภาพในการบีบตัวมีหลายปัจจัย ได้แก่
- ผู้สูงอายุ: เพราะเซลล์ผนังลำไส้จะเสื่อมตามธรรมชาติ/ตามวัย จึงทำงานถดถอย
- การใช้ชีวิตแบบนั่งๆนอนๆ เคลื่อนไหวน้อย ไม่ออกกำลังกาย ลำไส้จึงบีบตัวเคลื่อนไหวลดลงต่อเนื่อง
- กินอาหารที่มีใยอาหารน้อย เช่น ขาด ผัก ผลไม้ ส่งผลขาดตัวกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว
- ดื่มน้ำน้อยส่งผลเกิดภาวะขาดน้ำเรื้อรัง ก้อนอุจจาระจึงแห้งแข็งเคลื่อนที่ลำบาก
- มีโรคสมองหรือโรคไขสันหลังที่ควบคุมการบีบตัวของลำไส้ เช่น โรคอัมพาต, โรคสมองเสื่อม, อุบัติเหตุที่ไขสันหลัง
- ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิดที่ใช้เป็นประจำที่ส่งผลให้ลำไส้ใหญ่บีบตัวลดลง เช่น
- ยาแก้ท้องเสีย
- ยากลุ่มแอนตี้มัสคารินิกที่ใช้รักษาบางโรคใน โรคสมอง, โรคระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ (อ่านเพิ่มเติมจากเว็บcom)
- ยาแก้ปวดที่ลดการบีบตัวของกล้ามเนื้อลำไส้ เช่น ยาในกลุ่มโอปิออยด์
- กินธาตุเหล็ก และ/หรือ แคลเซียม เสริมอาหารมากเกินไป
- ยาลดความดันกลุ่มแคลเซียมแชนแนลบล็อกเกอร์, กลุ่มยาขับปัสสาวะ
- ยาจิตเวชบางชนิด เช่น ยาต้านเศร้าบางชนิด, ยากันชักบางชนิด
- โรคต่างๆบางโรค เช่น
- โรคระบบทางเดินอาหารเรื้อรังบางโรค เช่น โรคโครห์น, โรคลำไส้แปรปรวน, โรคซีลิแอก, กระเพาะอาหารบีบตัวช้า, โรคถุงผนังลำไส้ใหญ่, โรคลำไส้ใหญ่พอง
- โรคภูมิต้านตนเอง เช่น โรคลูปัส-โรคเอสแอลอี ฯลฯ
- ต่อมไทรอยด์ทำงานต่ำ/ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน
- โรคเบาหวาน
- มะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือ มะเร็งไส้ตรง
- ผลข้างเคียงจากผ่าตัดลำไส้ใหญ่โดยเฉพาะบริเวณไส้ตรงที่ส่งผลให้ลำไส้ใหญ่ตีบ
อุจจาระอุดตันมีอาการอย่างไร?
อาการโรคอุจจาระอุดตัน/โรคขี้เต็มท้อง มีหลายอาการร่วมกัน ซึ่งทั่วไปทุกอาการเป็นอาการเรื้อรัง แต่ไม่จำเป็นต้องมีครบทุกอาการ ได้แก่
- ท้องอืด แน่นท้อง ร่วมกับ ปวดท้องแบบปวดบีบ
- ท้องเสียเป็นน้ำเป็นครั้งคราว ที่เกิดจากอุจจาระใหม่ที่ยังเป็นน้ำอยู่ไหลซึมผ่านก้อนอุจจาระที่แข็งออกมา
- ปวดเบ่งเมื่อถ่ายอุจจาระ
- ปวดอุจจาระตลอดเวลาแต่ถ่ายไม่ออก
- อุจจาระเป็น ก้อนแข็ง แห้ง ลำอุจจาระขนาดเล็กผิดปกติ
- อุจจาระเป็นเลือด
- ขณะถ่ายอุจจาระ อาจรู้สึกเป็นลมจากเบ่งอุจจาระเพราะการเบ่งฯจะกระตุ้นให้เกิด หัวใจเต้นเร็วและ/หรือความดันโลหิตต่ำ
- ปัสสาวะบ่อย มักร่วมกับปัสสาวะเล็ด หรือ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ จากก้อนอุจจาระในลำไส้ฯกดเบียดทับกระเพาะปัสสาวะเพราะเป็นอวัยวะที่อยู่ติดกัน
- อื่นๆ เช่น
- คลื่นไส้ อาจมี อาเจียนร่วมด้วย
- ปวดหัว
- เบื่ออาหาร
- น้ำหนักลดผิดปกติ
- ปวดหลังช่วงล่าง จากเพิ่มแรงดันของก้อนอุจจาระในท้องน้อย/อุ้งเชิงกราน
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
