ยาคุมกำเนิดชนิดแปะผิวหนัง (Birth control patch or contraceptive patch)
- โดย นายแพทย์ เกียรติศักดิ์ คงวัฒนกุล
- 1 พฤษภาคม 2560
- Tweet
- ยาคุมกำเนิดชนิดแปะผิวหนังคืออะไร?
- ยาคุมกำเนิดชนิดแปะผิวหนังมีกลไกการทำงานอย่างไร ?
- ประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิดชนิดแปะผิวหนังเป็นอย่างไร?
- ยาคุมกำเนิดชนิดแปะผิวหนังเหมาะสมกับใคร?
- มีวิธีที่ถูกต้องในการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดแปะผิวหนังอย่างไร?
- หากลืมเปลี่ยนแผ่นยาคุมกำเนิดควรต้องทำอย่างไร?
- มีข้อควรทราบสำหรับผู้ที่ใช้การยาคุมกำเนิดชนิดแปะผิวหนังอย่างไร?
- สามารถใช้ยาคุมกำเนิดชนิดแปะผิวหนังติดต่อกันได้นานกี่ปี?
- ค่าใช้จ่ายเมื่อเปรียบเทียบกับยาคุมกำเนิดแบบรับประทานเป็นอย่างไร?
- หากต้องการหยุดยาหรือต้องการมีบุตรควรทำอย่างไร?
- หลังแท้งควรเริ่มใช้ยาคุมกำเนิดชนิดแปะผิวหนังได้เมื่อไหร่?
- ผลข้างเคียงของยาคุมกำเนิดชนิดแปะผิวหนังมีอะไรบ้าง?
- มีข้อควรระวังและข้อห้ามใช้ยาคุมกำเนิดชนิดแปะผิวหนังอย่างไร?
- เมื่อไรต้องรีบพบสูตินรีแพทย์ก่อนนัด?
- สรุปข้อดีและข้อเสียของยาคุมกำเนิดชนิดแปะผิวหนัง
- บรรณานุกรม
- การคุมกำเนิด (Contraception)
- การวางแผนครอบครัว (Family planning)
- การคุมกำเนิดฉุกเฉิน (Emergency Contraception)
- ยาเม็ดคุมกำเนิด (Birth control pill)
- ยาฉีดคุมกำเนิด (Injectable contraceptive)
- ถุงยางอนามัยสตรี (Female condom)
- การทำหมันหญิง (Tubal ligation)
- การทำหมันชาย (Vasectomy)
- ถุงยางอนามัยชาย (Male Condom)
- ถุงยางอนามัยสตรี (Female condom)
ยาคุมกำเนิดชนิดแปะผิวหนังคืออะไร?
ยาคุมกำเนิดชนิดแปะผิวหนัง (Birth control patch หรือ Contraceptive patch) เป็นการคุมกำเนิดโดยใช้ยาฮอร์โมนที่เป็นแผ่นแปะ ที่ประกอบด้วยยาฮอร์โมน 2 ชนิด คือ ยาในกลุ่มเอสโตรเจนสังเคราะห์/ Synthetic estrogen และยาในกลุ่มโปรเจสติน/Progestin ซึ่งเมื่อแปะบริเวณผิวหนังแล้วจะมีผลให้ตัวยาดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย โดยกลไกหลัก คือ ยาจะมีผลยับยั้งการตกไข่เช่นเดียวกับยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรับประทาน หรือชนิดยาฉีดคุมกำเนิด เพราะเป็นยาฮอร์โมนจัดอยู่ในประเภทเดียวกัน
ยาคุมกำเนิดชนิดแผ่นแปะนี้ มีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดด้านละ 1 3/4 นิ้ว ผิวเรียบ เป็นแผ่นบางๆ สีเบจ/สีเนื้อ (Beige)ซึ่งได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา (FDA, Food and Drug Administration) ในปี คศ. 2001 (พ.ศ.2544)
ยาคุมกำเนิดชนิดแปะผิวหนังมีกลไกการทำงานอย่างไร ?
เนื่องจากยาคุมกำเนิดชนิดแปะผิวหนังนี้ ประกอบด้วยยาฮอร์โมนเพศหญิง 2 ชนิด เช่นเดียวกับ ยาเม็ดคุมกำเนิด ชนิดรับประทาน แต่การปลดปล่อยฮอร์โมน หรือยานี้จะถูกผิวหนังดูดซึมเข้าสู่ร่างกายนั้น จะเป็นไปอย่างช้าๆ หลังจากแปะยาไปแล้วประมาณ 48 ชั่วโมง โดยระดับยาจะคงที่ สม่ำเสมอ ซึ่งประมาณ 20 ไมโครกรัมต่อวัน โดยที่ระดับยาจะใกล้เคียงกันไม่ว่าจะแปะแผ่นยาที่บริเวณ สะโพก หน้าท้อง ต้นแขนด้านนอก หรือ แผ่นหลังด้านบน ทำให้มีการออกฤทธิ์อยู่ได้นาน ซึ่งยาคุมกำเนิดชนิดแปะผิวหนังนี้ มีกลไกป้องกันการตั้งครรภ์หลักคล้ายกับยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรับประทาน ได้แก่
1. ป้องกันการตกไข่
2. ป้องกันไม่ให้อสุจิผ่านเยื่อเมือกบริเวณปากช่องคลอด (Cervical mucus) เข้ามาปฏิสนธิกับไข่บริเวณโพรงมดลูกและในท่อนำไข่ได้
3. มีผลทำให้เยื่อบุโพรงมดลูก (Endometrial layer) บางและไม่เหมาะสมในการฝังตัวของตัวอ่อนที่เกิดจากการปฏิสนธิ
ประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิดชนิดแปะผิวหนังเป็นอย่างไร?
จากข้อมูลพบว่า โอกาสที่จะล้มเหลวหรือเกิดการตั้งครรภ์ จากการคุมกำเนิดด้วยวิธีนี้นั้น น้อยกว่า 1% ซึ่งน้อยกว่าการคุมกำเนิดด้วยยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรับประทาน ซึ่งอยู่ในระดับประมาณ 5-8%
ยาคุมกำเนิดชนิดแปะผิวหนังนี้เหมาะสมกับใคร?
วิธีคุมกำเนิดวิธีนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ อายุอยู่ในช่วงระหว่าง 18-50 ปีที่ยังไม่พร้อมจะมีบุตร ไม่ชอบการทานยาคุมกำเนิดแบบรับประทาน และไม่มีโรคหรือข้อห้ามในการให้ฮอร์โมน/ให้ยาคุมกำเนิดชนิดนี้ (จะกล่าวถึงในหัวข้อต่อๆไป) โดยช่วงเวลาที่ต้องการคุมกำเนิดที่เหมาะสมประมาณ 5 ปี เพราะหากต้องการคุมกำเนิดนานมากกว่านี้ ก็ควรใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่นจะเหมาะสม กว่า ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงของยาฮอร์โมนในระยะยาว เช่น อาจเพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านม โรคมะเร็งปากมดลูก ภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ และ/หรือเนื้องอกตับชนิดรุนแรง (Hepatic adenoma)
มีวิธีที่ถูกต้องในการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดแปะผิวหนังอย่างไร?
ในยาคุมกำเนิดชนิดแปะผิวหนัง 1 ชุด จะมี 3 แผ่น ใช้ติดสัปดาห์ละ 1 แผ่น โดยแปะยาที่ผิวหนังบริเวณ สะโพก ก้น หน้าท้อง ต้นแขนด้านนอก หรือ แผ่นหลังด้านบนก็ได้ เริ่มในวันแรกของประจำเดือน แปะไว้หนึ่งสัปดาห์ แล้วเปลี่ยนแผ่นใหม่ในวันเดียวกันใน 1 สัปดาห์ต่อมา โดยการดึงแผ่นเดิมออก และแปะยาแผ่นใหม่บริเวณอื่นที่ไม่ซ้ำกับตำแหน่งเดิม เช่น เริ่มแปะยาแผ่นแรกวันอาทิตย์ ก็จะต้องดึงแผ่นแรกนี้ออก และเปลี่ยนเป็นแผ่นที่สองในวันอาทิตย์ต่อมาเช่นเดียวกัน โดยจะแปะครบ 3 แผ่น หลังจากที่ดึงแผ่นที่สามออกนั้น ก็เว้น 1 สัปดาห์ไม่ต้องแปะแผ่นใหม่ ในช่วงนี้ก็จะมีประจำเดือนและจะเริ่มแปะแผ่นใหม่ใน 1 สัปดาห์หลังดึงแผ่นสุดท้ายออก นับเป็น 1 เดือนพอดี
นอกจากนั้น คือ
1. ห้ามใช้ เครื่องสำอาง โลชั่น หรือครีม บนผิวหนังบริเวณที่จะแปะแผ่นยา และห้าม แปะแผ่นยาขณะที่ผิวหนังยังไม่แห้งสนิท ฉีกซองยาที่รอยบากตรงมุมของซอง แล้วดึงแผ่นยาสีเนื้อพร้อมแผ่นพลาสติกใสที่ติดอยู่ออกจากซองยาพร้อมๆกันโดยห้ามโดนบริเวณที่เป็นกาว ลอกแผ่นพลาสติกใสซีกหนึ่งออกจากแผ่นยา
2. จากนั้นติดแผ่นยา ทันทีที่ลอกแผ่นพลาสติกด้านหนึ่งออก บนผิวหนังที่สะอาด ไม่มีผื่นแดง แผล และผิวต้องแห้งสนิท หลังจากนั้น จึงดึงแผ่นพลาสติกอีกซีกหนึ่งออกจากแผ่นยา พร้อมทั้งติดแผ่นยาคุมกำเนิดส่วนที่เหลือให้แนบสนิทกับผิวหนังทั่วทั้งแผ่นยา
3. ผู้ใช้ ควรรีดแผ่นยานี้ให้ทุกส่วนของแผ่นยา แนบสนิทกับผิวหนัง และค่อยๆกดไว้ให้แน่นประมาณ 10 วินาที
หากลืมเปลี่ยนแผ่นยาคุมกำเนิดควรต้องทำอย่างไร?
หากลืมเปลี่ยนแผ่นยาคุมกำเนิด ควร
1.หากลืมในช่วงแผ่นยาแผ่นที่ 2 และ 3
- ถ้าเลื่อนไปไม่เกิน 48 ชั่วโมง แนะนำให้เปลี่ยนแผ่นใหม่ทันทีที่จำได้ และเปลี่ยนแผ่นยาแผ่นใหม่ตามวันเปลี่ยนแผ่นยาตามกำหนดเดิม ไม่ต้องใช้วิธีคุมกำเนิดอื่น
- ถ้าเลื่อนไปนานกว่า 48 ชั่วโมง ควรหยุดรอบการใช้แผ่นยาเดิมและให้เริ่มต้นใช้แผ่นยาคุมกำเนิดรอบใหม่ทันที โดยเริ่มต้นนับเป็นวันแรกของการปิดยา และกำหนดเป็นวันเปลี่ยนแผ่นใหม่ในอีกหนึ่งสัปดาห์หน้า ซึ่งระหว่างนี้ควรใช้วิธีคุมกำเนิดอื่น ที่ไม่ใช่ยากลุ่มฮอร์โมนร่วมด้วย เช่น ถุงยางอนามัย ในระยะ 7 วันแรกของการปิดแผ่นยาใหม่ เพราะอาจมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ในช่วงเวลาดังกล่าว
2.หากลืมลอกแผ่นสุดท้ายออก
- แนะนำให้ลอกแผ่นออกทันที และการใช้แผ่นต่อไปควรเริ่มตามปกติ ไม่ต้องใช้วิธีการคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วย
3.หากลืมปิดแผ่นยาในวันแรกของรอบการใช้ยา
- ควรเริ่มแปะแผ่นแรกทันทีที่จำได้ และจำไว้ว่า วันเริ่มต้นใหม่ของรอบเดือนใหม่เป็นวันใด และเปลี่ยรอบแผ่นยาตามวันใหม่นี้ ดังได้กล่าวแล้วในตอนต้น ในวิธีใช้แผ่นยา
- ควรใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นที่ไม่ใช่ยาฮอร์โมนร่วมด้วยในช่วง 7 วันแรก ดังได้กล่าวแล้ว เพราะอาจมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ในช่วงเวลานี้เช่นเดียวกัน
อนึ่ง เมื่อลืมเปลี่ยน หรือลืมแปะแผ่นยา ไม่ควรกินยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดใดๆทั้งสิ้นเพิ่มเติม ให้ปฏิบัติตามที่ได้กล่าวแล้ว เพราะยาเหล่านั้นไม่ได้ช่วยลดโอกาสเกิดการตั้งครรภ์ แต่อาจส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงจากยาสูงขึ้น เช่น คลื่นไส้ อาเจียน และ/หรือ มีเลือดออกทางช่องคลอดกะปริดกะปรอย
มีข้อควรทราบสำหรับผู้ที่ใช้การยาคุมกำเนิดชนิดแปะผิวหนังอย่างไร?
มีข้อควรทราบสำหรับผู้ที่ใช้การยาคุมกำเนิดชนิดแปะผิวหนัง คือ
1. ถ้าแผ่นหลุดหรือแผ่นลอกออก ให้ลองกดดูถ้ายังติดได้ก็ใช้ต่อ แต่ถ้าหมดยางเหนียวหรือไม่สามารถติดเหมือนเดิมได้ต้องเปลี่ยนแผ่นใหม่ (แปะเท่าเวลาที่เหลือ เช่นแผ่นนั้นยังเหลือ 3 วันแล้วหลุด ก็แปะแผ่นใหม่แค่ 3 วัน แล้วก็เปลี่ยนเป็นแผ่นใหม่ตามรอบเดิม)
2. ถ้าหากต้องการจะเปลี่ยนจากยาคุมกำเนิดแบบกินมาเป็นแบบแปะนั้น ให้เริ่มวันแรกที่รอบประจำเดือนมาได้เลย และหากต้องการเปลี่ยนจากแบบแปะ เป็นแบบกินก็เช่นเดียวกัน
3. สามารถ อาบน้ำ ว่ายน้ำ และออกกำลังกายได้ตามปกติโดยไม่ต้องแกะแผ่นแปะออก
4. ไม่ควรตัดแบ่งตัวแผ่นแปะให้เล็กลง เพราะอาจจะทำให้ยาลดประสิทธิภาพ จนไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้
5. การคุมกำเนิดด้วยวิธีนี้ ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ได้
6.ไม่ควรใช้ยานี้ในช่วงให้นมบุตร เพราะยาซึมเข้าสู่หลอดเลือดและผ่านเข้าสู่น้ำนม ได้ จึงส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงของยา (ดังจะกล่าวในหัวข้อต่อไป) ต่อทารกที่ดื่มนมแม่ได้
สามารถใช้ยาคุมกำเนิดชนิดแปะผิวหนังติดต่อกันได้นานกี่ปี?
สามารถใช้การคุมกำเนิดด้วยวิธีนี้นานหลายปีตราบเท่าที่ต้องการ เหมือนกับการใช้ยาคุมกำเนิดแบบรับประทาน (ยาเม็ดคุมกำเนิด)
แต่หากใช้ยานี้นานมากกว่า 5 ปีขึ้นไป ควรใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่นแทน เช่น การใช้ถุงยางอนามัยชาย และ/หรือ การใส่ห่วงอนามัย (ฝ่ายหญิง) จะเหมาะสมกว่า (อ่านเพิ่มเติม ในบทความ เรื่อง วิธีคุมกำเนิด) เพื่อลดผลข้างเคียงของยาฮอร์โมนในระยะยาว เช่น อาจเพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านม โรคมะเร็งปากมดลูก ภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ และ/หรือเนื้องอกตับชนิดรุนแรง (Hepatic adenoma) หรือ ปรึกษาสูตินรีแพทย์เพื่อหาวิธีที่เหมาะสมในการคุมกำเนิดต่อไป (บทบาทของการวางแผนครอบครัว)
ค่าใช้จ่ายเมื่อเปรียบเทียบกับยาคุมกำเนิดแบบรับประทานเป็นอย่างไร?
ยาคุมกำเนิดชนิดแปะผิวหนัง จะมีราคาแพงกว่า ยาคุมกำเนิดชนิดรับประทาน (ยาเม็ดคุมกำเนิด) โดยจะแพงกว่ามากหรือน้อย ขึ้นกับชนิดของยารับประทาน ซึ่งมีราคายาแตกต่างกันออกไปตามชนิดยา ปริมาณยา และตามบริษัทผู้ผลิต
หากต้องการหยุดยาหรือต้องการมีบุตรควรทำอย่างไร?
หลังจากหยุดยาคุมกำเนิดด้วยวิธีนี้ ภาวะตกไข่ตามธรรมชาติจะสามารถกลับมาได้ภายในเดือนแรกหลังหยุดยา (ทั่วไป มักภายใน 3 เดือนหลังหยุดยา) ดังนั้นการตั้งครรภ์ จึงอาจเกิดขึ้นได้ตั้งแต่เดือนแรกหลังหยุดแปะยา
หลังแท้งควรเริ่มใช้ยาคุมกำเนิดชนิดแปะผิวหนังได้เมื่อไหร่?
สามารถเริ่มแปะยาคุมกำเนิดวิธีนี้ได้ภายใน 2 สัปดาห์ หลังการแท้งที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น ยังมีเลือดออกทางช่องคลอดอยู่ หรือ มีการติดเชื้ออยู่ เป็นต้น เช่นเดียวกับยาคุมกำเนิดชนิดอื่นๆ เพราะในภาวะเช่นนั้น การคุมกำเนิดด้วยการใช้ยา มักมีประสิทธิภาพลดลง
ผลข้างเคียงของยาคุมกำเนิดชนิดแปะผิวหนังมีอะไรบ้าง?
ผลข้างเคียงของยาคุมกำเนิดชนิดนี้ก็เหมือนผลข้างเคียงของยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรับประทานทั่วไป แต่ของยาคุมกำเนิดชนิดแปะผิวหนังนั้นพบได้น้อยกว่า โดยผลข้างเคียงที่อาจพบได้ คือ
1.คลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว/ปวดศีรษะ ซึมเศร้า เหงือกอักเสบ
2.ผื่นแพ้ คัน ในผิวหนังบริเวณที่แปะ
3.น้ำหนักเพิ่มเล็กน้อย รู้สึกตัวบวมขึ้น ซึ่งจะขึ้นกับแต่ละบุคคล
4.อาจมีเลือดออกทางช่องคลอดกะปริบกะปรอย
5.เต้านมอาจ บวม ตึง และใหญ่ขึ้น อาจมีน้ำนมไหลได้
6.มีความต้องการทางเพศเปลี่ยนไป โดยอาจลดลง
7.มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ แต่พบได้น้อยมาก
มีข้อควรระวังและข้อห้ามใช้ยาคุมกำเนิดชนิดแปะผิวหนังอย่างไร?
หากมีภาวะดังต่อไปนี้ ควรต้องปรึกษาสูตินรีแพทย์เพื่อให้คำแนะนำก่อนใช้ยาคุมกำเนิดชนิดนี้เสมอ
1.น้ำหนักตัวมากกว่า 90 กิโลกรัมขึ้นไปนั้นอาจทำให้ประสิทธิภาพของยาต่ำลง
2. สตรีที่สูบบุหรี่ เพราะจะเสริมกันก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้
3. มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และ/หรือ โรคตับ เพราะ อาจส่งเสริมให้โรครุนแรงขึ้น
4. มีประวัติเป็น โรคมะเร็งเต้านม หรือ โรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก เพราะอาจส่งเสริมให้โรคลุกลมแพร่กระจายได้
5. มีประวัติเลือดจับเป็นก้อนง่าย เพราะจะเพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำ
6. มีประวัติโรคหัวใจ หรือ สมองขาดเลือด/โรคหลอดเลือดสมอง เพราะอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ และ/หรือ โรคหลอดเลือดสมองได้
7. มีประวัติ แพ้ยา กลุ่มฮอร์โมนเพศ
8. มีเลือดออกทางช่องคลอดที่ยังไม่ทราบสาเหตุ
9. ควรระวัง หากใช้ร่วมกับยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะ ยารักษาเชื้อรา ยากันชัก เพราะอาจลดประสิทธิภาพของยาเหล่านั้น หรือยาเหล่านั้นอาจลดประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดของยาคุมกำเนิดชนิดนี้ให้ลดลงได้ ดังนั้นเมื่อมีการเจ็บป่วยและมีการใช้ยาต่างๆ ควรปรึกษาแพทย์ผู้รักษาถึงผลกระทบของยารักษาโรคเหล่านั้นต่อยาคุมกำเนิดเสมอรวมทั้งยาชนิดแปะนี้ด้วย หรือต้องใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นที่ไม่ใช่ยาคุมกำเนิดเพิ่มร่วมไปด้วย เช่น การใช้ถุงยางอนามัยชาย เป็นต้น
เมื่อไรต้องไปพบสูตินรีแพทย์ก่อนนัด?
หากมีอาการผิดปกติต่างๆหลังใช้การคุมกำเนิดชนิดแปะผิวหนัง เช่น เจ็บหน้าอก ผื่นแดง บวม คัน ปวดตามผิวหนัง มีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ ตัวเหลือง ตาเหลือง (โรคดีซ่าน) และ/หรือมีอาการของการตั้งครรภ์ ควรพบสูตินรีแพทย์ทันที
สรุปข้อดีและข้อเสียของยาคุมกำเนิดชนิดแปะผิวหนัง
ข้อดี
1.มีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูง หากใช้อย่างถูกต้อง
2.แก้ปัญหาสำหรับผู้ที่ทาน ยาเม็ดคุมกำเนิด แล้วลืมบ่อยๆ
3.ผลข้างเคียงจากยาคุมกำเนิดชนิดนี้ น้อยกว่ายาคุมกำเนิดชนิดรับประทาน
4.สามารถกลับมาสู่ภาวะเจริญพันธุ์/ตั้งครรภ์ได้รวดเร็วตั้งแต่หยุดแปะยา หากต้องการมีบุตร
ข้อเสีย
1.ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ได้
2.การใช้ยาชนิดนี้ ต้องปรึกษาและสั่งโดยแพทย์
3.ต้องมีความร่วมมือจากผู้ใช้ยาวิธีนี้ ในการแปะแผ่นยาอย่างถูกต้อง
บรรณานุกรม
- http://en.wikipedia.org/wiki/Contraceptive_patch[2017,April8]
- http://www.mayoclinic.org/tests-procedures/birth-control-patch/home/ovc-20167246[2017,April8]
- http://www.americanpregnancy.org/preventingpregnancy/birthcontrolfailure.html[2017,April8]
- Medpage Today. Evidence on Ortho Evra Patch Thrombosis Risk Is Contradictory. Published February 17, 2006.
- FDA Approves Update to Label on Birth Control Patch FDA. January 18, 2008.
Updated 2017,April 8