ครรภ์แฝด (Multiple pregnancy)
- โดย รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิง ประนอม บุพศิริ
- 19 พฤศจิกายน 2565
- Tweet
สารบัญ
- การตั้งครรภ์แฝดคืออะไร? พบบ่อยไหม?
- การตั้งครรภ์แฝดเกิดขึ้นได้อย่างไร?
- ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ตั้งครรภ์แฝดมีอะไรบ้าง?
- เราจะสงสัยว่าตั้งครรภ์แฝดเมื่อไร?
- การวินิจฉัยว่าตั้งครรภ์แฝดทำได้อย่างไร?
- ภาวะแทรกซ้อนของครรภ์แฝดมีอะไรบ้าง?
- ควรดูแลตนเองอย่างไรเมื่อตั้งครรภ์แฝด?
- การฝากครรภ์เมื่อตั้งครรภ์แฝดแตกต่างจากการฝากครรภ์ปกติหรือไม่?
- เมื่อตั้งครรภ์แฝดควรคลอดเองหรือให้แพทย์ผ่าท้องคลอดดี?
- หลังคลอด ดูแลตนเองอย่างไร?
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- การผ่าท้องคลอดบุตร การผ่าตัดคลอดบุตรทางหน้าท้อง (Caesarean section)
- รกเกาะต่ำ ภาวะรกเกาะต่ำ (Placenta previa)
- คลอดก่อนกำหนด (Preterm labor)
- ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด (Placental abruption or Abruptio placentae)
- ตกเลือดหลังคลอด (Postpartum hemorrhage)
- การใส่ห่วงคุมกำเนิด การใส่ห่วงอนามัย (Intrauterine device birth control)
- ยาฝังคุมกำเนิด (Contraceptive implant)
- ยาฉีดคุมกำเนิด (Injectable contraceptive)
การตั้งครรภ์แฝดคืออะไร? พบบ่อยไหม?
การตั้งครรภ์แฝด/ท้องแฝด (Multiple pregnancy หรือ Multiple births)คือ ชื่อที่มักเรียกรวมๆการตั้งครรภ์ที่มีทารกในครรภ์มากกว่า 1 คนขึ้นไป ซึ่งอาจมีทารก 2 คน เรียก แฝดสอง หรือ มีมากกว่านั้น ก็จะเรียกเป็น แฝดสาม แฝดสี่ แฝดห้า แฝดหก ตามแต่จำนวนทารกในครรภ์
การตั้งครรภ์แฝดสอง (Twin pregnancy) พบได้บ่อยที่สุด และทารกมีโอกาสรอดชีวิตมากที่สุด ยิ่งจำนวนทารกในครรภ์เพิ่มจำนวนมากขึ้น น้ำหนักตัวทารกจะลดลงไปเรื่อยