กลุ่มอาการจากการหลั่งสารไซโตไคน์ (Cytokine Releasing Syndrome: CRS)
- โดย ภก.ศิวัสว์ ผุลลาภิวัฒน์
- 14 มกราคม 2566
- Tweet
สารบัญ
- บทนำ: คืออะไร?
- กลุ่มอาการจากการหลั่งสารไซโตไคน์มีสาเหตุจากอะไร?
- กลุ่มอาการจากการหลั่งสารไซโตไคน์มีอาการอย่างไร?
- ควรพบแพทย์เมื่อใด?
- แพทย์วินิจฉัยกลุ่มอาการจากการหลั่งสารไซโตไคน์ได้อย่างไร?
- กลุ่มอาการจากการหลั่งสารไซโตไคน์รักษาอย่างไร?
- การพยากรณ์ของโรคเป็นอย่างไร?มีผลข้างเคียงจากกลุ่มอาการจากการหลั่งสารไซโตไคน์อย่างไร?
- ป้องกันกลุ่มอาการจากการหลั่งสารไซโตไคน์อย่างไร?
- สรุป
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา (Adverse Drug Reaction)
- กลุ่มอาการเซโรโทนิน (Serotonin syndrome)
- กล้ามเนื้อลายสลาย (Rhabdomyolysis)
- ไข้สูงอย่างร้าย (Malignant Hyperthermia)
- แอแนฟิแล็กซิส: ปฏิกิริยาภูมิแพ้รุนแรงเฉียบพลัน (Anaphylaxis)
- สะตีเวนส์จอห์นสัน (Stevens-Johnson syndrome)
- ภูมิคุ้มกันบำบัดโรคมะเร็ง (Cancer Immunotherapy)
- โมโนโคลนอลแอนตีบอดี (Monoclonal Antibodies)
บทนำ: คืออะไร?
กลุ่มอาการจากการหลั่งสาร*ไซโตไคน์ (Cytokine Releasing Syndrome ย่อว่า ซีอาร์เอส/CRS) คือ กลุ่มอาการอักเสบเฉียบพลันที่ไม่ได้เกิดจากกการติดเชื้อของอวัยวะต่างๆในร่างกายแต่เกิดจากผลข้างเคียงของยาบางชนิดในกลุ่มยาโมโนโคลนอลแอนตีบอดี (Monoclonal Antibodies)
*ไซโตไคน์ (Cytokine) คือ สารโปรตีน หรือ สารไกลโคโปรตีน (Glycoprotein) ขนาดเล็ก ทำหน้าที่ในการสื่อสารระหว่างเซลล์เพื่อตอบสนองต่อสิ่ง/ตัวกระตุ้น สารไซโตไคน์สร้างจากเซลล์เม็ดเลือดขาวและเซลล์ต่างๆในร่างกาย โดยมีหลายประเภท เช่น
- อินเตอร์เฟอรอน (Interferon): เป็นไซโตไคน์ที่สร้างจากเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัส และสามารถออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของไวรัสในเซลล์ข้างเคียงที่ติดเชื้อไวรัสได้
- อินเตอร์ลิวคิน (Interleukin): เป็นกลุ่มของสารไซโตไคน์ที่ทำหน้าที่ในการประสานการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว, และ
- ทูเมอร์นีโครติกแฟกเตอร์ (Tumor Necrotic Factor ย่อว่า TNF): เป็นไซโตไคน์ที่ทำหน้าที่ทำลายเซลล์แปลกปลอมบางชนิด เช่น เซลล์มะเร็ง เป็นต้น
ไซโตไคน์มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับระบบภูมิคุ้มกัน/ระบบภูมิต้านทาน/ระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายมนุษย์ โดยมีส่วนช่วยในการกระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวให้สามารถกำจัดเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ, หรือกระตุ้นการพัฒนาสร้างสารภูมิต้านทานในร่างกาย
ไซโตไคน์ออกฤทธิ์ได้โดยการจับกับตัวรับ(Receptor)ที่มีความจำเพาะสูง สามารถออกฤทธิ์ได้แม้มีการหลั่งสารไซโตไคน์จากร่างกายในปริมาณน้อยมากก็ตาม
ปัจจุบัน แนวทางการพัฒนายารักษาโรคมะเร็งมุ่งเน้นการพัฒนายาที่มีความจำเพาะสูงเพื่อลดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา (ผลข้างเคียง) ในกลุ่มเดิม (ยาเคมีบำบัด) เช่น ยาภูมิคุ้มกันบำบัดโรคมะเร็ง (Cancer immunotherapy) อาทิ กลุ่มยาโมโนโคลนอลแอนตีบอดี หรือ ยาที่มีความจำเพาะกับแอนติเจน (Antigen)ของเซลล์มะเร็ง
อย่างไรก็ดี พบว่าการใช้วิธีการภูมิคุ้มกันบำบัดโรคมะเร็งนั้นมีความเสี่ยงที่ผู้ป่วยจะเกิดภาวะที่เรียกว่า “กลุ่มอาการจากการหลั่งไซโตไคน์ (Cytokine Releasing Syndrome ย่อว่า CRS/ซีอาร์เอส)” ซึ่งหากกลุ่มอาการนี้มีความรุนแรง อาจก่อให้เกิดอันตรายถึงตายได้
กลุ่มอาการจากการหลั่งสารไซโตไคน์มีสาเหตุจากอะไร?
กลุ่มอาการจากการหลั่งสารไซโตไคน์เกิดขึ้นจากการที่เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด ‘ลิมโฟไซต์ (Lymphocyte)’ เช่น บีเซลล์ (B Cells), ทีเซลล์ (T cells), และไมอีลอยด์เซลล์ (Myeloid Cells เช่น แมโครฟาจ/Macrophage), ถูกกระตุ้นจากตัวกระตุ้นจึงหลั่งสารไซโตไคน์ชนิดต่างๆที่มีคุณสมบัติเกี่ยวข้องกับการอักเสบ (Inflammatory Cytokines)เข้าสู่กระแสเลือด/ร่างกาย โดยยาที่มีส่วนในการกระตุ้นการหลั่งไซโตไคน์ เช่นยา มูโรโมแนบ-ซีดี 3 (Muromonab-CD3), อะเลมทูซูแมบ (Alemtuzumab), ริทูซิแมบ (Rituximab) เป็นต้น
กลุ่มอาการจากการหลั่งสารไซโตไคน์มีอาการอย่างไรบ้าง?
ดังที่ได้กล่าวใน “หัวข้อ สาเหตุฯ” ว่า กลุ่มอาการจากการหลั่งไซโตไคน์เกิดจากการหลั่งสารไซโตไคน์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการอักเสบในร่างกาย ร่างกายของผู้ป่วยจึงมีการตอบสนอง(อาการต่างๆ/กลุ่มอาการ)เช่นเดียวกับเมื่อเกิดการอักเสบจากการติดเชื้อโรค เช่น มีไข้ หนาวสั่น ไม่มีแรง/อ่อนเพลีย คลื่นไส้ ปวดหัว อาเจียน มีผื่นขึ้นทั่วตัว ความดันโลหิตต่ำ ชีพจร/ หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว เป็นต้น
หากอาการ/กลุ่มอาการดังกล่าวมีความรุนแรงอาจพบ ภาวะหัวใจล้มเหลว, หอบเหนื่อย/หายใจลำบาก/กลุ่มอาการหายใจลำบากเฉียบพลัน(Respiratory distress syndrome), ภาวะพิษในระบบประสาท (Neurologic toxicity), เกิดภาวะไตล้มเหลว/ไตวาย, และ/หรือ ตับล้มเหลว/ตับวาย ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงตายได้
ควรพบแพทย์เมื่อใด?
กลุ่มอาการจากการหลั่งไซโตไคน์เป็นอาการเฉียบพลัน สามารถเกิดขึ้นได้ในระยะเวลาไม่นาน เป็นนาที หลังจากใช้ยา/บริหารยาที่เป็นสาเหตุ, จนถึงอาจเกิดหลังใช้ยาฯนานหลายชั่วโมง
‘การมีไข้’ที่เกิดขึ้นหลังได้รับยารักษามะเร็งชนิดโมโนโคลนอลแอนตีบอดีถือเป็นสัญญาณแรกของกลุ่มอาการนี้ ดังนั้นหากภายหลังการได้รับยารักษามะเร็งชนิดโมโนโคลนอลแอนตีบอดี โดยเฉพาะยามูโรโมแนบ-ซีดี 3 (Muromonab-CD3), ยาอะเลมทูซูแมบ (Alemtuzumab), ยาริทูซิแมบ (Rituximab), แล้วมีอาการดังที่กล่าวไปแล้วใน “หัวข้อ อาการฯ” ควรรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาลโดยทันที/ฉุกเฉิน
แพทย์วินิจฉัยกลุ่มอาการจากการหลั่งสารไซโตไคน์ได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยกลุ่มอาการจากการหลั่งสารไซโตไคน์ได้จาก ประวัติการใช้ยาที่เป็นสาเหตุ, ร่วมกับประวัติอาการต่างๆของผู้ป่วย
อย่างไรก็ดี ผู้ป่วยที่เกิดกลุ่มอาการจากการหลั่งสารไซโตไคน์จะมีอาการคล้ายกับผู้ป่วยที่มีการอักเสบจากการติดเชื้อ เช่น อาการมีไข้สูง หนาวสั่น คลื่นไส้อาเจียน อ่อนแรง, และถึงแม้ผู้ป่วยมีประวัติการใช้ยาในกลุ่มโมโนโคลนอลแอนตีบอดี แต่แพทย์ก็อาจพิจารณาเพาะเชื้อจากเลือดเพื่อให้แน่ใจว่า อาการที่เกิดขึ้น เกิดจากการติดเชื้อหรือเกิดจากยานี้(ยาที่ก่อกลุ่มอาการจากการหลั่งสารไซโตไคน์)
อนึ่ง: การตรวจหาระดับสารไซโตไคน์ต่างๆในกระแสเลือดถือเป็นการตรวจยืนยันกลุ่มอาการนี้, อย่างไรก็ดี ยังไม่มีข้อมูลเชิงประจักษ์ (ข้อมูลจากการศึกษาวิจัย) ว่า ระดับของไซโตไคน์ในกระแสเลือด สามารถช่วยทำนายความรุนแรงของกลุ่มอาการนี้ในผู้ป่วยได้
นอกจากนี้ การวัดความดันโลหิต และวัดปริมาณออกซิเจนในกระแสเลือด ก็มีความสำคัญในการวินิจฉัยเพื่อบอกความรุนแรงของกลุ่มอาการนี้ และเพื่อการเลือกวิธีการรักษาให้แก่ผู้ป่วยต่อไป
กลุ่มอาการจากการหลั่งสารไซโตไคน์รักษาอย่างไร?
การรักษากลุ่มอาการจากการหลั่งสารไซโตไคน์ แพทย์จะรักษาตามอาการ,และตามความรุนแรงของอาการ เช่น
- หากผู้ป่วยมีอาการเบื้องต้น: เช่น มีไข้ หนาวสั่น ปวดหัว คลื่นไส้อาเจียน แพทย์จะทำการรักษาตามอาการอย่างใกล้ชิด เช่น อาจมีการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ, ยาลดไข้, หรือยาแก้ปวด
- หากอาการมีความรุนแรง: เช่น ความดันโลหิตต่ำ แพทย์จะให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ
- ถ้าค่าออกซิเจนในเลือดต่ำ: แพทย์จะให้ออกซิเจนกับผู้ป่วย
- และแพทย์จะติดตามการทำงานของอวัยวะต่างๆของร่างกายอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการทำงานของหัวใจ เพื่อการรักษาประคับประคองตามอาการของอวัยวะต่างๆเหล่านั้น
- ในผู้ป่วยที่มีความรุนแรงสูงจากภาวะนี้: แพทย์อาจมีการใช้ยาร่วมกับการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ ยาที่มีการนำมาใช้รักษากลุ่มอาการนี้ เช่น
- ยาโทซิลิซูแมบ (Tocilizumab) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นยาที่ใช้รักษาโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์/โรคข้อรูมาตอยด์ ที่มีการทำงานยับยั้งสารอินเตอร์ลิวคิน 6 (Interleukin 6; IL-6) อย่างไรก็ดี มีการนำใช้รักษากลุ่มอาการนี้ในสถาบันการแพทย์หลายแห่ง และพบว่ามีประสิทธิภาพในการรักษากลุ่มอาการจากการหลั่งสารไซโตไคน์ชนิดรุนแรงได้
อนึ่ง: แพทย์อาจพิจารณาให้ยาในกลุ่มเสตียรอยด์ควบคู่ไปด้วยก็ได้ ซึ่งจากการศึกษาทางคลินิกพบว่า ยาเสตียรอยด์มีส่วนช่วยในการรักษากลุ่มอาการนี้ได้เช่นเดียวกัน โดยยาเสตียรอยด์ที่นิยมใช้ เช่น ยาเมธิลเพรดนิโซโลน(Methylprednisolone) และ ยาเด็กซาเมธาโซน (Dexamethasone)
การพยากรณ์ของโรคเป็นอย่างไร? และมีผลข้างเคียงจากกลุ่มอาการจากการหลั่งสารไซโตไคน์อย่างไรบ้าง?
กลุ่มอาการจากการหลั่งไซโตไคน์เป็นกลุ่มอาการที่พบได้น้อย ไม่บ่อยนัก โดยเป็นอาการข้างเคียง(ผลข้างเคียง)จากการได้รับยารักษามะเร็งในกลุ่มโมโนโคลนอลแอนตีบอดี อาการอาจจะเกิดขึ้นตั้งแต่เป็นนาทีจนถึงเป็นชั่วโมงภายหลังได้รับยาดังกล่าวไปแล้ว ผู้ป่วยจึงควรเฝ้าระวัง หากเกิดอาการ ไข้สูง หนาวสั่น คลื่นไส้อาเจียน ภายหลังการได้รับยาในกลุ่มนี้ ควรรีบเข้าพบแพทย์/มาโรงพยาบาลโดยทันที/ฉุกเฉิน
*ความรุนแรงของอาการ/การพยากรณ์โรคของกลุ่มอาการนี้ขึ้นอยู่กับปฏิกิริยาการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายของผู้ป่วย’ที่ไม่อาจคาดเดาได้’ การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุดจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
หากผู้ป่วยมีอาการที่รุนแรง อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของอวัยวะสำคัญต่างๆ เช่น หัวใจ ไต ตับ เป็นต้น จนอาจส่งผลให้เกิด ภาวะหัวใจล้มเหลว, ไตวาย, ตับวาย, จนเป็นเหตุให้ถึงตายได้
ป้องกันกลุ่มอาการจากการหลั่งสารไซโตไคน์อย่างไร?
กลุ่มอาการจากการหลั่งสารไซโตไคน์เป็นกลุ่มอาการที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่สามารถคาดเดาได้ ผู้ป่วยจึงควรเฝ้าระวังอาการเป็นพิเศษภายหลังการได้รับยาต่างๆ โดยเฉพาะยารักษาโรคมะเร็ง และมิใช่เพียงแค่ครั้งแรกที่ได้รับยาฯเท่านั้น ผู้ป่วยควรเฝ้าระวังอาการจากกลุ่มอาการนี้ทุกครั้งภายหลังการรับยาฯ
สรุป
ทุกคนต้องตระหนักถึงความปลอดภัยจากการใช้ "ยา" ที่รวมถึงยาแผนปัจจุบันทุกชนิด ยาแผนโบราญทุกชนิด อาหารเสริม และสมุนไพรต่างๆ เสมอ เพราะยามีทั้งให้คุณและให้โทษ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาทุกชนิด ควรต้องปฏิบัติตาม ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิดเสมอ (อ่านเพิ่มเติมได้ในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง ข้อปฏิบัติพื้นฐานในการใช้ยาทุกชนิด) รวมทั้งควรต้องปรึกษาเภสัชกรประจำร้านขายยา ก่อนซื้อยาใช้เองเสมอด้วยเช่นกัน
อนึ่ง: กลุ่มอาการที่ก่ออันตรายที่นอกเหนือจาก 'กลุ่มอาการจากการหลั่งสารไซโตไคน์' ที่เป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยาต่างๆที่พบได้ ถึงแม้จะพบได้น้อย แต่เมื่อเกิดขึ้นก็เป็นอันตรายถึงตายได้ เช่น
- กลุ่มอาการเซโรโทนิน (Serotonin syndrome)
- กล้ามเนื้อลายสลาย (Rhabdomyolysis)
- ไข้สูงอย่างร้าย (Malignant hyperthermia)
- แอแนฟิแล็กซิส (Anaphylaxis)
- สะตีเวนส์จอห์นสัน (Stevens-Johnson syndrome)
บรรณานุกรม
- Daniel W. Lee, Rebecca Gardner, David L. Porter, et al. Current concepts in the diagnosis and management of cytokine release syndrome. Blood 2014 124:188-195.
- Breslin S. Cytokine-release syndrome: overview and nursing implications. Clin J Oncol Nurs. 2007 Feb;11(1 Suppl):37-42.
- https://en.wikipedia.org/wiki/Cytokine_release_syndrome [2023,Jan14]