ปัสสาวะเป็นเลือด (Hematuria)
- โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ แพทย์หญิง พวงทอง ไกรพิบูลย์
- 1 กันยายน 2564
- Tweet
- บทนำ: คืออะไร? พบบ่อยไหม?
- ปัสสาวะเป็นเลือดเกิดได้อย่างไร?
- ปัสสาวะเป็นเลือดมีสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงจากอะไร?
- ปัสสาวะเป็นเลือดมีอาการอื่นร่วมด้วยไหม?
- แพทย์วินิจฉัยหาสาเหตุปัสสาวะเป็นเลือดได้อย่างไร?
- รักษาปัสสาวะเป็นเลือดอย่างไร?
- ปัสสาวะเป็นเลือดรุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงอย่างไร?
- ดูแลตนเองอย่างไรเมื่อปัสสาวะเป็นเลือด? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
- ป้องกันปัสสาวะเป็นเลือดอย่างไร?
- บรรณานุกรม
- กระเพาะปัสสาวะอักเสบ (Cystitis)
- ไตอักเสบ (Nephritis)
- นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ (Vesical calculi)
- นิ่วในไต (Kidney stone)
- มะเร็งไต (Kidney cancer)
- มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ (Urinary bladder cancer)
- โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually transmitted disease)
- โรคเลือด (Blood Diseases)
- ยาต้านการแข็งตัวของเลือด: ยากันเลือดแข็งตัว (Anticoagulants)
- นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ (Vesical calculi)
บทนำ: คืออะไร? พบบ่อยไหม?
ปัสสาวะเป็นเลือด(Hematuria)คือ อาการที่เมื่อถ่ายปัสสาวะจะมีเลือดสดปนออกมาในน้ำปัสสาวะ ทางการแพทย์ ‘นิยามปัสสาวะเป็นเลือด’ คือ ‘มีปริมาณเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะสูงผิดปกติ ซึ่งปกติคือ มีเม็ดเลือดแดงไม่เกิน 2 เซลล์ต่อการตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ชนิดกำลังขยายสูง/High power field(HPF)พบเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าหรือเท่ากับ 2 cells/HPF’ ซึ่งสาเหตุปัสสาวะเป็นเลือดมีหลากหลาย โดยจะกล่าวต่อไปใน ‘หัวข้อ สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงฯ’แต่ที่พบบ่อยคือ จากโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ
อนึ่ง: ปัสสาวะเป็นเลือด/ฉี่เป็นเลือด/ปัสสาวะปนเลือด ไม่ใช่’โรค’ แต่เป็น’อาการ’ หนึ่งของโรค(โรค-อาการ-ภาวะ)
- ผู้ป่วยอาจปัสสาวะเป็นเลือดสดที่มองเห็นด้วยตาเปล่า เป็นปัสสาวะมีเลือดปนที่เห็น เป็นสีแดง หรือสีคล้ายน้ำปลา ดังนั้นผู้ป่วยจึงรู้ตัวว่ามีอาการ ‘ปัสสาวะเป็นเลือด’ หรือ ปัสสาวะผิดปกติ
- อย่างไรก็ตาม บ่อยครั้ง ผู้ป่วยจะไม่ทราบว่ามีปัสสาวะเป็นเลือดเพราะสีปัสสาวะจะใสเป็นปกติ(ไม่มีอาการ) แต่การตรวจปัสสาวะทางห้องปฏิบัติการพบว่ามีเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะสูงผิดปกติ เช่น จากตรวจสุขภาพประจำปี หรือ เมื่อสงสัยมีโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ หรือมีปัญหาโรคไต เรียกปัสสาวะเป็นเลือดกรณีนี้ว่า ‘ปัสสาวะเป็นเลือดชนิดมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า’ หรือ ‘ปัสสาวะเป็นเลือดชนิดไม่แสดงอาการ’