เมื่อมีอาการดังกล่าวใน ’หัวข้อ อาการฯ’ และโดยเฉพาะในผู้มีปัจจัยเสี่ยงฯ ดังกล่าวใน’หัวข้อ สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงฯ’ ควรต้องรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาลเพราะถ้าปล่อยไว้นาน อาจเกิดอันตรายถึงตายได้จากลำไส้ทะลุ
แพทย์วินิจฉัยโรคอุจจาระอุดตันได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยโรคอุจจาระอุดตัน/โรคขี้เต็มท้องได้จาก การตรวจวินิจฉัยทางคลินิก โดยไม่มีวิธีเฉพาะ ได้แก่
- ซักถาม อาการต่างๆ และ สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงของผู้ป่วย ร่วมกับการตรวจร่างกาย และที่สำคัญคือ การตรวจทางทวารหนัก ซึ่งจะพบก้อนอุจจาระแห้ง แข็ง อัดค้างในในทวารหนัก
- เอกซ์เรย์ภาพช่องท้อง จะพบช่องท้องเห็นเป็นก้อนสีขาว(ก้อนอุจจาระ)กระจายเต็มในทุกส่วนของลำไส้ใหญ่โดยเฉพาะในลำไส้ตรงซึ่งจะขยายใหญ่ขึ้นด้วย
นอกจากนี้ อาจมีการตรวจอื่นๆเพื่อการสืบค้นเพิ่มเติมเพื่อ วินิจฉัยแยกโรค, ยืนยันโรค, วินิจฉัยหาสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง, ฯลฯ ตามอาการผู้ป่วยและดุลพินิจของแพทย์ เช่น
- ตรวจเลือด, การตรวจปัสสาวะ
- ส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ อาจร่วมกับตัดชิ้นเนื้อเมื่อพบมีรอยโรคในลำไส้ใหญ่เพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา
- ตรวจภาพลำไส้ใหญ่ด้วยเอกซเรย์สวนแป้ง(Barium enema)
- ตรวจภาพช่องท้องด้วย อัลตราซาวด์ และ/หรือ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์/ซีทีสแกน
รักษาโรคอุจจาระอุดตันอย่างไร?
หลักการรักษาโรคอุจจาระอุดตัน/โรคขี้เต็มท้อง ประการแรก คือ กำจัดอุจจาระให้ออกให้หมดจากลำไส้ ร่วมกับป้องกันไม่ให้เกิดการสะสมใหม่ของอุจจาระ(ดูแลรักษาและป้องกันสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง) และรักษาผลข้างเคียง
ก. การกำจัดอุจจาระออกจากลำไส้ใหญ่: ซึ่งมีหลายวิธี แพทย์จะเลือกใช้ตามความรุนแรงของการสะสมของอุจจาระ, อาการผู้ป่วย, สุขภาพโดยรวม, และอายุของผู้ป่วย, และอาจใช้หลายวิธีร่วมกัน ซึ่งการรักษาต้องต่อเนื่องและใช้ระยะเวลานานอาจถึง3-4สัปดาห์ บางวิธีเป็นการรักษาแบบผู้ป่วยนอก บางวิธีอาจจำเป็นต้องรักษาแบบผู้ป่วยใน โดยวิธีต่างๆ เช่น
- ใช้นิ้วมือสอดผ่านทวารหนักเพื่อบี้อุจจาระให้ขนาดเล็กลงพอที่จะล้วงควักออกทาง ทวารหนักได้(Manual disimpaction)
- กินยาแก้ท้องผูก
- เหน็บยาแก้ท้องผูก
- สวนอุจจาระ: อาจสวนล้างด้วยน้ำ และ/หรือ ด้วยน้ำยาสวนทวาร
- ผ่าตัดลำไส้ มักใช้กรณีมีผลข้างเคียง เช่น เกิด ก้อนอุจจาระแข็งคล้ายก้อนเนื้อ (Fecaloma)อุดตันลำไส้, ลำไส้อุดตัน, ลำไส้ทะลุ
- รักษาโรคที่เป็นสาเหตุ: เช่น โรคโครห์น, โรคลำไส้ใหญ่พอง (อ่านรายละเอียดโรคต่างๆเหล่านี้ได้จากเว็บcom)
ข.ป้องกันการสะสมกักค้างของอุจจาระ: ที่สำคัญที่สุด คือ ป้องกันท้องผูก ซึ่งดูแลรักษาโดย การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต และการใช้ยาตามแพทย์แนะนำ
- การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต: ที่สำคัญ คือ
- หาสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงของท้องผูกเรื้อรังให้ได้เพื่อดูแลรักษาและป้องกันท้องผูกเรื้อรังเกิดซ้ำ
- ผู้ป่วยและผู้ดูแลควรเข้าใจและตระหนักถึงสาเหตุที่ทำให้ท้องผูก/การเกิดโรคนี้(ขอคำอธิบายแนะนำ จากแพทย์ พยาบาล)เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการรักษาพยาบาลกับแพทย์ พยาบาล ในการปฏิบัติ
- การขับถ่าย:
- เมื่อปวดอุจจาระ ควรต้องรีบเข้าห้องส้วม ไม่กลั้นอุจจาระ
- และ/หรือ ฝึกเข้าห้องส้วมให้เป็นเวลา(สอนโดยพยาบาล)เพื่อให้สามารถควบคุมเวลาขับถ่ายที่เหมาะสมกับการใช้ชีวิตประจำวันได้ดี
- ไม่ใช้ยาแก้ท้องผูก/ยาระบายเป็นประจำ เพราะจะทำให้ลำไส้เคยชินจนจะบีบตัวได้ต้องใช้ยาฯซึ่งจะต้องเพิ่มขนาดยาไปเรื่อยๆ จึงส่งผลให้เกิดท้องผูกเรื้อรังจากลำไส้ลดการบีบตัว
- อาหาร น้ำดื่ม เครื่องดื่ม:
- กินอาหารที่มีใยอาหารสูงในทุกมื้ออาหารเพื่อเพิ่มมวลอุจจาระให้ขับถ่ายได้ง่าย เช่น ผักในเขียวเข็ม(รวม ดอก ก้านใบ เช่น คะน้า, บร็อคโคลี, กะหล่ำ)
- ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอในแต่ละวัน ดื่มที่ละน้อยๆตลอดวันไม่ต้องรอให้กระหาย, ในผู้ใหญ่ไทย ประมาณวันละประมาณ 5-2ลิตร, ส่วนในเด็กควรปรึกษาแพทย์เพราะต้องขึ้นกับอายุเด็ก, เพราะน้ำจะช่วยให้อุจจาระนุ่มจึงขับถ่ายสะดวก
- จำกัดปริมาณเครื่องดื่มที่มี’คาเฟอีน และ/หรือ แอลกอฮอล์’ เพราะจะเพิ่มปริมาณและจำนวนครั้งของการปัสสาวะและปัสสาวะบ่อย ทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำได้ง่าย
- ออกกำลังกายทุกวันตามควรกับสุขภาพ และเคลื่อนไหวร่างกายเสมอ ไม่นั่งๆนอนๆ เพราะจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดและเพิ่มการเคลื่อนไหวบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้ จึงช่วยไม่ให้ท้องผูก
- ควรนอนหลับให้พอดีในแต่ละวัน การนอนไม่พอ หรือการนอนมากเกินไปจะส่งผลให้กระเพาะอาหารและลำไส้บีบตัวเคลื่อนไหวลดลง ส่งผลเกิดท้องผูกได้ง่าย, ระยะเวลาการนอนในแต่ละคืนจะขึ้นกับอายุ, ในผู้ใหญ่การนอนอย่างเพียงพอตามคำแนะนำของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค สหรัฐอเมริกา(US CDC) อยู่ในช่วง 7-9ชั่วโมง/คืน
- การใช้ยาเพื่อการขับถ่ายอุจจาระ: ควรปรึกษาแพทย์/เภสัชกรก่อนใช้ และควรขึ้นกับคำแนะนำของแพทย์ ไม่ควรซื้อยากลุ่มนี้ใช้เองเพราะเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของการเกิดโรคนี้ เช่น
- ยาเพิ่มการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหาร: เช่น เมโทโคลพราไมด์ ยาดอมเพอริโดน แมคโครไลด์ (อ่านรายละเอียดยาจากเว็บhaamor)
- ยาช่วยทำให้อุจจาระนุ่ม ขับถ่ายออกง่าย เช่นยา แลคตูโลส, บิซาโคดิล, ด็อกคูเสทโซเดียม (อ่านรายละเอียดยาจากเว็บhaamor)
- ยาแก้ท้องผูก/ยาระบาย
ค. ดูแลรักษาโรคที่เป็นผลข้างเคียงจากโรคขี้เต็มท้อง: ดังกล่าวในหัวข้อถัดไป ‘หัวข้อ ความรุนแรงโรคและผลข้างเคียงฯ’ (แนะนำอ่านวิธีดูแลรักษาและรายละเอียดโรคเหล่านั้นจากเว็บ haamor)
โรคอุจจาระอุดตันรุนแรงไหม?มีผลข้างเคียงอย่างไร?
