ภาวะไข่ไม่ตก ภาวะไม่ตกไข่ (Anovulation)
- โดย รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิง ประนอม บุพศิริ
- 10 มิถุนายน 2563
- Tweet
- ภาวะไข่ไม่ตกคืออะไร?
- ภาวะไข่ไม่ตกมีผลเสียต่อร่างกายอย่างไร?
- อะไรเป็นสาเหตุของภาวะไข่ไม่ตก?
- ภาวะไข่ไม่ตกมีอาการอย่างไร?
- ดูแลตนเองเมื่อมีภาวะไข่ไม่ตกอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
- แพทย์วินิจฉัยภาวะไข่ไม่ตกอย่างไร?
- แพทย์รักษาภาวะไข่ไม่ตกอย่างไร?
- ภาวะไข่ไม่ตกมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
- หากมีภาวะไข่ไม่ตกสามารถตั้งครรภ์ได้หรือไม่?
- ป้องกันภาวะไข่ไม่ตกได้อย่างไร?
- บรรณานุกรม
- เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวผิดปกติ (Endometrial hyperplasia)
- ประจำเดือน (Menstruation)
- มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก (Endometrial cancer)
- รู้ทันโรคเบาหวาน (Diabetes mellitus)
- การออกกำลังกาย: แนวทางการออกกำลังกายเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี (Exercise concepts for healthy lifestyle)
- พีซีโอเอส หรือ พีโอเอส: กลุ่มอาการรังไข่มีถุงน้ำหลายใบ (PCOS หรือ POS : Polycystic ovarian syndrome)
- โรคอ้วน และ น้ำหนักตัวเกิน (Obesity and overweight)
- ความเครียด ภาวะซึมเศร้า และโรคซึมเศร้า (Stress, Depression and Depressive disorder)
- โรควิตกกังวล (Anxiety Disorder)
ภาวะไข่ไม่ตกคืออะไร?
ภาวะไข่ไม่ตก หรือ ภาวะไม่ตกไข่ (Anovulation) คือ การไม่มีฟองไข่ตกออกมาจากรังไข่เพื่อไปรอรับการปฏิสนธิกับเชื้ออสุจิตามที่ควรจะเกิดขึ้นในประมาณวันที่ 14 หลังการมีประจำ เดือนในรอบก่อนหน้านี้ ซึ่งในสตรีปกติจะมีการตกไข่เดือนละ 1 ฟองทุกเดือน หรือตกไข่ทุกๆ 28 - 30 วัน เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าในสตรีวัยเจริญพันธุ์ หากไม่มีการตั้งครรภ์ในรอบเดือนนั้นๆปกติจะมีเลือดประจำเดือนมาเดือนละ 1 ครั้ง (28 + 7 วัน) นานครั้งละ 3 - 5 วัน กลไกการมีประ จำเดือนในแต่ละเดือนเกิดจากการที่มีฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองมากระตุ้นฟองไข่ (Follicles) ในรังไข่ให้เจริญเติบโตขึ้นจนมีขนาดที่ใหญ่ที่สุดแล้วมีการตกไข่ (Ovulation) ออกมาจากรังไข่ เพื่อรอรับการปฎิสนธิจากเชื้ออสุจิ พร้อมกับเหตุการณ์นี้ รังไข่จะมีการสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ไปกระตุ้นเยื่อบุโพรงมดลูกให้หนาตัวขึ้นก่อนการตกไข่ (Proliferative endome trium) หลังการตกไข่จะมีการสร้างฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ไปเปลี่ยนแปลงเยื่อบุโพรงมดลูกให้พร้อมรับการฝังตัวของตัวอ่อนต่อไป (Secretory endometrium) แต่หากไข่ไม่ได้รับการปฎิสนธิ เซลล์รังไข่ที่สร้างฮอร์โมนในรอบเดือนนั้นจะฝ่อไป ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกขาดเลือดมาเลี้ยง ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหลุดลอกออกมาเป็นเลือดประจำเดือนเป็นรอบๆในแต่ละเดือนที่เรียกว่า “ประจำเดือน”
หากไม่มีการตกไข่/ ไข่ไม่ตก(Anovulation) เกิดขึ้น รังไข่ไม่สามารถสร้างฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนไปเปลี่ยนแปลงเยื่อบุโพรงมดลูกที่ถูกกระตุ้นด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนก่อนหน้าได้ ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวขึ้นเรื่อยๆ การหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูกจึงไม่เกิดเป็นรอบๆเหมือนจากการมีประจำเดือนปกติ หากเยื่อบุโพรงมดลูกหนาเกินไป จะเกิดการขาดเลือดทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหลุดออกมาเป็นหย่อมๆ ทำให้เลือดประจำเดือนออกกะปริบกะปรอยและออกนาน แต่หากเยื่อบุโพรงมดลูกหนามากและหลุดลอกออกมามากก็จะทำให้เลือดประจำเดือนออกมากและนานเช่นกัน ในกรณีที่ไม่มีการตกไข่เป็นเวลานาน เซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกสามารถเปลี่ยน แปลงไปเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกได้
อนึ่ง ภาวะไม่ตกไข่/ไข่ไม่ตก ไม่มีรายงานสถิติการเกิดที่แน่นอน เพราะผู้ป่วยมักไม่ไปพบแพทย์ อย่างไรก็ตาม พบผู้ป่วยหญิงในวัยเจริญพันธุ์มีภาวะไข่ไม่ตกได้ประมาณ 6 - 15% ช่วงวัยที่พบมักเป็นช่วงวัยรุ่นและวัยใกล้หมดประจำเดือน
ภาวะไข่ไม่ตกมีผลเสียต่อร่างกายอย่างไร?
ภาวะไข่ไม่ตก/ ไม่ตกไข่ มีผลเสีย/ผลข้างเคียงต่อร่างกายดังนี้เช่น
1. ทำให้ประจำเดือนมาผิดปกติ ซึ่งมีได้หลายรูปแบบได้แก่
- ประจำเดือน 2 - 3 เดือนมา 1 ครั้ง บางคนอาจมีประจำเดือนปีละ 1 - 2 ครั้ง
- ประจำเดือนมากะปริบกะปรอย ไม่สม่ำเสมอ
- เมื่อเป็นประจำเดือนก็จะเป็นนานกว่าปกติหรือมีปริมาณมากผิดปกติ
2. ภาวะมีบุตรยาก
3. มีโอกาสเสี่ยงต่อโรค/ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวผิดปกติ (Endometrial hyperplasia)
4. มีโอกาสเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
5. มีโอกาสเป็นโรคเบาหวานมากขึ้น
อะไรเป็นสาเหตุของภาวะไข่ไม่ตก?
สาเหตุของภาวะไข่ไม่ตก/ไม่ตกไข่ ได้แก่
1. ระบบการทำงานที่ควบคุมการผลิตฮอร์โมนสำหรับสตรีวัยเจริญพันธุ์ยังพัฒนาไม่เต็มที่ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนจากวัยเด็กมาเป็นวัยรุ่น และตอนที่รังไข่ใกล้จะหยุดทำงานได้แก่ ช่วงที่สตรีใกล้จะหมดประจำเดือน การทำงานของฮอร์โมนจะไม่สม่ำเสมอเหมือนอยู่ในช่วงวัยเจริญพันธุ์
2. ภาวะมีถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic ovary syndrome: โรคพีซีโอเอส/ PCOS) ที่มีระดับฮอร์โมนเพศไม่สมดุลพอที่จะกระตุ้นให้เกิดการตกไข่ได้
3. มีภาวะ/โรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน ไขมันที่สะสมในคนที่อ้วนสามารถเปลี่ยนไปเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจนได้ ทำให้ระดับเอสโตรเจนในร่างกายสูงซึ่งจะไปมีผลกระทบระบบการควบคุมการตกไข่
4. ภาวะเบื่ออาหารและน้ำหนักลดอย่างมาก (Anorexia nervosa) จะไปมีผลต่อสมองส่วน ไฮโปธาลามัสในการควบคุมการหลั่งฮอร์โมนเกี่ยวกับการเจริญพันธุ์ ทำให้การพัฒนาฟองไข่ในรังไข่ไม่ปกติจึงไม่สามารถโตไปจนเกิดการตกไข่ได้ พบภาวะนี้ได้บ่อยในพวกนางแบบหรือวัย รุ่นที่อยากผอมอย่างมาก
5. มีความเครียดซึ่งจะไปมีผลต่อสมองส่วนไฮโปธาลามัสในการควบคุมการหลั่งฮอร์โมนเกี่ยวกับการเจริญพันธุ์เช่นกัน ทำให้การพัฒนาฟองไข่ในรังไข่ไม่ปกติ ฟองไข่จึงไม่สามารถโตไปจนเกิดการตกไข่ได้
6. ภาวะรังไข่สร้างฮอร์โมนไม่เพียงพอ หรือภาวะรังไข่เสื่อมก่อนกำหนด (Ovarian insufficiency)
7. การออกกำลังกายอย่างหนัก/หักโหมจะไปมีผลต่อสมองในการควบคุมการหลั่งฮอร์โมนเกี่ยวกับการเจริญพันธุ์เช่นกัน ทำให้การพัฒนาฟองไข่ในรังไข่ไม่ปกติ จึงไม่สามารถโตไปจนเกิดการตกไข่ได้
8. มีโรคที่มีผลกระทบต่ออวัยวะที่ผลิตฮอร์โมนการเจริญพันธุ์เช่น เนื้องอกสมองที่ไปกดบริเวณสมองไฮโปธาลามัส, ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน /ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ (Hyperthyroidism), ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน (Hypothyroidism)
ภาวะไข่ไม่ตกมีอาการอย่างไร?
อาการจากภาวะไข่ไม่ตก/ไม่ตกไข่ที่พบบ่อยได้แก่
1. ขาดประจำเดือนครั้งละหลายๆเดือน
2. ประจำเดือนมากะปริบกะปรอยเป็นระยะเวลานานกว่าปกติ
3. หน้าเป็นสิว ผิวมัน
4. ภาวะมีบุตรยาก
ดูแลตนเองเมื่อมีภาวะไข่ไม่ตกอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
หากมีประจำเดือนไม่สม่ำเสมอหรือขาดประจำเดือนไปนานและตรวจไม่พบการตั้งครรภ์แล้ว ควรต้องหาสาเหตุและแก้ไขสาเหตุง่ายๆไปก่อน เช่น
- หากมีโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน ก็ต้องควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย
- หากมีโรคประจำตัวต่างๆที่มีผลกระทบต่อฮอร์โมนการเจริญพันธุ์ต้องรักษาที่โรคต้นเหตุ
- แต่หากประจำเดือนยังไม่มานานเกิน 3 เดือน ควรไปพบแพทย์/สูตินรีแพทย์เพื่อหาสาเหตุ
แพทย์วินิจฉัยภาวะไข่ไม่ตกอย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยภาวะไข่ไม่ตกได้จาก