ปัสสาวะเป็นเลือด/ฉี่เป็นเลือด/ปัสสาวะปนเลือด พบทุกอายุ ตั้งแต่เด็กแรกเกิด(นิยามคำว่าเด็ก)ไปจนถึงผู้สูงอายุทั้งนี้ขึ้นกับสาเหตุ แต่พบบ่อยกว่าในผู้ใหญ่ เพศหญิงและเพศชายมีโอกาสเกิดใกล้เคียงกัน
สถิติเกิดอาการปัสสาวะเป็นเลือดไม่แน่นอน เพราะขึ้นกับลักษณะผู้ป่วยของแต่ละโรงพยาบาล อย่างไรก็ตามมีการศึกษารายงานจากสหรัฐอเมริกาพบ ‘ปัสสาวะเป็นเลือดชนิดไม่มีอาการ(Microscopic hematuria)’ตามโรงพยาบาลต่างๆได้ประมาณ 2%-30%
*อนึ่ง บางครั้ง อาจมีปัสสาวะสีแดงโดยไม่ใช่จากปัสสาวะเป็นเลือด/ฉี่เป็นเลือด แต่เกิดจากสีของอาหารที่บริโภค เช่น สีผสมอาหาร, กินผักในกลุ่มบีทรูท, หรืออาจจากกินยาบางชนิด เช่น ยาบางชนิดที่ใช้รักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ, หรือ ยาวัณโรคบางชนิด
นอกจากนั้น บ่อยครั้งในเพศหญิงอาจมีเลือดปนในปัสสาวะสาเหตุจากเลือดที่ออกทางช่องคลอดหรือประจำเดือนได้โดยแพทย์มีการวินิจฉัยแยกโรคได้จากประวัติ การมีประจำเดือนของผู้ป่วย ซึ่งกรณีเหล่านี้ทางแพทย์ไม่จัดเป็น ‘ปัสสาวะเป็นเลือด/ฉี่เป็นเลือด/ปัสสาวะปนเลือด’
ปัสสาวะเป็นเลือดเกิดได้อย่างไร?
ปัสสาวะเป็นเลือด/ฉี่เป็นเลือด/ปัสสาวะปนเลือด อาจเกิดจาก
- มีความผิดปกติของเซลล์ของไต เช่น การอักเสบ จึงส่งผลให้การกรองปัสสาวะจากเลือดผิดปกติ จึงมีเม็ดเลือดแดงปนออกมาในปัสสาวะมากกว่าปกติ ทั้งนี้ถ้าเกิดจากสาเหตุนี้ ในการตรวจปัสสาวะมักพบมีโปรตีนในปัสสาวะ(ซึ่งตรวจไม่พบในภาวะปกติ)และคาสในปัสสาวะ(Cast)ร่วมออกมาในปัสสาวะร่วมด้วย
- มีการอักเสบติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ(โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ) จึงส่งผลให้ระบบทางเดินปัสสาวะอักเสบบวม จึงมีเลือดออกได้ง่าย หรือมีการบาดเจ็บ ระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อเมือกที่บุทางเดินปัสสาวะ เช่น มีนิ่วในไต หรือ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
- มีแผลในระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งเมื่อมีเลือดออกจากแผลก็จะก่อให้มีอาการปัสสาวะเป็นเลือด เช่น จากแผลอุบัติเหตุ หรือแผลมะเร็ง
- อีกกลไกหนึ่งที่ส่งผลให้เกิดอาการปัสสาวะเป็นเลือด/ฉี่เป็นเลือด/ปัสสาวะปนเลือดได้ แต่ไม่เกี่ยวกับโรคในระบบทางเดินปัสสาวะ(ไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ ท่อปัสสาวะ และต่อมลูกหมากในเพศชาย) คือ สาเหตุจากโรคเลือดซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เลือดจึงออกง่ายในอวัยวะทุกระบบของร่างกายรวมถึงระบบทางเดินปัสสาวะ
- ผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดเลือดออกในอวัยวะต่างๆได้ง่ายรวมถึงจากระบบทางเดินปัสสาวะจากยาต้านการแข็งตัวของเลือดซึ่งใช้รักษาโรคบางโรค เช่น โรคหัวใจ:โรคหลอดเลือดหัวใจ, อัมพาต:โรคหลอดเลือดสมอง
ปัสสาวะเป็นเลือดมีสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงจากอะไร?
สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงของอาการปัสสาวะเป็นเลือด/ฉี่เป็นเลือด/ปัสสาวะปนเลือด ทั้งชนิดมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า และชนิดเป็นเลือดสด ที่พบบ่อย คือ
- นิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ: พบประมาณ 5-25% เช่น นิ่วในไต, นิ่วในท่อไต, นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
- โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะที่รวมถึงโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์: พบได้ประมาณ 25-30%
- โรคของต่อมลูกหมาก (ในผู้ป่วยเพศ ชาย): พบประมาณ 23-25% ของปัสสาวะเป็นเลือดในผู้ชาย เช่น ต่อมลูกหมากอักเสบติดเชื้อ
- โรคมะเร็งในระบบทางเดินปัสสาวะ: พบประมาณ 2-18% เช่น โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ โรคมะเร็งไต และโรคมะเร็งไตในเด็ก (Wilms’ tumor)
- โรคเซลล์ไตอักเสบ: พบประมาณ 10% เช่นโรค โกลเมอรูโลเน็ปไฟรติส(Glomerulonephritis)
- อุบัติเหตุของระบบทางเดินปัสสาวะ: พบประมาณ 3% เช่น ไตถูกกระแทกจากอุบัติเหตุรถยนต์
- บางครั้งแพทย์หาสาเหตุไม่ได้: พบประมาณ 5%-10%
อนึ่ง: สาเหตุ/ปัจจัยอื่นๆที่พบได้น้อยและไม่ได้เกิดจากโรคในระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น
- โรคเลือดที่ส่งผลให้เกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เลือดจึงออกง่ายจากหลอดเลือดของทุกอวัยวะทั่วร่างกาย
- ผลข้างเคียงจากการใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดในการรักษาโรคบางชนิด เช่น โรคหัวใจ: โรคหลอดเลือดหัวใจ หรือ อัมพาต:โรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น
ปัสสาวะเป็นเลือดมีอาการอื่นร่วมด้วยไหม?
ดังกล่าวแล้ว บ่อยครั้งเมื่อปัสสาวะเป็นเลือด/ฉี่เป็นเลือด/ปัสสาวะปนเลือดในลักษณะมองไม่เห็นจากตาเปล่า ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการอื่นร่วมด้วย เป็นการตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจปัสสาวะจากตรวจสุขภาพประจำปี
แต่ทั้ง ปัสสาวะเป็นเลือด/ฉี่เป็นเลือด/ปัสสาวะปนเลือดทั้งชนิดมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า, และชนิดปัสสาวะเป็นเลือดสด อาจมีอาการอื่นร่วมด้วยได้ ซึ่งมักเป็นอาการจากสาเหตุ ซึ่งอาการร่วมเหล่านี้ แพทย์จะใช้เป็นตัวช่วยการวินิจฉัยหาสาเหตุของปัสสาวะเป็นเลือด เช่น
- ปวดแสบเมื่อถ่ายปัสสาวะที่มักเกิดจากกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
