มดลูกแตกในสตรีตั้งครรภ์ (Uterine rupture in pregnancy)
- โดย รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิง ประนอม บุพศิริ
- 21 มกราคม 2566
- Tweet
สารบัญ
- มดลูกแตกในสตรีตั้งครรภ์คืออะไร? มีอันตรายมากน้อยเพียงใด?
- มดลูกแตกในสตรีตั้งครรภ์พบได้บ่อยหรือไม่?
- ใครที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อมดลูกแตกขณะตั้งครรภ์?
- อาการของมดลูกแตกในสตรีตั้งครรภ์มีอย่างไรบ้าง?
- แพทย์วินิจฉัยมดลูกแตกในสตรีตั้งครรภ์อย่างไร?
- รักษามดลูกแตกในสตรีตั้งครรภ์อย่างไร?
- ทารกที่คลอดจากมารดาที่มีมดลูกแตกจะมีปัญหาอะไรบ้าง?
- มดลูกแตกมีผลต่อมารดาอย่างไรบ้าง?
- ป้องกันมดลูกแตกในสตรีตั้งครรภ์ได้อย่างไร?
- หากเกิดภาวะมดลูกแตกเมื่อรักษาหายแล้วสามารถตั้งครรภ์ครั้งใหม่ได้หรือไม่?
- ในการตั้งครรภ์ครั้งต่อไปมีความเสี่ยงที่จะเกิดมดลูกแตกอีกมีมากน้อยเพียงใด?
- สตรีที่มีมดลูกแตกเมื่อรักษาหายแล้วควรดูแลตนเองอย่างไร?
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- การผ่าท้องคลอดบุตร การผ่าตัดคลอดบุตรทางหน้าท้อง (Caesarean section)
- รกงอกติด (Placenta accreta)
- รกเกาะต่ำ ภาวะรกเกาะต่ำ (Placenta previa)
- ภาวะช็อก อาการช็อก (Shock)
- โลหิตจางจากขาดธาตุเหล็ก (Iron deficiency anemia)
- การขูดมดลูก (Fractional dilatation and curettage)
- การทำหมันหญิง (Tubal ligation)
- การคุมกำเนิด (Contraception)
มดลูกแตกในสตรีตั้งครรภ์คืออะไร? มีอันตรายมากน้อยเพียงใด?
มดลูกแตกในสตรีตั้งครรภ์ (Uterine rupture in pregnancy) หมายถึง มีการฉีกขาดของกล้ามเนื้อมดลูกตลอดความหนาของกล้ามเนื้อมดลูก มดลูกแตกขณะตั้งครรภ์เป็นภาวะฉุกเฉินทางสูติกรรม มีอันตรายมากทั้งต่อมารดาและต่อทารกในครรภ์เพราะทำให้เกิดการเสียเลือดมากของมารดา, เกิดเลือดออกในช่องท้องมากจึงอาจทำให้ทั้งมารดาและทารกในครรภ์ ถึงตายได้
มดลูกแตกในสตรีตั้งครรภ์พบได้บ่อยหรือไม่?
อุบัติการณ์มดลูกแตกขณะตั้งครรภ์พบได้น้อยคือประมาณ 0.07% ของการคลอดทั้งหมด ซึ่งในกรณีนี้ไม่นับรวมถึงการปริแยกของแผลที่เคยมีการผ่าท้องคลอดบุตร ที่ยังมีเนื้อเยื่อบุช่องท้องคลุมปกปิดแผลนั้นอยู่
ใครที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อมดลูกแตกขณะตั้งครรภ์?
ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อมดลูกแตกขณะตั้งครรภ์ เช่น
- สตรีที่เคยมีประวัติมดลูกแตกมาก่อนแล้วมีการตั้งครรภ์ใหม่อีก
- สตรีที่เคยผ่าตัดคลอดบุตร ยิ่งผ่าตัดคลอดบุตรหลายครั้งความเสี่ยงที่จะมีมดลูกแตกยิ่งเพิ่ม ขึ้น เพราะรอยแผลผ่าตัดที่ตัวมดลูก/กล้ามเนื้อมดลูกจะเป็นบริเวณที่อ่อนแอมากที่สุด เมื่อมดลูกขยายตัวมากจากการตั้งครรภ์จึงอาจทำให้เกิดการปริแตกได้ ทั้งนี้แผลผ่าตัดที่ตัวมดลูกแบบแนวยาว (Vertical cesarean section) มีโอกาสที่จะแตกได้มากกว่าผู้ที่ได้รับการผ่าตัดที่ตัวมดลูกแบบ แนวขวาง (Low transverse cesarean section)
- สตรีที่มีการผ่าตัดที่กล้ามเนื้อมดลูกเช่น สตรีที่มีเนื้องอกมดลูกและมีการผ่าตัดเข้าไปในกล้ามเนื้อมดลูกจึงทำให้กล้ามเนื้อมดลูกอ่อนแอ เมื่อมดลูกมีการขยายตัวขณะตั้งครรภ์จึงทำให้มดลูกมีโอกาสปริแตกได้
- สตรีที่มีมดลูกผิดปกติแต่กำเนิดทำให้กล้ามเนื้อมดลูกบางส่วนอ่อนแอ เมื่อมีการขยายตัวมากจากตั้งครรภ์และโดยเฉพาะหากได้รับยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูกเพื่อช่วยการคลอดบุตร จะเกิดมดลูกปริแตกได้ง่าย
- การที่ทารกในครรภ์อยู่ในท่าผิดปกติเช่นท่าขวาง เมื่อมดลูกบีบตัวมากทารกไม่สามารถคลอด ออกมาได้จึงมีโอกาสทำให้มดลูกแตกมากขึ้น
- สตรีที่เคยมีการขูดมดลูกหลายๆครั้งก่อนการตั้งครรภ์ครั้งนี้ ทำให้ผนังมดลูกบางจึงมีโอกาส เกิดมดลูกแตกได้เมื่อตั้งครรภ์
- สตรีที่มีบุตรหลายคนเพราะเป็นสาเหตุให้กล้ามเนื้อมดลูกไม่แข็งแรง
- สตรีที่มดลูกขยายตัวมากผิดปกติ กล้ามเนื้อมดลูกจึงอ่อนแอเช่น ตั้งครรภ์แฝด, การตั้งครรภ์ พร้อมมีเนื้องอกมดลูก
- ทารกในครรภ์ตัวโตทำให้เกิดการผิดสัดส่วนกับช่องเชิงกราน มดลูกจึงบีบตัวมากขณะคลอด จึงทำให้มดลูกมีโอกาสแตกได้
- สตรีที่ต้องใช้เครื่องมือช่วยคลอดหรือทำหัตถการช่วยคลอดเช่น ใช้คีมช่วยคลอด หรือมีหัตถการเพื่อการหมุนเปลี่ยนท่าเด็กในครรภ์
- สตรีตั้งครรภ์ที่ได้รับยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูกเพื่อเร่งคลอดอย่างรุนแรงและยาวนาน
- สตรีตั้งครรภ์ที่ได้รับอุบัติเหตุจนทำให้มีการกระทบกระแทกอย่างรุนแรงที่มดลูก
อาการของมดลูกแตกในสตรีตั้งครรภ์มีอย่างไรบ้าง?
