โรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส (Coronavirus infection)
- โดย แพทย์หญิง สลิล ศิริอุดมภาส
- 27 สิงหาคม 2565
- Tweet
สารบัญ
- บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
- โคโรนาไวรัสคือเชื้ออะไร?
- โคโรนาไวรัสติดต่อและก่อโรคอย่างไร?
- โรคติดเชื้อโคโรนาไวรัสมีอาการอย่างไร?
- แพทย์วินิจฉัยโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัสอย่างไร?
- โรคติดเชื้อโคโรนาไวรัสรุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงไหม?
- มีแนวทางการรักษาโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัสอย่างไร?
- ดูแลตนเองและป้องกันโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัสอย่างไร?
- ควรพบแพทย์เมื่อไหร่?
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- เชื้อไวรัส โรคติดเชื้อไวรัส (Viral infection)
- ซาร์ส (SARS)
- ไข้หวัดใหญ่ (Influenza)
- โรคหวัด (Common cold)
- โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ โรคติดเชื้อระบบหายใจ (Respiratory tract infection)
- เมอร์ส: โรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (MERS: Middle east respiratory syndrome)
- ปอดบวม ปอดอักเสบ (Pneumonia)
- ภาวะหายใจล้มเหลว (Respiratory failure)
บทนำ: คือโรคอะไร? พบบ่อยไหม?
โรคติดเชื้อโคโรนาไวรัส (Coronavirus infection) คือ โรคติดเชื้อไวรัสในกลุ่มโคโรนาไวรัส (Coronavirus ย่อว่า CoV/โควี) ซึ่งทำให้เกิดอาการของระบบทางเดินหายใจอักเสบ หรือ ของกระเพาะอาหารและลำไส้/ระบบทางเดินอาหารอักเสบ
เชื้อโคโรนาไวรัสที่ทำให้เกิดโรคในคนมี 7 สายพันธุ์ย่อยหลัก(แต่ละสายพันธ์ย่อยจะแตกเป็นสายพันธ์ย่อยๆได้อีกหลายๆสายพันธ์, โดยเชื้อ 4 สายพันธุ์ย่อยหลักจะทำ ให้ผู้ป่วยมีอาการเพียงเล็กน้อยและสามารถหายเป็นปกติเองได้, ส่วนอีก 3 สายพันธุ์ย่อยหลักที่ทำให้เกิด โรคซาร์ส (SARS จากเชื้อชนิด SARS-CoV), โรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง (โรคเมอร์ส/โรค MERS จากเชื้อชนิด MERS-CoV) , และโควิด-19/COVID-19 (จากเชื้อชนิด SARS-CoV-2) ซึ่งทั้ง 3 ชนิดเป็นโรคที่ทำให้เกิดอาการของระบบทางเดินหายใจรุนแรงที่มีโอกาสถึงตายได้สูง ซึ่งที่มีวัคซีนและมียาต้านไวรัสรักษาเฉพาะคือ โรคCOVID-19
การติดเชื้อโคโรนาไวรัสสามารถพบได้ทั่วโลก และพบได้ในทุกเพศทุกวัยตั้งแต่เด็ก (นิยามคำว่าเด็ก)ไปจนถึง ผู้สูงอายุ โดยความถี่ของการเกิดโรคพบมากในช่วงฤดูหนาวและฤดูใบไม้ร่วง
สำหรับโรคซาร์สซึ่งเกิดจากเชื้อโคโรนาไวรัสชนิดหนึ่งเช่นกัน เป็นโรคที่เกิดขึ้นเป็น ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2545 ที่ประเทศจีนและได้มีการระบาดไปเกือบ 30 ประเทศทั่วโลก พบผู้ป่วยประ มาณ 8,000 กว่าคน มีผู้เสียชีวิตประมาณ 800 คนจนกระทั่งปลายปี พ.ศ. 2546 สามารถควบคุมโรคซาร์สได้ในที่สุดทำให้ในปัจจุบันยังไม่พบมีการระบาดของโรคนี้อีก
ในปี พ.ศ. 2555 ได้พบโรคอุบัติใหม่ที่เกิดจากเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่จาก ประเทศซาอุดิอาระเบียตรวจพบเมื่อเดือนมิถุนายน คือ โรคเมอร์ส และได้ระบาดไปหลายประเทศแต่การระบาดไม่รุนแรง
ล่าสุดในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2562 (ค.ศ.2019) ครั้งใหญ่สุดในเกือบทุกประเทศทั่วโลก คือ โรค COVID-19 ซึ่งยังคงระบาดอยู่จนถึงขณะนี้ (พฤษภาคม 2565)
โคโรนาไวรัสคือเชื้ออะไร?