- ปวดเอว/ ปวดท้อง/ ปวดหลังมากโดยปวดบีบเป็นพักๆ อาจร่วมกับเคยมีประวัติมีนิ่วหลุดปนในปัสสาวะ เมื่อเกิดจากโรคนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ
- มีไข้ ปวดเมื่อยเนื้อตัวร่วมกับ ปัสสาวะขุ่น กลิ่นแรง เมื่อเกิดจาก กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
- มีหนอง หรือสารคัดหลั่งผิดปกติจากอวัยวะเพศ และ/หรือจากปากท่อปัสสาวะ เมื่อเกิดท่อปัสสาวะอักเสบจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- มีจ้ำห้อเลือดตามลำตัว แขน ขา เมื่อเกิดจากโรคเลือด หรือกินยาต้านการแข็งตัวของเลือด
แพทย์วินิจฉัยหาสาเหตุปัสสาวะเป็นเลือดได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยหาสาเหตุปัสสาวะเป็นเลือด/ ฉี่เป็นเลือด/ ปัสสาวะปนเลือด ได้จาก
- ซักถามประวัติอาการผู้ป่วย ประวัติเจ็บป่วยทั้งในอดีตและในปัจจุบัน ประวัติใช้ยาต่างๆ การงานอาชีพ ประวัติอุบัติเหตุที่ช่องท้อง
- การตรวจร่างกาย
- การตรวจปัสสาวะ
- ตรวจเลือดดูการทำงานของไต
- ตรวจไขกระดูก เพื่อวินิจฉัยโรคเลือด
- ตรวจภาพอวัยวะระบบทางเดินปัสสาวะด้วย เอกซเรย์ธรรมดา, อัลตราซาวด์, และ/หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (ซีทีสแกน)
- อาจมีการตรวจอื่นๆเพื่อการสืบค้นเพิ่มเติมตามอาการผู้ป่วยและดุลพินิจของแพทย์ เช่น
- ส่องกล้องตรวจอวัยวะในระบบทางเดินปัสสาวะ และ
- อาจร่วมกับการตัดชิ้นเนื้อเมื่อพบรอยโรคในเนื้อเยื่อ/อวัยวะต่างๆของระบบทางเดินปัสสาวะเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา
รักษาปัสสาวะเป็นเลือดอย่างไร?
แนวทางการรักษาอาการปัสสาวะเป็นเลือด/ฉี่เป็นเลือด/ปัสสาวะปนเลือด คือ การรักษาสาเหตุ และการรักษาตามอาการ (การรักษาประคับประคองตามอาการ)
ก. รักษาสาเหตุ: เช่น
- รักษาโรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะด้วยการให้ยาปฏิชีวนะ เมื่อสาเหตุเกิดจากการอักเสบ/โรคติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ
- รักษาโรคมะเร็งไต เมื่ออาการเกิดจากโรคมะเร็งไต
- รักษานิ่วเมื่อสาเหตุมาจากโรคนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น นิ่วในไต ฯลฯ
- ปรับเปลี่ยนยาหรือลดขนาดยาเมื่ออาการเกิดจากการกินยาต้านการแข็งตัวของเลือด เป็นต้น
(แนะนำอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่องโรคต่างๆที่เป็นสาเหตุที่รวมถึงการรักษาได้จากเว็บ haamor.com)
ข.การรักษาตามอาการ: เช่น
- ให้เลือดเมื่อเลือดออกมากจนเกิดภาวะซีด
- ให้ยาแก้ปวดเมื่อมีอาการปวดท้อง /ปวดหลัง/ ปวดเอวร่วมด้วย
- ให้ยาลดไข้ กรณีมีไข้ร่วมด้วย
ปัสสาวะเป็นเลือดรุนแรงไหม? มีผลข้างเคียงอย่างไร?