อาการของมดลูกแตกในสตรีตั้งครรภ์จะเกิดขึ้นระหว่างมีการคลอดบุตร โดยอาการจะขึ้นกับความรุนแรงของการแตกของมดลูก
- หากเป็นการปริแตกที่บริเวณของแผลที่เคยผ่าตัด เช่น เคยผ่าตัดคลอดบุตร ปริมาณเลือดที่ออกมักค่อยๆ ออกทีละน้อย อาการอาจไม่รุนแรงเท่ากับที่มีการแตกของมดลูกที่ไม่เคยมีแผลมาก่อน
- หากมดลูกแตกเป็นรอยกว้าง เลือดจะออกมากจากแผลนั้น ทำให้เกิดอาการปวดท้องน้อยอย่างมากอย่างเฉียบพลัน ความดันโลหิตต่ำ/ตกอย่างรวดเร็ว รู้สึกหน้ามืดจะเป็นลม, เกิดภาวะช็อก, และถึงตายได้ทั้งมารดาและทารกในครรภ์
แพทย์วินิจฉัยมดลูกแตกในสตรีตั้งครรภ์อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยมดลูกแตกในสตรีตั้งครรภ์ได้โดย
ก. ประวัติทางการแพทย์: คือประวัติที่ผู้ป่วยมีปัจจัยเสี่ยงต่างๆตามที่กล่าวมาแล้วในหัวข้อ “ปัจจัย เสี่ยงฯ” หรือในกรณีที่แพทย์ให้ยากระตุ้นการหดรัดตัวของมดลูกเพื่อเร่งการเจ็บครรภ์คลอด และต่อ มาผู้ป่วยมีอาการปวดท้องน้อยอย่างมากมักร่วมกับเปลือกตา/เยื่อตาขาวซีด
ข. การตรวจร่างกาย:
- สำหรับด้านมารดา: อาการช่วงแรกอาจเป็นการปวดท้องทั่วไปแยกยากจากการเจ็บครรภ์คลอด แต่หากมีเลือดออกในช่องท้องมากอาการผู้ป่วยจะชัดเจนมากขึ้นเช่น สัญญาณชีพเปลี่ยนแปลง ชีพจรเต้นเร็ว ความดันโลหิตต่ำ เปลือกตา/เยื่อตาขาวซีด หน้าท้องแข็งตึง ผู้ป่วยเจ็บมากเมื่อแพทย์/พยาบาลกดหน้าท้องและเกิดภาวะช็อก
- สำหรับด้านทารกในครรภ์: แพทย์อาจคลำหน้าท้องได้ตัวทารกชัดเจนขึ้นแต่คลำไม่ได้ลักษณะ ของก้อนมดลูก (เพราะทารกแตกออกมาอยู่นอกมดลูก) การตรวจพบที่บ่อยที่สุดในระยะแรกสุดคือ เสียงจังหวะการเต้นของหัวใจทารกผิดปกติ เสียงการเต้นของหัวใจทารกตอนแรกจะเร็วแล้วค่อยๆช้าลงเพราะเลือดไปเลี้ยงทารกไม่เพียงพอ ก่อนที่จะฟังไม่ได้ยินเสียงหัวใจเต้น หากมดลูกแตกเป็นแผลใหญ่และตัวทารกหลุดออกมาจากโพรงมดลูก ทารกมักถึงตายจากมารดาเสียเลือดมาก
ค. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ: การตรวจช่องท้องและช่องท้องน้อยด้วยเครื่องอัลตราซาวด์จะช่วยในการวินิจฉัยโรคในกรณีที่อาการมารดาและทารกไม่ชัดเจน, อาการมารดายังไม่ทรุดมาก, ทั้งนี้เพื่อตรวจดูว่ามีของเหลว/เลือดในช่องท้อง/ช่องท้องน้อยหรือไม่, ตรวจดูตำแหน่งทารก,และตรวจดูลักษณะของมดลูก
รักษามดลูกแตกในสตรีตั้งครรภ์อย่างไร?