โรคอุจจาระอุดตัน/โรคขี้เต็มท้อง ถ้าได้รับการรักษา โรคมักจะหายเป็นปกติเสมอ แต่ต้องใช้ระยะเวลารักษา อาจนานเป็นเดือนโดยเฉพาะกรณีพบแพทย์ล่าช้า
อย่างไรก็ตาม โรคนี้กลับเป็นซ้ำได้เสมอโดยเฉพาะเมื่อยังคงมีปัจจัยสี่ยงที่กล่าวใน ‘หัวข้อ สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงฯ’ และ/หรือ ไม่ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตดังกล่าวใน’หัวข้อ การรักษาฯ ข้อย่อย ข. ’
อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่รีบดูแลรักษา เมื่อเกิดผลข้างเคียง อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงถึงตายได้ถ้ารักษาไม่ทันหรือการรักษาไม่ได้ผล ซึ่งผลข้างเคียง เช่น
- ภาวะลำไส้อุดตันจากก้อนอุจจาระ โดยเฉพาะเมื่ออาการรุนแรงมากจนอุจจาระแข็งมากรวมตัวกันเป็นก้อนแข็งเหมือนก้อนเนื้อ ซึ่งเรียกภาวะนี้ว่า ‘ฟีคะโลมา (Fecaloma)’ ที่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัดลำไส้เพื่อเอาก้อนอุจจาระนี้ออก
- ภาวะเลือดออกในทางเดินอาหาร
- ภาวะลำไส้ทะลุ จากการขยายยืดจนบางของผนังลำไส้ร่วมกับแรงดันของก้อนอุจจาระ ผนังลำไส้จึงทะลุได้ง่าย
- ริดสีดวงทวาร
- ฝีคัณฑสูตร
(อนึ่ง: แนะนำอ่านเพิ่มเติมโรค/ภาวะที่เป็นผลข้างเคียงดังกล่าวได้จากเว็บ haamor.com)
ป้องกันโรคอุจจาระอุดตันอย่างไร?
โรคอุจจาระอุดตัน/โรคขี้เต็มท้อง สามารถป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพโดย ป้องกันเกิดท้องผูกเรื้อรัง ซึ่งคือ การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ดังกล่าวใน’หัวข้อ การรักษาฯ ข้อย่อย ข.’
บรรณานุกรม
- https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK448094/ [2022,April2]
- https://www.healthline.com/health/fecal-impaction [2022,April2]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Fecal_impaction [2022,April2]
- https://www.medicalnewstoday.com/articles/322150 [2022,April2]
- https://www.bbuk.org.uk/wp-content/uploads/2020/09/Understanding-Management-of-Constipation-and-Disimpaction.pdf [2022,April2]
- https://www.eatright.org/fitness/sports-and-performance/hydrate-right/water-go-with-the-flow [2022,April2]
- https://www.cdc.gov/sleep/about_sleep/how_much_sleep.html [2022,April2]
- https://www.healthline.com/health/how-much-water-should-I-drink#recommendations [2022,April2]