โคโรนาไวรัส คือ เชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่อยู่ในวงศ์ Coronaviridae เมื่อใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนดูลักษณะของไวรัสที่อยูในวงศ์นี้จะพบส่วนที่มีลักษณะคล้ายไม้เทนนิสยื่นอยู่รอบตัวของไวรัสดูคล้ายๆภาพรัศมีของดวงอาทิตย์ (Solar corona) จึงตั้งชื่อเรียกไวรัสในวงศ์นี้ว่า ‘Coronaviridae’ นั่นเอง
เชื้อโคโรนาไวรัส ถูกค้นพบเมื่อปี พ.ศ. 2508 เชื้อถูกแบ่งออกเป็นหลายสายพันธุ์ย่อยตาม คุณสมบัติเฉพาะซึ่งปัจจุบันพบมากกว่า 10 สายพันธุ์ย่อย บางสายพันธุ์ย่อยทำให้เกิดโรคในสัตว์ซึ่งได้แก่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายชนิดและนก, โดยเชื้อแต่ละสายพันธุ์ย่อยจะก่อให้เกิดโรคเฉพาะกับสัตว์ที่มีความใกล้เคียงกัน ซึ่งเชื้อที่ทำให้เกิดโรคในสัตว์ทั่วไปมักไม่ทำให้เกิดโรคในคน
สัตว์แต่ละชนิดที่ติดเชื้อฯจะมีอาการได้หลากหลาย เช่น ในวัวควายจะทำให้มีอาการท้องเสีย, ในแมวอาจทำให้เกิดเยื่อบุช่องท้องอักเสบซึ่งมีอัตราการตายสูง, ในหนูจะเกิดตับอักเสบหรือโรค Multiple sclerosis หรือย่อว่า โรค MS (โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง ย่อว่าโรคเอมเอส /MS), เป็นต้น
สำหรับเชื้อโคโรนาไวรัสที่ทำให้เกิดโรคในคนเรียกว่า ‘Human coronaviruses’ มีอยู่ 7 สายพันธุ์ย่อยหลักดังได้กล่าวแล้วในตอนต้น
โคโรนาไวรัสติดต่อและก่อโรคอย่างไร?
การติดต่อของเชื้อโคโรนาไวรัสเกิดจากการหายใจเอาเชื้อไวรัสนี้ที่กระจายอยู่ในละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย หรือการสัมผัสกับสิ่ง/สารคัดหลั่งเหล่านี้แล้วนำมาสัมผัสกับเยื่อบุจมูก ตา หรือปาก ซึ่งเรียกว่าเป็น Droplets transmission หรือการอยู่อาศัยและสัมผัสใกล้ชิด (Close person-to-person contact) ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ติดโรคได้ เช่น การกอด การจูบ การสัมผัสเนื้อตัว การทักทายโดยการจับมือ การกินอาหารโดยใช้ภาชนะร่วมกัน การดื่มน้ำ/เครื่องดื่มจากแก้ว/ขวดเดียวกัน เป็นต้น
นอกจากนี้สามารถตรวจพบเชื้อไวรัสจากอุจจาระในผู้ป่วยบางรายที่มีอาการถ่ายอุจจาระเหลวได้ ดังนั้นการติดต่ออาจเกิดจากการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนอุจจาระของผู้ป่วยได้ด้วย
เมื่อร่างกายติดเชื้อโคโรนาไวรัสแล้ว เชื้อจะทำให้เกิดอาการของระบบทางเดินหายใจส่วนบน (ยกเว้นไวรัสที่ทำให้เกิดโรคที่รุนแรงที่ทำให้เกิดการติดเชื้อในทางเดินหายใจตอนล่าง/ปอดได้) ซึ่งส่วนใหญ่คืออาการของ โรคหวัดทั่วๆไป โดยเฉลี่ยแล้วผู้ที่ป่วยเป็นโรคหวัดมีสาเหตุมาจากเชื้อโคโรนาไวรัสประมาณ 10-30%,
ในผู้ป่วยบางรายเชื้อโคโรนาไวรัสอาจทำให้เกิดอาการของกล่องเสียงอักเสบ และหลอดลมอักเสบได้ หากเป็นผู้สูงอายุ เด็กทารก ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่อง หรือผู้ที่มีโรคปอด และ โรคหัวใจและหลอดเลือด เรื้อรัง เชื้ออาจทำให้เกิดอาการของระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง ได้แก่ หลอดลมฝอยอักเสบหรือ ปอดอักเสบ/ปอดบวมได้ นอกจากนี้แล้วเชื้ออาจทำให้เกิดกระเพาะอาหารอักเสบและลำไส้อักเสบร่วมด้วยได้
สำหรับเชื้อโคโรนาไวรัสที่ทำให้เกิดโรครุนแรงนั้นจะทำให้เกิดอาการของปอดอักเสบที่รุนแรงจนมีโอกาสเกิดภาวะหายใจล้มเหลวจนถึงตายได้
โรคติดเชื้อโคโรนาไวรัสมีอาการอย่างไร?
ระยะฟักตัวของโรค คือ ตั้งแต่รับเชื้อจนกระทั่งแสดงอาการจะประมาณ 2 - 4 วัน ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการเพียงเล็กน้อยไม่รุนแรง เช่น มีไข้ ไอ เจ็บคอ จาม คัดจมูก มีน้ำมูกไหล เชื้อบางสายพันธุ์อาจทำให้มีอาการท้องเสีย ถ่ายอุจจาระเหลวร่วมด้วยได้ อาการเหล่านี้จะเป็นอยู่เพียงไม่ กี่วันและสามารถหายไปได้เองในที่สุด
ในผู้สูงอายุ เด็กทารก ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่อง หรือ ผู้ที่มีโรคเรื้อรังของปอด และ หัวใจ เชื้ออาจทำให้เกิดอาการของระบบทางเดินหายใจส่วนล่างได้ เช่น ไข้สูง ไอมาก หายใจหอบเหนื่อย แต่มักจะไม่รุนแรงจนถึงขั้นเกิดภาวะหายใจล้มเหลว
สำหรับเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ที่รุนแรง จะทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการของปอดอักเสบที่รุนแรง ซึ่งอาการ เช่น ไข้สูง หนาวสั่น ปวดหัว อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เบื่ออาหาร แล้วตามมาด้วยอาการไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะ หอบเหนื่อย/หายใจลำบาก ปอดอักเสบรุนแรง และอาจเกิดภาวะหายใจล้มเหลวจนกระทั่งถึงตายได้ในที่สุด
แพทย์วินิจฉัยโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัสอย่างไร?
โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยจะสามารถให้การวินิจฉัยตนเองได้ว่าเป็นโรคหวัดและอาจไม่ได้มาพบแพทย์
สำหรับผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ แพทย์ก็จะดูจากอาการของผู้ป่วยและการตรวจร่างกาย และวินิจฉัยได้ว่าเป็นเพียงโรคหวัดเช่นเดียวกัน แต่เป็นไปไม่ได้ที่แพทย์จะบอกว่าผู้ป่วยกำลังติดเชื้อโคโรนาไวรัสอยู่ เนื่องจากโรคหวัดที่เกิดจากโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ย่อยต่างๆหรือจากเชื้อไวรัสชนิดอื่นๆก็ทำให้เกิดอาการที่แทบไม่แตกต่างกัน นอกจากนี้ก็ไม่มีความจำเป็นในการบอกชนิดเชื้อที่ทำให้เกิดโรคหวัดด้วยเนื่องจากการรักษาเหมือนกัน คือ เพียงแค่ประคับประคองตามอาการเท่านั้นเพราะยาปฏิชีวนะฆ่าได้เฉพาะเชื้อแบคทีเรีย ไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้
สำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรงกว่าโรคหวัดก็มักจะมาพบแพทย์ แพทย์ก็อาศัยอาการผู้ป่วยและการตรวจร่างกายเพื่อวินิจฉัยในเบื้องต้นว่าผู้ป่วยน่าจะมีการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง หลังจากนั้นต้องอาศัยการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อวินิจฉัยและหาสาเหตุของเชื้อโดยคร่าวๆ เนื่องจากเชื้อหลายชนิดทั้งแบคทีเรียและเชื้อไวรัสชนิดต่างๆ สามารถเป็นสาเหตุของการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจส่วนล่างได้และมักจะมีอาการคล้ายคลึงกัน
การตรวจต่างๆ เช่น
- ตรวจเลือดดูซีบีซี (CBC) อาจช่วยแยกระหว่างการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย
- เอกซเรย์ปอดเพื่อยืนยันการวินิจฉัยว่าเป็นปอดอักเสบหรือไม่ และลักษณะของภาพจากเอกซเรย์ปอดบางอย่างอาจช่วยแยกชนิด ของเชื้อได้
- และ/หรือการนำเสมหะไปเพาะเชื้อซึ่งโดยทั่วไปก็จะเพาะหาเฉพาะเชื้อแบคทีเรีย
หากการตรวจต่างๆบ่งว่าผู้ป่วยน่าจะติดเชื้อไวรัสมากกว่าแบคทีเรีย แพทย์ก็จะไม่พิจารณาให้ ยาปฏิชีวนะ (ยาปฏิชีวนะใช้รักษาเฉพาะการติดเชื้อแบคทีเรีย รักษาการติดเชื้อไวรัสไม่ได้และไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้) แต่ให้การรักษาประคับประคองตามอาการ โดยในสถานการณ์ปกติแพทย์ก็จะไม่ได้ใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการเฉพาะเพื่อแยกว่าเป็นไวรัสชนิดใด
แต่ในกรณีพิเศษ เช่น กรณีการระบาดของ COVID-19 หรือกรณีที่ต้องการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเชื้อโคโรนาไวรัส เป็นต้น แพทย์ก็จะต้องอาศัยห้องปฏิบัติการพิเศษเพื่อตรวจหาว่าอาการเกิดจากเชื้อโคโรนาไวรัส หรือไม่ เช่น
- การตรวจหาสารก่อภูมิต้านทานต่อไวรัสในเบื้องต้น เช่น จากสารคัดหลั่งในโพรงจมูก, โพรงคอหอย, จากน้ำลาย, เช่น กรณี COVID-19 ที่เรียกว่าการตรวจเอทีเค (ATK /Antigen test kit)
- การตรวจเลือดหาแอนติบอดี/สารภูมิต้านทาน (Antibody) ต่อเชื้อไวรัสนี้
- ตรวจเลือดหรือสารคัดหลั่งเพื่อหาสารพันธุกรรมของเชื้อนี้ด้วยวิธีที่เรียกว่า PCR (Polymerase chain reaction)
- หรือการเพาะเชื้อไวรัสนี้จากเลือดหรือจากสารคัดหลั่ง
โรคติดเชื้อโคโรนาไวรัสรุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงไหม?
ความรุนแรง/การพยากรณ์โรคและภาวะแทรกซ้อน/ผลข้างเคียงจากการติดเชื้อโคโรนาไวรัส คือ
- การติดเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ย่อยต่างๆยกเว้นสายพันธุ์ย่อยที่ทำให้เกิดโรครุนแรง จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการเพียงเล็กน้อยสามารถหายได้เองเป็นปกติโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน
- ในผู้สูงอายุ, เด็กทารก, ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง, หรือผู้ที่มีโรคเรื้อรังของปอดและ โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน, กลุ่มโรคเอนซีดี, สตรีตั้งครรภ์, อาจมีอาการค่อนข้างมากได้อันเนื่องจากเชื้อทำให้เกิดอาการของระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง จึงเกิดปอดอักเสบที่รุนแรงจนอาจถึงตายได้
มีแนวทางการรักษาโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัสอย่างไร?
ปัจจุบัน ส่วนใหญ่สำหรับรักษาเชื้อโคโรนาไวรัสที่ไม่รุนแรง จะเพียงแค่รักษาประคับประคองตามอาการแบบเป็นผู้ป่วยนอก โดยการรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล หรือการรักษาด้วยยาต้านไวรัสขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและสภาพร่างกายของผู้ป่วย
การรักษาประคับประคองตามอาการ/การรักษาตามอาการ เช่น
- การให้ยาตามอาการ เช่น ยาลดไข้, ยาแก้ปวด, ยาแก้ไอ, ยาบรรเทาอาการเจ็บคอ, ยาลดน้ำมูก
- ดื่มน้ำให้มาก หากร่างกายผู้ป่วยมีภาวะขาดน้ำแพทย์จะให้สารน้ำและเกลือแร่ทางหลอดเลือด
- การให้ออกซิเจนในผู้ป่วยที่หอบเหนื่อย
- และการใส่เครื่องช่วยหายใจในผู้ที่เกิดภาวะหายใจล้มเหลว
- และอาจมีการกักแยกตัวกรณีโรคเกิดจากสายพันธ์ที่รุนแรงหรือช่วงมีการระบาดของโรค
ดูแลตนเองและป้องกันโรคติดเชื้อโคโรนาไวรัสอย่างไร?
การดูแลตนเองและการป้องกันการติดเชื้อโคโรนาไวรัส จะเช่นเดียวกับการป้องกันการติดเชื้อไวรัสทั่วไป ใช้หลักการเดียวกันกับการป้องกันการติดเชื้อโรคต่างๆที่มากับระบบทางเดินหายใจที่สำคัญ เช่น
- หลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในที่แออัด ผู้คนหนาแน่น อากาศถ่ายเทไม่สะดวก เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล อย่างน้อยตั้งแต่1เมตรขึ้นไป, ทั่วไปอย่างน้อย8;igxHo1.5เมตร
- หากจำเป็นต้องเข้าไปควรสวมหน้ากากอนามัยป้องกันตนเองจากการสัมผัสกับละอองน้ำมูกน้ำลายจากผู้อื่น
- ล้างมือบ่อยๆด้วยสบู่หรือน้ำยาล้างมือโดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหารหรือก่อนปรุงอาหาร
- รักษาสุขภาพให้แข็งแรงโดยการออกกำลังกายสม่ำเสมอ กินอาหารที่มีประโยชน์ห้า หมู่ให้ครบถ้วน พักผ่อนให้เพียงพอ เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาคือ รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ)
- ผู้ป่วยที่อาการไม่รุนแรงและไม่ได้เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล: ควรแยกตัวจนกว่าจะหายสนิท ที่สำคัญ เช่น
- ควรพักอยู่กับบ้าน และป้องกันการแพร่เชื้อสู่คนใกล้ชิดโดย
- ใช้ผ้าปิดปากปิดจมูก (หน้ากากอนามัย)
- ใช้ช้อนกลางกินอาหาร
- แยกของใช้ส่วนตัว และ
- ควรแยกห้องนอน
- ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันและมียาต้านไวรัสสำหรับ 'โรคโควิด-19'
ควรพบแพทย์เมื่อไหร่?
โดยปกติผู้ที่มีอาการของโรคหวัดสามารถซื้อยารับประทานเองเพื่อบรรเทาอาการ (ปรึกษา เภสัชกรประจำร้านขายยาก่อนซื้อยาใช้เองเสมอ) และพักผ่อนจนอาการหายได้เป็นปกติโดยที่ไม่จำเป็นต้องมาพบแพทย์ แต่หากอาการเป็นค่อนข้างมากซึ่งอาจเกิดจากมีการติดเชื้อของระบบทาง เดินหายใจตอนล่างได้แก่ มีไข้สูงร่วมกับไอมาก มีเสมหะมาก หายใจหอบเหนื่อย ต้องรีบมาโรง พยาบาลเสมอภายใน 24 ชั่วโมงหรือฉุกเฉินขึ้นกับความรุนแรงของอาการโดยเฉพาะในผู้ป่วยเด็กทารก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ
บรรณานุกรม
- https://en.wikipedia.org/wiki/Coronavirus [2022,Aug27]
- https://www.paho.org/en/topics/coronavirus-infections [2022,Aug27]
- http://virology-online.com/viruses/CORZA4.htm [2022,Aug27]
- https://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMoa1211721#t=article [2022,aug27]