การรักษามดลูกแตกขณะตั้งครรภ์ต้องเป็นการผ่าตัดโดยด่วนเพื่อช่วยชีวิตมารดาและทารก แต่ส่วนมากทารกมักเสียชีวิต
การรักษามดลูกแตกฯขึ้นกับหลายปัจจัย คือ ลักษณะของมดลูกที่แตกเช่นความกว้างและ ความลึกของแผล, ความรุนแรงของการเสียเลือดของมารดา, ความต้องการมีบุตรในอนาคต
- ในกรณีที่มารดาเสียเลือดไม่มาก แผลแตกไม่ยาว และยังต้องการมีบุตรในอนาคต, แพทย์มักทำการเย็บซ่อมมดลูกเพื่อรักษามดลูกไว้
- แต่ในรายที่มดลูกแตกรุนแรง มีรอยแตกหลายแผล มารดาเสียเลือดมาก, แพทย์จำเป็นต้องผ่าตัดมดลูกออกเพื่อรักษาชีวิตของมารดาและของทารก
ทารกที่คลอดจากมารดาที่มีมดลูกแตกจะมีปัญหาอะไรบ้าง?
ทารกที่คลอดจากมารดาที่มีมดลูกแตกอาจพบปัญหา เช่น
- ในกรณีรุนแรงที่สุดคือ ทารกเสียชีวิต
- หากทารกไม่เสียชีวิต ความผิดปกติ/ปัญหาของทารกที่อาจเกิดขึ้นจะขึ้นกับว่ามารดาเสียเลือดมากน้อยเพียงใด และสามารถช่วยเหลือทารกได้รวดเร็วเพียงใด
- กรณีทารกที่ขาดออกซิเจนนาน ทารกจะมีปัญหาเรื่องสมองขาดเลือดทำให้ทารกมีการพัฒนาล่าช้า
- แต่หากทารกขาดออกซิเจนแต่ไม่นาน, การพัฒนาของทารกจะปกติเช่นทารกคลอดปกติทั่วไป
มดลูกแตกมีผลต่อมารดาอย่างไรบ้าง?
มดลูกแตกในสตรีตั้งครรภ์มีผล/ผลข้างเคียง/ภาวะแทรกซ้อนต่อมารดา เช่น
- ในกรณีการแตกของมดลูกรุนแรงที่ให้การช่วยเหลือไม่ทันเป็นสาเหตุให้มารดาถึงตายได้
- อาจได้รับการตัดมดลูกทำให้ไม่สามารถตั้งครรภ์/มีบุตรได้อีก
- ผลจากการเสียเลือดมากและได้รับการทดแทนเลือดและสารน้ำไม่เพียงพออาจทำให้มารดาเกิดภาวะไตวายได้
ป้องกันมดลูกแตกในสตรีตั้งครรภ์ได้อย่างไร?
ป้องกันมดลูกแตกในสตรีตั้งครรภ์ได้โดย
- จำกัดจำนวนครั้งของการตั้งครรภ์หากเคยได้รับการผ่าตัดคลอดบุตร การผ่าตัดคลอดที่มากกว่า 2 ครั้งจะเพิ่มความเสี่ยงของมดลูกแตก
- หลังจากผ่าตัดคลอดบุตรแล้วควรเว้นระยะมีบุตรคนต่อไปให้นานมากกว่า 1 - 2 ปีขึ้นไป เพื่อช่วยให้แผลผ่าตัดมดลูกหายได้ดี
- ต้องแจ้งสูติแพทย์เสมอหากเคยได้รับการผ่าตัดที่มดลูก เช่น ผ่าตัดเนื้องอกมดลูก
หากเกิดภาวะมดลูกแตกเมื่อรักษาหายแล้วสามารถตั้งครรภ์ครั้งใหม่ได้หรือไม่?
หากไม่ได้ตัดมดลูก หลังจากเย็บซ่อมแผลไปแล้วควรต้องรอให้แผลหายดีอย่างน้อยนาน 1 - 2 ปีขึ้นไปจึงวางแผนตั้งครรภ์ครั้งใหม่ได้ แต่ความเสี่ยงที่มดลูกจะแตกจะเพิ่มมากกว่าเดิมอีก แพทย์ต้องนัดผ่าตัดคลอดก่อนที่จะมีการเจ็บครรภ์
นอกจากนั้นยังต้องคำนึงถึงภาวะแทรกซ้อนอย่างอื่นที่สามารถเกิดได้จากการที่มีแผลที่โพรงมดลูกด้วย เช่น
- ภาวะรกเกาะลึก/รกงอกติดในบริเวณที่เป็นรอยแผลแตกที่เย็บซ่อมไว้ หรือ
- ภาวะรกเกาะต่ำ
ซึ่งทั้ง 2 กรณี ล้วนแต่ทำให้เกิดอันตรายมากขึ้นในการตั้งครรภ์ครั้งต่อๆไป (แนะนำอ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง “รกงอกติด” และเรื่อง “รกเกาะต่ำ”)
ในการตั้งครรภ์ครั้งต่อไปมีความเสี่ยงที่จะเกิดมดลูกแตกอีกมีมากน้อยเพียงใด?
มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆที่จะเกิดภาวะมดลูกแตกในการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป แต่ยังไม่มีรายงานสถิติเกิดที่แน่ชัดของมดลูกแตกกรณีเกิดจากสาเหตุนี้
สตรีที่มีมดลูกแตกเมื่อรักษาหายแล้วควรดูแลตนเองอย่างไร?
การดูแลตนเองของสตรีที่มีมดลูกแตกหลังการรักษาหายแล้วทั่วไป ได้แก่
- ควรต้องดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรงตามคำแนะนำของ แพทย์ พยาบาล ซึ่งโดยทั่วไป เช่น
- การรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน(สุขบัญญัติแห่งชาติ)
- การกินอาหารมีประโยชน์ห้าหมู่ และ
- การออกกำลังกายทุกวันตามควรกับสุขภาพ
- เนื่องจากผ่านการเสียเลือดมามากและผ่านการผ่าตัดและผู้ป่วยอาจต้องได้รับยาจำพวก ธาตุเหล็ก (แนะนำอ่านเพิ่มเติมในเว็บ com 2 บทความคือ บทความเรื่อง “ภาวะโลหิตจางจากขาดธาตุเหล็ก” และเรื่อง “ภาวะขาดธาตุเหล็ก”) เพื่อแก้ไขภาวะซีดไปสักระยะจนกว่าร่างกายจะกลับปกติ
*อนึ่ง:
- ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่ได้รับการผ่าตัดเอามดลูกออกและได้รับการทำหมัน(การทำหมันหญิง)ไปพร้อมกับการผ่าตัดเย็บซ่อมมดลูก: ก็สามารถตัดปัญหาการตั้งครรภ์ในอนาคตได้
- สำหรับผู้ป่วยที่ไม่ได้ผ่าตัดเอามดลูกออกและไม่ได้ทำหมัน:
- ต้องทำการคุมกำเนิดไปก่อนอย่างน้อย 1 - 2 ปีขึ้นไป ควรต้องปรึกษาสูติแพทย์ถึงวิธีการในการคุมกำเนิดที่เหมาะสมกับตัวผู้ป่วย เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ไว้ก่อน และ
- หากวางแผนจะตั้งครรภ์หลังจากผ่านพ้นช่วงคุมกำเนิดไปแล้ว ควรต้องปรึกษาสูติแพทย์ก่อนการตั้งครรภ์เพื่อปรึกษาถึงความเสี่ยงต่างๆที่จะเกิดมดลูกแตกอีกในการตั้งครรภ์ครั้งต่อไป หรือ
- หากต้องไปฝากครรภ์กับสูติแพทย์คนใหม่ ต้องบอกสูติแพทย์ผู้ดูแลว่าเคยมีประวัติมดลูกแตกขณะตั้งครรภ์มาแล้ว เพื่อสูติแพทย์จะได้เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนต่างๆที่อาจเกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ เช่น รกเกาะต่ำ, รกเกาะลึก/รกงอกติด, และเพื่อวางแผนผ่าตัดคลอดในระยะเวลาที่เหมาะสมต่อไป
- สำหรับการเป็นประจำเดือนหลังคลอดก็จะเป็นไปตามปกติ จึงดูแลในเรื่องเหล่านี้ตาม ปกติ