ก. ประวัติทางการแพทย์: ได้แก่ จากอายุ โดยช่วงอายุที่พบบ่อยคือช่วงวัยรุ่นและช่วงวัยใกล้หมดประจำเดือน ร่วมกับประวัติอาการประจำเดือนผิดปกติ มาน้อย หรือประจำเดือนนานๆมา 1 ครั้ง หรือมีอาการของโรคร่วมต่างๆตามที่กล่าวมาแล้วใน ‘หัวข้อ สาเหตุฯ’ เช่น โรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน
ข. การตรวจร่างกาย: โดยโรค/ภาวะนี้พบบ่อยในคนอ้วน อาจใบหน้ามีสิว ผิวมัน ขนดกมากผิดปกติ, หรืออาจไม่พบความผิดปกติใดๆ หรืออาจมีอาการของโรคต่างๆตามที่กล่าวมาแล้ว เช่น โรคเบาหวาน
ค. การตรวจภายใน: มักไม่พบความผิดปกติ
ง. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ:
- การตรวจอัลตราซาวด์ผ่านทางช่องคลอดจะช่วยเสริมการวินิจฉัยโรคพีซีโอเอส (PCOS) เพื่อดูลักษณะของรังไข่
- การตรวจเลือดไม่ได้ช่วยวินิจฉัยภาวะไม่ตกไข่
จ.ในกรณีที่ประจำเดือนมากะปริบกะปรอยหรือมีมากผิดปกติ แพทย์อาจจำเป็นต้องทำการดูดชิ้นเนื้อ (Endometrial aspiration)จากโพรงมดลูกเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยาว่ามีการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุมดลูกไปจากปกติหรือไม่
แพทย์รักษาภาวะไข่ไม่ตกอย่างไร?
การรักษาภาวะไข่ไม่ตกแบ่งตามวัตถุประสงค์ว่าต้องการมีบุตรหรือไม่ออกเป็น 2 กลุ่มคือ
1. กลุ่มที่ไม่ต้องการมีบุตร: การรักษาจะโดยใช้ยาฮอร์โมนได้แก่
- ยากลุ่มฮอร์โมนสังเคราะห์โปรเจสติน (Progestin) เช่นยา Provera หรือ Primolute N รับประทานรอบละ 10 - 12 วัน หลังหยุดยาประมาณ 2 - 3 วันจะมีเลือดประจำเดือนไหลออกมา แพทย์จะให้รับประทานยาประมาณ 3 - 6 รอบเดือน
- ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม สามารถใช้ได้ค่อนข้างสะดวก รับประทานวันละ 1 เม็ด 1 ครั้งทุกวันติดต่อกันจนยาหมด หลังจากนั้นประมาณ 2 - 3 วันจะมีเลือดประจำเดือนไหลออกมา แพทย์จะให้รับประทานยาประมาณ 3 - 6 รอบเดือน
2. กลุ่มที่ต้องการมีบุตร:
- ใช้ยากระตุ้นการตกไข่ เช่นยา Clomiphene citrate
ภาวะไข่ไม่ตกมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
ภาวะไข่ไม่ตก/ ไม่ตกไข่ มีการพยากรณ์โรคที่ดี มักรักษาได้เสมอ
หากมีภาวะไข่ไม่ตกสามารถตั้งครรภ์ได้หรือไม่?
หากไม่มีไข่ตก/ ไม่ตกไข่ ไม่สามารถตั้งครรภ์ตามวิธีธรรมชาติได้ ถ้าต้องการมีบุตรควรต้องปรึกษาสูตินรีแพทย์
อย่างไรก็ตาม บางครั้งอาจมีไข่ตกโดยที่ไม่รู้ตัวคือโดยที่ไม่มีประจำเดือน ซึ่งหากมีเพศ สัมพันธ์ในช่วงไข่ตกพอดีก็สามารถตั้งครรภ์ได้
ป้องกันภาวะไข่ไม่ตกได้อย่างไร?
ป้องกันภาวะไข่ไม่ตกได้โดย
1. ควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วน(โรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน)หรือผอมมากเกินไป
2. ออกกำลังกายที่สมควรกับสุขภาพสม่ำเสมอ
3. ทำจิตใจให้แจ่มใส มีสุขภาพจิตที่ดี ไม่เครียด
บรรณานุกรม
- http://emedicine.medscape.com/article/253190-overview#showall [2020,June6]
- https://en.wikipedia.org/wiki/Anovulation [2020,June6]