เดเมโคลไซคลีน (Demeclocycline)
- โดย เภสัชกร อภัย ราษฎรวิจิตร
- 22 ตุลาคม 2565
- Tweet
สารบัญ
- บทนำ: คือยาอะไร?
- เดเมโคลไซคลีนมีสรรพคุณ (คุณสมบัติ) รักษาโรคอะไร?
- เดเมโคลไซคลีนมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?
- เดเมโคลไซคลีนมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?
- เดเมโคลไซคลีนมีขนาดรับประทานอย่างไร?
- เมื่อมีการสั่งยา ควรแจ้งแพทย์/พยาบาล และเภสัชกรอย่างไร?
- หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร?
- เดเมโคลไซคลีนมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?
- มีข้อควรระวังการใช้เดเมโคลไซคลีนอย่างไร?
- เดเมโคลไซคลีนมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?
- ควรเก็บรักษาเดเมโคลไซคลีนอย่างไร?
- เดเมโคลไซคลีนมีชื่ออื่นอีกไหม? ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- ยารักษาโรค (Pharmaceutical drug)
- ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด
- ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics)
- เตตราไซคลีน (Tetracycline)
- สะตีเวนส์จอห์นสัน (Stevens-Johnson syndrome)
- เบาจืด (Diabetes insipidus)
- ยาลดกรด (Antacids)
- โรคไลม์ (Lyme disease)
บทนำ: คือยาอะไร?
เดเมโคลไซคลีน (Demeclocycline หรือ Demeclocycline hydrochloride) คือ ยาปฏิชีวนะกึ่งสังเคราะห์ กลุ่มเดียวกับยาเตตราไซคลีน (Tetracycline), ประโยชน์ทางคลินิก คือใช้ รักษาสิว, หลอดลมอักเสบ, รวมถึง ภาวะเกลือโซเดียมในเลือดต่ำ, โดยมีรูปแบบยาแผนปัจจุบันเป็นยารับประทาน, และชื่ออื่นของยานี้ คือ Demeclocycline HCl
ในอดีต ยาเดเมโคลไซคลีน เคยใช้เป็นยารักษาการติดเชื้อแบคทีเรียกลุ่ม Borrelia ที่ก่อโรคชื่อโรคไลม์ (Lyme disease) แต่เพราะเชื้อแบคทีเรียต่างๆก็มีพัฒนาการดื้อต่อยานี้ได้เช่นกัน จึงอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ยาเดเมโคลไซคลีนไม่ได้รับความนิยมในการนำมาใช้ต่อต้านแบคทีเรีย, แต่กลับนำมาบำบัดอาการขาดเกลือโซเดียม/ภาวะเกลือโซเดียมในเลือดต่ำจากสาเหตุมีการเพิ่มปริมาณของฮอร์โมนร่างกายที่ทำหน้าที่ดูดน้ำกลับเข้ากระแสเลือดมากเกินไป (Syndrome of inappropriate antidiuretic hormone/SIADH), ซึ่งทางการแพทย์เริ่มศึกษาประโยชน์ทางคลินิกด้านนี้ของยานี้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1975 (พ.ศ.2518) จากการเปรียบเทียบผลของการรักษา SIADH โดยใช้ยาเดเมโคลไซคลีนเปรียบเทียบกับยา Lithium carbonate ผลการศึกษาพบว่า ตัวยาเดเมโคลไซคลีนให้ผลการรักษาภาวะ SIADH ได้ดีกว่า
หลังการรับประทานยาเดเมโคลไซคลีน, ตัวยาจะถูกดูดซึมจากระบบทางเดินอาหารและเข้าสู่ร่างกาย/กระแสเลือดได้ประมาณ 60 – 80%, จากนั้นจะเข้ารวมตัวกับพลาสมาโปรตีนในกระแสเลือดได้ประมาณ 41 – 50%, การทำลายยานี้จะเกิดขึ้นที่ตับ, ซึ่งร่างกายต้องใช้เวลาประมาณ 10 – 17 ชั่วโมงเพื่อกำจัดยาเดเมโคลไซคลีนออกจากกระแสเลือด โดยผ่านทิ้งไปกับปัสสาวะ
ข้อจำกัดของยาเดเมโคลไซคลีน จะคล้ายกับยาเตตราไซคลีน คือ ห้ามใช้ยานี้กับสตรีตั้งครรภ์ สตรีที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร และเด็ก(นิยามคำว่าเด็ก) ด้วยตัวยาเดเมโคลไซคลีนสามารถส่งผลกระทบ(ผลข้างเคียง)ต่อการพัฒนาการเจริญเติบโตของกระดูกในทารก
อาการข้างเคียง(ผลข้างเคียง)อื่นๆจากยาเดเมโคลไซคลีนจะแสดงออกมาทางผิวหนัง, โดยทำให้ผิวแพ้แสงแดดง่าย, หรือส่งผลต่อการทำงานของไตโดยทำให้เกิดภาวะ/โรคเบาจืดชนิดที่เรียกว่า Nephrogenic diabetes insipidus
ยาเดเมโคลไซคลีน ยังสามารถทำปฏิกิริยาระหว่างยากับยาประเภทอื่นๆได้หลายรายการ เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด, ยา Digoxin, Methotrexate, ยาเม็ดคุมกำเนิด, ยากลุ่ม Penicillin, ยาลดกรด, ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการรักษา, รวมถึงทำให้เกิดอาการข้างเคียงจากยาเดเมโคลไซคลีนได้เพิ่มขึ้น
โดยทั่วไป ต้องรับประทานยานี้ก่อนอาหารประมาณ 1 ชั่วโมง, หรือหลังอาหารประมาณ 2 ชั่วโมง, และต้องดื่มน้ำมากๆหลังรับประทานยานี้เพื่อขับไล่ยานี้ให้ออกจากหลอดอาหารและกระเพาะอาหารโดยเร็ว เพื่อลดอาการระคายเคืองต่อหลอดอาหารและต่อกระเพาะอาหาร, นอกจากนั้น หลังรับประทานยาเดเมโคลไซคลีน ห้ามนอนราบทันที ด้วยจะทำให้เกิดการไหลย้อนกลับของยาเข้าหลอดอาหารได้
ด้วยตัวยาเดเมโคลไซคลีนเป็นยาปฏิชีวนะ การใช้ยานี้เป็นเวลานานเกินไป จึงอาจทำให้เกิดการติดเชื้อต่างๆที่ไม่ตอบสนองต่อยานี้ขึ้นมาได้ เช่น เชื้อแบคทีเรียชนิดอื่นๆ หรือ โรคเชื้อเชื้อรา, รวมถึงอาจเกิดภาวะท้องเสียอย่างรุนแรงที่เรียกว่า ลำไส้ใหญ่อักเสบชนิด Pseudomembranous colitis
สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ใช้ยาเดเมโคลไซคลีน จะต้องเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาลในเลือด (อาจต่ำหรือสูงขึ้นก็ได้), และแพทย์อาจต้องปรับเปลี่ยนขนาดการรับประทานของยาเบาหวานให้เหมาะสมเป็นกรณีๆไป
นอกจากนี้ ระหว่างใช้ยาเดเมโคลไซคลีน ยังต้องเฝ้าระวังเรื่องการทำงานของตับ และไต, และ*กรณีที่ใช้ยานี้ไปแล้วระยะหนึ่งแล้ว พบว่าอาการโรคไม่ดีขึ้น ผู้ป่วยควรต้องรีบกลับมาพบแพทย์/มาโรงพยาบาลอีกครั้ง ก่อนวันนัด, เพื่อให้แพทย์ประเมินปรับการรักษา
การใช้ยาเดเมโคลไซคลีน ไม่ว่าจะด้วยวัตถุประสงค์เพื่อรักษาการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือเพื่อปรับสภาพโซเดียมในร่างกายก็ตาม, จะต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์เท่านั้น, ผู้ป่วยต้องใช้ยานี้ตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด, และห้ามปรับขนาดรับประทานด้วยตนเอง, และหากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม ผู้บริโภค/ผู้ป่วยสามารถสอบถามข้อมูลของการใช้ยานี้ได้จากแพทย์ หรือจากเภสัชกรตามร้านขายยาทั่วไป
เดเมโคลไซคลีนมีสรรพคุณ (คุณสมบัติ) รักษาโรคอะไร?
ยาเดเมโคลไซคลีนมีสรรพคุณ/ข้อบ่งใช้: เช่น
- รักษาการติดเชื้อแบคทีเรียที่ตอบสนองต่อยานี้
- บำบัดภาวะของร่างกายที่มีเกลือโซเดียมในเลือดต่ำ
เดเมโคลไซคลีนมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?
ยาเดเมโคลไซคลีนมีกลไกการออกฤทธิ์แบ่งเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้
- ต่อต้านแบคทีเรียที่ตอบสนองกับยานี้ โดยตัวยาจะเข้าจับกับสารพันธุกรรมชนิด ที่เรียกว่า ไรโบโซม (Ribosome) และเกิดการยับยั้งการสังเคราะห์สารโปรตีนในแบคทีเรีย ทำให้แบคทีเรียหยุดการเจริญเติบโต จึงหมดความสามารถในการกระจายพันธุ์
- ยาเดเมโคลไซคลีน ยังสามารถออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของ 'แอนติไดยูเรติกฮอร์โมน (Antidiuretic hormone/ADH/Vasopressin)' ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ต้านการขับปัสสาวะ/การขับน้ำออกจากร่างกาย, การมีฮอร์โมนชนิดนี้มากเกินไป จะส่งผลให้ร่างกายดูดน้ำจากปัสสาวะกลับเข้าสู่กระแสเลือดเพิ่มขึ้น จนทำให้ความเข้มข้นของเกลือโซเดียมและสารอิเล็กโทรไลต์ (Electrolyte) อื่นๆเจือจางลง, จนเป็นเหตุให้ระดับเกลือโซเดียมในเลือดต่ำติดตามมา, จากกลไกของยาเดเมโคลไซคลีนดังกล่าว จึงทำให้การขับน้ำออกจากร่างกายกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และสร้างระดับความเข้มข้นของเกลือโซเดียมในเลือดให้กลับคืนสมดุลดังเดิม
เดเมโคลไซคลีนมีรูปแบบการจัดจำหน่ายอย่างไร?
ยาเดเมโคลไซคลีนมีรูปแบบการจัดจำหน่าย:
- ยาเม็ดชนิดรับประทาน ขนาด 150 และ 300 มิลลิกรัม/เม็ด
เดเมโคลไซคลีนมีขนาดรับประทานอย่างไร?
ยาเดเมโคลไซคลีนมีขนาดรับประทาน เช่น
ก. สำหรับบำบัดภาวะเกลือโซเดียมในเลือดต่ำ: เช่น
- ผู้ใหญ่: เริ่มต้นรับประทาน 900 – 1,200 มิลลิกรัม/วัน, โดยแบ่งรับประทานเป็นวันละ 3-4 ครั้ง (ทุก 6-8 ชั่วโมง ตามคำสั่งของแพทย์), ขนาดรับประทานที่ใช้คงระดับการรักษาอยู่ที่ 600 – 900 มิลลิกรัม/วัน
- เด็ก (นิยามคำว่าเด็ก): ยังไม่มีข้อมูลทางคลินิกด้านความปลอดภัยในการใช้ยานี้ การใช้ยานี้ในเด็ก จึงอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษาเป็นกรณีๆไป
ข. สำหรับการติดเชื้อแบคทีเรียที่ตอบสนองต่อยาเดเมโคลไซคลีน: เช่น
- ผู้ใหญ่: รับประทาน 600 มิลลิกรัม/วัน, โดยแบ่งรับประทานวันละ 2 – 4 ครั้ง (ทุก 6-12 ชั่วโมงตามแพทย์สั่ง)
- เด็กอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป: ขนาดการใช้ยานี้ ขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษาเป็นกรณีๆไป
- เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี: ยังไม่มีข้อมูลทางคลินิกด้านความปลอดภัยในการใช้ยานี้ การใช้ยานี้ในเด็กวัยนี้จึงอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษาเป็นกรณีๆไป
อนึ่ง:
- การรับประทานยานี้เพื่อต่อต้านการติดเชื้อแบคทีเรีย ถึงแม้อาการจะดีขึ้นในระยะที่เริ่มรับประทานยาก็ตาม, จะต้องรับประทานจนครบคอร์ส (Course) ของการรักษาตามแพทย์สั่ง
- ขนาดรับประทานสูงสุดสำหรับผู้ป่วยโรคตับไม่เกิน 1,000 มิลลิกรัม/วัน
- ควรรับประทานยานี้ ก่อนอาหารประมาณ 1 ชั่วโมง ร่วมกับน้ำดื่มในปริมาณที่เพียงพอ, หรือรับประทานหลังอาหารไปแล้วประมาณ 2 ชั่วโมง, การรับประทานยานี้พร้อมอาหาร จะลดการดูดซึมจากระบบทางเดินอาหารของยานี้ลง
- ระหว่างที่ใช้ยานี้ แพทย์อาจต้องนัดตรวจเลือดเพื่อดู ระดับเม็ดเลือด (ตรวจซีบีซี/CBC), ระดับครีอะตินีน (Creatinine), การทำงานของไตและของตับเป็นระยะๆ, ผู้ป่วยควรมาพบแพทย์/มาโรงพยาบาล และรับการตรวจ ตามที่แพทย์นัดทุกครั้ง
*****หมายเหตุ: ขนาดยาและระยะเวลาในการใช้ยาที่ระบุในบทความนี้ เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถใช้ทดแทนคำสั่งใช้ยาของแพทย์ได้ การใช้ยาที่เหมาะสมควรต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
เมื่อมีการสั่งยา ควรแจ้งแพทย์/พยาบาล และเภสัชกรอย่างไร?
เมื่อมีการสั่งยาทุกชนิดรวมยาเดเมโคลไซคลีน ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์ พยาบาล และเภสัชกร เช่น
- ประวัติแพ้ยาทุกชนิด เช่น กินยา/ใช้ยาแล้ว คลื่นไส้มาก ขึ้นผื่น หรือ แน่นหายใจติดขัด/หายใจลำบาก/หอบเหนื่อย
- มีโรคประจำตัวต่างๆ อย่างเช่น โรคตับ โรคไต โรคเบาหวาน รวมถึงกำลังกินยา/ใช้ยาอะไรอยู่ เพราะยาเดเมโคลไซคลีนอาจส่งผลให้อาการของโรคเหล่านั้นรุนแรงขึ้น หรืออาจเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับยาอื่นๆที่กิน/ที่ใช้อยู่ก่อน
- หากเป็นสุภาพสตรี ควรแจ้งว่าอยู่ในภาวะตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร เพราะยาหลายประเภทสามารถผ่านทางน้ำนม หรือรก และเข้าสู่ทารกจนก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้
หากลืมรับประทานยาควรทำอย่างไร?
หากลืมรับประทานยาเดเมโคลไซคลีน สามารถรับประทานเมื่อนึกขึ้นได้ ถ้าเวลาใกล้เคียงกับการรับประทานยาในมื้อถัดไป ไม่จำเป็นต้องเพิ่มขนาดรับประทานเป็น 2 เท่า
แต่อย่างไรก็ดี เพื่อประสิทธิผลของการรักษา ควรรับประทานยาเดเมโคลไซคลีน ตรงเวลา
เดเมโคลไซคลีนมีผลไม่พึงประสงค์อย่างไร?
ยาเดเมโคลไซคลีน สามารถก่อให้เกิดผล/อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา(ผลข้างเคียง/อาการข้างเคียง)ต่อการทำงานของระบบอวัยวะต่างๆของร่างกาย: เช่น
- ผลต่อผิวหนัง: เช่น ทำให้ผิวหนังไว/ผิวแพ้แสงแดดง่าย, มีภาวะ Steven-Johnson syndrome, เกิดผื่นคัน, ผื่นผิวหนังอักเสบ
- ผลต่อไต: เช่น เกิดโรคเบาจืด ชนิด Nephrogenic diabetes insipidus, ระดับครีอะตินีนในเลือดสูงขึ้น ปัสสาวะมาก ไตวายเฉียบพลัน
- ผลต่อระบบทางเดินอาหาร: เช่น คลื่นไส้ เบื่ออาหาร ท้องเสีย เป็นแผลที่หลอดอาหาร
- ผลต่อระบบประสาท: เช่น วิงเวียน ปวดหัว ตาพร่า
- ผลต่อระบบเลือด: เช่น โลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตก, ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ, เม็ดเลือดขาวในเลือดชนิด Neutropenia ต่ำ, เม็ดเลือดขาวในเลือดชนิด Eosinophil สูง
- ผลต่อตับ: เช่น เป็นพิษกับตับ/ตับอักเสบ ค่าเอนไซม์การทำงานของตับในเลือดสูงขึ้น (เช่น เอนไซม์ Transaminase) ตับวาย
- ผลต่อระบบต่อมไร้ท่อ: เช่น ทำให้การทำงานของต่อมไทรอยด์ผิดปกติ
- อื่นๆ: การใช้ยานี้กับเด็ก จะทำให้สีของฟันเด็ก ซีดจาง
มีข้อควรระวังการใช้เดเมโคลไซคลีนอย่างไร?
มีข้อควรระวังการใช้ยาเดเมโคลไซคลีน เช่น
- ห้ามใช้กับผู้ที่มีประวัติแพ้ยานี้
- ห้ามใช้ยานี้ร่วมกับยา Acitretin, Isotretinoin, ยากลุ่ม Penicillin, ยาลดกรด,
- ห้ามใช้ยานี้กับเด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปี สตรีตั้งครรภ์ สตรีที่อยู่ในภาวะให้นมบุตร
- ห้ามใช้ยาที่มีสภาพเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
- ห้ามปรับขนาดรับประทานด้วยตนเอง
- ห้ามหยุดรับประทานยานี้ หรือใช้ยาต่อเนื่องโดยมิได้ขอคำปรึกษาจากแพทย์
- ระวังการใช้ยานี้กับผู้ป่วย โรคตับ โรคไต โรคเบาหวาน
- ควรรับประทานยานี้ช่วงท้องว่าง การรับประทานยานี้พร้อมอาหารจะทำให้การดูดซึมยานี้ลดลง
- ระหว่างใช้ยานี้แล้วมีอาการ วิงเวียน ต้องหลีกเลี่ยงการขับขี่ยวดยานพาหนะใดๆ รวมถึงการทำงานกับเครื่องจักร ด้วยจะเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
- ยานี้ใช้ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย ไม่สามารถต่อต้านเชื้อรา หรือเชื้อไวรัส
- การใช้ยานี้ร่วมกับยาเม็ดคุมกำเนิด อาจทำให้ประสิทธิภาพการคุมกำเนิดด้อยลงไป จึงควรใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น ถุงยางอนามัยชาย
- ผู้ที่ใช้ยานี้อาจพบอาการท้องเสียได้บ้าง กรณีที่เกิดอาการท้องเสียอย่างรุนแรง ควรต้องรีบมาพบแพทย์/มาโรงพยาบาลโดยเร็ว ก่อนนัด
- หลีกเลี่ยงการออกแสงแดดขณะที่ใช้ยานี้
- กรณีที่เกิดอาการแพ้ยานี้ เช่น ตัวบวม มีผื่นคันเต็มตัว หายใจไม่ออก/หายใจลำบาก ให้หยุดการใช้ยานี้ทันที แล้วรีบนำตัวผู้ป่วยมาพบแพทย์/มาโรงพยาบาลทันที/ฉุกเฉิน
- หากใช้ยานี้ไปแล้วตามระยะเวลาที่เหมาะสม/ที่แพทย์แนะนำ แล้วอาการไม่ดีขึ้น หรืออาการโรคกลับเลวลง ผู้ป่วยควรรีบกลับมาพบแพทย์/มาโรงพยาบาลก่อนนัด เพื่อแพทย์พิจารณาปรับแนวทางการรักษา
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของ แพทย์ พยาบาล เภสัชกร อย่างเคร่งครัด และมาพบแพทย์/มาโรงพยาบาลตามนัดหมายทุกครั้ง
- ห้ามแบ่งยาให้ผู้อื่นใช้
- ห้ามใช้ยาหมดอายุ
- ห้ามเก็บยาหมดอายุ
***** อนึ่ง ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ "ยา" ที่รวมถึงยาแผนปัจจุบันทุกชนิด (รวมยาเดเมโคลไซคลีนด้วย) ยาแผนโบราณทุกชนิด อาหารเสริม และสมุนไพรต่างๆเสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกครั้งควรต้องปฏิบัติตามข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ (อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอ
เดเมโคลไซคลีนมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่นอย่างไร?
ยาเดเมโคลไซคลีนมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาตัวอื่น: เช่น
- ห้ามใช้ยาเดเมโคลไซคลีน ร่วมกับยา Acitretin, Isotretinoin, Tretinoin, Vitamin A, Etretinate, ด้วยอาจทำให้เกิดความดันในสมองเพิ่มสูงขึ้น (ความดันในกะโหลกศีรษะสูง) จนอาจเป็นเหตุให้เกิดตาบอดถาวรได้
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาเดเมโคลไซคลีน ร่วมกับ ยาลดไขมัน Lomitapide และ Mipomersen, ด้วยอาจทำให้การทำงานของตับผิดปกติ/ตับอักเสบ
- การใช้ยาเดเมโคลไซคลีน ร่วมกับยา Methoxyflurane (ยาสลบ), อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อไตของผู้ป่วย, หากจำเป็นต้องใช้ยาร่วมกัน แพทย์จะปรับขนาดการใช้ยาให้เหมาะสมเป็นกรณีไป
- ห้ามใช้ยาเดเมโคลไซคลีน ร่วมกับยาลดกรดที่มีส่วนประกอบของเกลือแคลเซียม (เช่น Calcium carbonate) หรือ แมกนีเซียม(เช่น Magnesium hydroxide), เพราะสามารถทำให้ประสิทธิภาพการออกฤทธิ์ของยาเดเมโคลไซคลีนต่ำลง
- การใช้เดเมโคลไซคลีน ร่วมกับยา Penicillin V potassium จะทำให้ประสิทธิภาพการรักษาของยา Penicillin V potassium ด้อยลงไป, หากไม่มีความจำเป็นใดๆ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาร่วมกัน
ควรเก็บรักษาเดเมโคลไซคลีนอย่างไร?
ควรเก็บยาเดเมโคลไซคลีน: เช่น
- เก็บยาภายใต้อุณหภูมิ 20 – 25 องศาเซลเซียส (Celsius)
- ห้ามเก็บยาในช่องแช่แข็งของตู้เย็น
- ไม่เก็บยาในห้องน้ำหรือในรถยนต์
- เก็บยาในภาชนะที่ปิดมิดชิด พ้นแสงแดด ความร้อน และความชื้น
- เก็บยาให้พ้นมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
เดเมโคลไซคลีนมีชื่ออื่นอีกไหม? ผลิตจากบริษัทอะไรบ้าง?
ยาเดเมโคลไซคลีน มียาชื่อการค้า และบริษัทผู้ผลิต/ผู้จำหน่าย เช่น
ชื่อการค้า | บริษัทผู้ผลิต |
---|---|
Declomycin (เดโคลมายซิน) | Lederle Laboratories |
Deganol (เดกานอล) | BCM |
อนึ่ง: ยาชื่อการค้าอื่นของยานี้ ที่จำหน่ายในต่างประเทศ เช่นยา Declostatin, Ledermycin, Bioterciclin, Deganol, Deteclo, Detravis, Meciclin, Mexocine, Clortetrin