ยาฉีดคุมกำเนิด (Injectable contraceptive)

สารบัญ

บทความที่เกี่ยวข้อง

ยาฉีดคุมกำเนิดคืออะไร?

ยาฉีดคุมกำเนิด (Injectable contraceptive) เป็นวิธีการคุมกำเนิดแบบชั่วคราวชนิดหนึ่ง โดยการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อในระยะเวลาที่กำหนด เป็นที่นิยมใช้ในสตรีที่ต้องการเว้นระยะการมีบุตร เพราะประสิทธิภาพดี ราคาถูก

 

ยาฉีดคุมกำเนิดมีกี่ชนิด?และมีส่วนประกอบอะไรบ้าง?

ยาฉีดคุมกำเนิด

ยาฉีดคุมกำเนิดที่มีในปัจจุบันแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ

1. ยามีฮอร์โมนชนิดเดียว เป็น ฮอร์โมนโปรเจสติน (Progestin) อย่างเดียว แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ

a. ยา Medroxy progesterone ที่นิยมใช้มากที่สุด คือ Depo medroxy progesterone acetate หรือคำย่อที่รู้จักกันดี คือ DMPA (ดีเอมพีเอ) นั่นเอง

b. ยา Norethisterone enanthate (ชื่อการค้า คือ NET-EN®)

2. ยามีฮอร์โมนรวม คือ มีทั้งฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) เละ โปรเจสติน ชื่อการค้าคือ Cyclofem ® ประกอบด้วยยา Estradiol cypionate 5 มิลลิกรัม และ Medroxyprogesterone acetate 25 มิลลิกรัม เป็นยาที่ผลิตขึ้นมาเพื่อแก้ไขข้อด้อยของยาฉีดที่มีฮอร์โมนโปรเจสตินอย่างเดียว

 

ยาฉีดคุมกำเนิดมีกลไกการออกฤทธิ์อย่างไร?

ฮอร์โมนโปรเจสตินในยาฉีดคุมกำเนิด จะไปยับยั้งการตกไข่ ทำให้ไม่มีไข่มารอปฏิสนธิ จึงสามารถคุมกำเนิดได้ นอกจากนั้นฮอร์โมนโปรเจสตินยังทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางตัวไม่เหมาะแก่การฝังตัวของไข่อีกด้วย และยังทำให้มูกที่ปากมดลูกเหนียวข้น ทำให้ตัวเชื้ออสุจิว่ายผ่านเข้าไปผสมกับไข่ได้ลำบาก

 

มีวิธีฉีดยาคุมกำเนิดอย่างไร?

ระยะเวลาในการฉีดยาคุมกำเนิด มีระยะห่าง ตั้งแต่ 1-3 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของยาฉีดคุมกำเนิด

หากเป็น DMPA ขนาด 150 มิลลิกรัม จะฉีดเข้ากล้ามเนื้อทุก 3 เดือน โดยไม่เกี่ยวกับน้ำหนักของสตรีที่มารับการคุมกำเนิด ในต่างประเทศจะมีขนาด 104 มิลลิกรัม ที่ใช้ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง

Norethisterone enanthate ( NET-EN®) หรือ Noristerat ® ขนาด 200 มิลลิกรัม ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ทุก 2 เดือน

Cyclofem ® ฉีดเข้ากล้ามเนื้อทุก 1 เดือน ซึ่งยากลุ่มนี้ทำให้มีประจำเดือนมาทุกเดือน

ยาฉีดคุมกำเนิดมีประสิทธิภาพอย่างไร?

ประสิทธิภาพของยาฉีดคุมกำเนิดดีมาก โดยทั่วไปหากไปรับการฉีดยาคุมกำเนิดถูกต้อง ตรงตามเวลานัด โอกาสตั้งครรภ์มีน้อยมาก คือประมาณ 3 คนในสตรี 1000 คนที่ฉีดยา

ทั้งนี้จะต้องเริ่มฉีดยาภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือนเหมือนยา คุมกำเนิดชนิดอื่นๆ เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิด เมื่อครบกำหนดฉีดยาแล้วแต่ประจำเดือนยังไม่มา ก็ต้องไปฉีดยาตรงตามที่แพทย์กำหนด ห้ามรอจนกว่าจะมีประจำเดือนมาแล้วค่อยไปฉีดยา เพราะอาจทำให้เกิดการตั้งครรภ์โดยไม่รู้ตัว

 

สถานที่ให้บริการยาฉีดคุมกำเนิดมีที่ใดบ้าง?

การฉีดยาคุมกำเนิดยังไม่สามารถฉีดได้ด้วยตนเองเหมือนการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด ยังต้องไปรับบริการจากสถานพยาบาล ให้แพทย์ พยาบาล หรือบุคคลากรทางสาธารณสุขฉีดยาให้ สามารถไปฉีดได้ที่

1. โรงพยาบาลทุกแห่ง

2. สถานีอนามัย

3. คลินิกต่างๆ

โดยที่แพทย์หรือพยาบาลจะฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อที่ต้นแขน หรือ สะโพก หลังฉีดอาจมีอาการปวดตึงๆในบริเวณที่ฉีดยา ประมาณ 1 วัน แล้วจะหายไป ที่สำคัญ คือ หลังฉีดยาอย่าไปคลึงบริเวณที่ฉีดยาเพราะจะทำให้ยาถูกดูดซึมเร็วเกินไป ทำให้ระดับยาเหลือไม่สูงพอที่จะป้องการการตั้งครรภ์จนครบ 3 เดือนได้

 

อะไรคือข้อดีของยาฉีดคุมกำเนิด?

ข้อดีของยาฉีดคุมกำเนิด คือ

1. ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดดีมาก

2. ราคาถูกเมื่อเทียบกับวิธีอื่นๆ เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิด หรือ การใส่ห่วงอนามัย

3. สะดวก เนื่องจากฉีดครั้งเดียวสามารถป้องกันได้ 3 เดือน ไม่ต้อง รับประทานยาทุกวัน

 

อะไรคือข้อด้อยของยาฉีดคุมกำเนิด?

ข้อด้อยของยาฉีดคุมกำเนิด คือ

1. ต้องเสียเวลาไปสถานที่บริการ

2. ต้องพึ่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการฉีดยา

3. ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ

 

ผลข้างเคียงของยาฉีดคุมกำเนิดมีอะไรบ้าง?

ผลข้างเคียงของยาฉีดคุมกำเนิด ได้แก่

ก. ผลข้างเคียงของยาฉีดคุมกำเนิด ในกลุ่ม DMPA และ NET-EN หรือ Noristerat คือ

1. มีเลือดออกกะปริดกะปรอยจากโพรงมดลูก/เลือดออกทางช่องคลอด เป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุด

2. ไม่มีประจำเดือน หรือขาดประจำเดือน

3. น้ำหนักตัวเพิ่ม

4. ภาวะกระดูกบาง เนื่องจากฮอร์โมนโปรเจสตินจะไปยับยังการสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนจากรังไข่ ทำให้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง มีผลทำให้มวลกระดูกลดลง ความหนาแน่นกระดูกลดลง (Bone mineral density) แต่พบว่าเป็นแบบชั่วคราว เมื่อหยุดฉีดยาคุม ความหนาแน่นของมวลกระดูกจะกลับคืนมาเป็นปกติ

5. มึนงง วิงเวียนศีรษะ

6. อารมณ์เปลี่ยนแปลง

ข. ผลข้างเคียงของยาฉีดคุมกำเนิดในกลุ่ม Cyclofem คือ

1. น้ำหนักตัวเพิ่ม

2. เป็นฝ้า

3. หน้าอก/เต้านมคัดตึง

 

ใครเหมาะสำหรับการฉีดยาคุมกำเนิด?

สตรีที่เหมาะสำหรับการฉีดยาคุมกำเนิด คือ

1. สตรีที่ต้องการคุมกำเนิดแบบชั่วคราว สะดวก ประหยัด ได้ประสิทธิภาพสูง

2. สตรีที่ไม่ต้องการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดทุกๆวัน

3. สตรีหลังคลอดที่กำลังให้นมบุตร (ใช้ DMPA หรือ NET-EN หรือ Noristerat)

4. สตรีที่มีอาการปวดประจำเดือนเป็นประจำ

5. สตรีที่สูบหรี่

 

ใครไม่เหมาะสำหรับการฉีดยาคุมกำเนิด?

สตรีที่ไม่เหมาะสำหรับยาฉีดคุมกำเนิด คือ

1. สตรีที่มีเลือดออกทางช่องคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุ

2. สตรีที่สงสัยหรือกำลังตั้งครรภ์

3. สตรีที่โรคเลือดออกง่ายและหยุดยาก

4. สตรีที่มีภาวะกระดูกพรุน

5. สตรีที่มีภาวะซึมเศร้าอย่างรุนแรง

6. สตรีที่อ้วนมาก

 

ดูแลรักษาอย่างไรหากมีประจำเดือนกะปริดกะปรอยหลังจากฉีดยาคุมกำเนิด?

การดูแลรักษาหากมีประจำเดือนกะปริดกะปรอยหลังฉีดยาคุมกำเนิด อาจทำได้โดย

1. เปลี่ยนยามาเป็นชนิด ฉีด 1 เดือนต่อเข็ม (ยา Cyclofem) หรือ

2. เปลี่ยนเป็นรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด หรือ

3. รับประทานยาฮอร์โมนเอสโตรเจน

 

ภาวะเจริญพันธุ์หลังหยุดยาฉีดคุมกำเนิดเป็นอย่างไร?

โดยทั่วไป ระดับยายังคงมีอยู่ในกระแสเลือดแม้ว่าจะหยุดฉีดยาคุมไปแล้ว การกลับมาของประจำเดือนจึงช้ากว่าการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด โดยทั่วไปสามารถตั้งครรภ์ได้ในปีแรกประมาณ70 % และประมาณ 90% ในปีที่ 2 หลังหยุดฉีดยา

 

ประโยชน์นอกเหนือจากการคุมกำเนิดของยาฉีดคุมกำเนิดมีอะไรบ้าง?

ประโยชน์นอกเหนือจากการคุมกำเนิดของยาฉีดคุมกำเนิด คือ

1. ช่วยลดอาการปวดประจำเดือน เนื่องจากทำให้ไม่มีประจำเดือน

2. ช่วยลดภาวะซีด เนื่องจากทำให้ไม่มีประจำเดือน

3. ลดโอกาสติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน เนื่องจากไม่มีประจำเดือน

4. ลดโอกาสเกิดการตั้งครรภ์/ท้องนอกมดลูก เพราะโอกาสติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานน้อยลง

5. ลดโอกาสเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก เพราะยาฉีดคุมกำเนิดทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบาง ไม่มีการแบ่งเซลล์

 

ระหว่างใช้ยาฉีดคุมกำเนิดควรดูแลตนเองอย่างไร?

การดูแลตนเองระหว่างการฉีดยาคุมกำเนิดไม่มีอะไรพิเศษ คือ ต้องดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง และต้องให้ความสำคัญกับการไปฉีดยาตรงตามกำหนดที่แพทย์นัดในการฉีดเข็มต่อไป ไม่ต้องรอจนกว่าจะมีประจำเดือนจึงค่อยไปฉีดยา

 

ระหว่างใช้ยาฉีดคุมกำเนิดถ้าประจำเดือนผิดปกติควรทำอย่างไร?

หากฉีดยาไปแล้วมีเลือดประจำเดือนออกไม่มาก เพียงกะปริดกะปรอย ก็ไม่ต้องตกใจ เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดได้บ่อย เลือดอาจออก1-2 สัปดาห์แล้วหยุดไป แต่หากมีเลือดออกมาก หรือมีอาการวิงเวียนศีรษะ สมควรจะไปพบแพทย์/สูตินรีแพทย์ ซึ่งแพทย์จะให้ยาที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนเอสโตรเจนเพื่อทำให้เลือดหยุด และให้ยาบำรุงเลือด

 

ระหว่างใช้ยาฉีดคุมกำเนิดถ้าประจำเดือนขาดควรทำอย่างไร?

ระหว่างฉีดยาคุมกำเนิด มักจะไม่มีประจำเดือน ไม่ต้องกังวลใจหากไปรับการฉีดยาตรงตามที่แพทย์นัด ฮอร์โมนในยาฉีดคุมกำเนิดจะไปทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางลงเรื่อยๆ จนไม่ลอกออกมาเป็นประจำเดือน การกินยาให้มีประจำเดือนมักไม่ค่อยได้ผล แต่หากไม่ได้ไปฉีดยาตรงกำหนด หรือประจำเดือนหยุดเกิน 7 วันแล้วค่อยไปฉีดยา ต้องระวังการตั้งครรภ์โดยไม่รู้ตัว หรือ เมื่อมีอาการแปลกๆ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ก็ต้องไปตรวจปัสสาวะว่าตั้งครรภ์หรือไม่

 

ระหว่างใช้ยาฉีดคุมกำเนิดถ้าต้องกินยาปฏิชีวนะควรทำอย่างไร?

การใช้ยาฆ่าเชื้อหรือยาปฏิชีวนะ ระหว่างฉีดยาคุมกำเนิด มักไม่มีปัญหา ยาฉีดคุมกำเนิดไม่ได้มีปฏิกิริยากับยาปฏิชีวนะ หรือลดประสิทธิ์ภาพของยา ซึ่งจะต่างจากการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด

ยาฉีดคุมกำเนิดเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งไหม?

จากข้อมูลที่มีในปัจจุบัน ไม่พบว่า ยาฉีดคุมกำเนิดเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคมะเร็ง เช่น โรคมะเร็งเต้านม

สามารถใช้ยาฉีดคุมกำเนิดติดต่อกันได้นานแค่ไหน?

ไม่มีตัวเลขแน่นอนว่าสามารถฉีดยาคุมกำเนิดได้นานเท่าใด สามารถใช้ต่อไปเรื่อยๆจนกว่าคิดวางแผนจะตั้งครรภ์ หรือฉีดไปจนถึงอายุ 45 ปี แล้วน่าจะเปลี่ยนไปใช้วิธีคุมกำเนิดประเภทอื่นแทน เช่น การใช้ถุงยางอนามัยชาย หรือ ปรึกษาสูตินรีแพทย์ เพื่อหาวิธีที่เหมาะสมกับแต่ละคน

บรรณานุกรม

  1. Family planning : A global handbook for providers. Evidence-based guidance developed through worldwide collabolation .Revised 2011 update. 2011:59-100.
  2. Guillebaud J. Contraception: your questions answerd. London: Churchill livingstone. 2010.315-47.
  3. Stubblefield PG, Carr-EllisS Kapp N. Family planning . In: Berek JS. Ed. Berek& Novak’s gynecology. 14ed . Philladelphia: Lippincott Williams & Wilkins. 2007.
  4. http://www.fpa.org.uk/contraception-help/contraceptive-injections [2017,March25]
  5. http://www.familyplanning.org.nz/media/302862/fp_cyc-chart_dec2015.pdf [2017,March25]
  6. https://www.drugs.com/cg/injectable-contraception.html [2017,March25]
Updated 2017,March25