ดังนั้น การพยากรณ์โรคของอาการปัสสาวะเป็นเลือด/ฉี่เป็นเลือด/ปัสสาวะปนเลือดจึงต่างกันในผู้ป่วยแต่ละรายตามแต่ละสาเหตุและความรุนแรงของอาการ แพทย์ผู้รักษาผู้ป่วยเท่านั้นที่จะให้การพยากรณ์โรคของผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสมเป็นรายๆไป
ผลข้างเคียงของอาการปัสสาวะเป็นเลือด/ฉี่เป็นเลือด:
ผลข้างเคียงจากปัสสาวะเป็นเลือด/ฉี่เป็นเลือด/ปัสสาวะปนเลือด คือ
- โรคซีดเมื่อมีเลือดออกมากหรือมีเลือดออกเรื้อรัง และถ้าเลือดออกมากและออกไม่หยุดอาจส่งผลเกิดภาวะช็อกได้
ดูแลตนเองอย่างไรเมื่อปัสสาวะเป็นเลือด? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
การดูตนเองเมื่อมีปัสสาวะเป็นเลือด/ฉี่เป็นเลือด/ปัสสาวะปนเลือด คือ
ก. ก่อนพบแพทย์/มาโรงพยาบาล: ได้แก่
- รีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาลภายใน 1-2 วันเมื่อเลือดออกไม่มากและไม่มีอาการอื่นร่วมด้วย
- แต่ถ้ามีอาการอื่นร่วมด้วย และ/หรือมีเลือดออกมาก ควรรีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาลภายใน 24 ชั่วโมง หรือ มาโรงพยาบาลฉุกเฉิน/ทันทีขึ้นกับความรุนแรงของอาการ
- ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอในแต่ละวันเพื่อป้องกันเลือดแข็งตัวเป็นลิ่มเลือดจนอุดกั้นท่อปัสสาวะที่ส่งผลให้ปัสสาวะขัด/ปัสสาวะไม่ออก เช่น วันละ8-10แก้ว เมื่อไม่มีโรคที่แพทย์ให้จำกัดน้ำดื่ม
ข. หลังพบแพทย์/มาโรงพยาบาลแล้ว: การดูแลตนเอง ที่สำคัญคือ
- ปฏิบัติตาม แพทย์ พยาบาล แนะนำ
- กินยา/ใช้ยาต่างๆที่แพทย์สั่งให้ถูกต้อง ครบถ้วน ไม่ขาดยา หรือหยุดยาเองเมื่ออาการดีขึ้น
- รักษา ควบคุม สาเหตุฯให้ได้ดี
- ดื่มน้ำสะอาดให้พอเพียงอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม หรือตามคำแนะนำของ แพทย์ พยาบาล เพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือดในกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งจะก่อให้เกิดอาการปัสสาวะไม่ออกจากการอุดตันท่อปัสสาวะจากลิ่มเลือด
- พบแพทย์/มาโรงพยาบาลตามแพทย์นัดเสมอ
- รีบพบแพทย์/มาโรงพยาบาลก่อนนัด เมื่อ
- อาการต่างๆแย่ลง เช่น ปัสสาวะเป็นเลือดมากขึ้น , มีอาการเกิดใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม
- มีผลข้างเคียงอย่างต่อเนื่องจากยาที่แพทย์สั่งจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ขึ้นผื่น, วิงเวียนศีรษะ
- กังวลในอาการ
ป้องกันปัสสาวะเป็นเลือดอย่างไร?
การป้องกันปัสสาวะเป็นเลือด/ฉี่เป็นเลือด/ ปัสสาวะปนเลือด คือ การป้องกันสาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง (ดังกล่าวใน ‘หัวข้อ สาเหตุ/ปัจจัยเสี่ยงฯ’) ที่ป้องกันได้ ที่สำคัญ คือ
- ป้องกันเกิดนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ (แนะนำอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง นิ่วในไต, นิ่วในท่อไต, และเรื่อง นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ)
- ป้องกันโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเพราะเป็นสาเหตุที่พบบ่อย (แนะนำอ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง กระเพาะปัสสาวะอักเสบ)
- ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ด้วยการใช้ถุงยางอนามัยชายทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ รวมถึงหลีกเลี่ยงเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย (แนะนำอ่านเพิ่มเติมในเว็บ haamor.com บทความเรื่อง โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์)
- รักษาสุขภาพให้แข็งแรงเพื่อลดโอกาสติดเชื้อต่างๆโดยรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ)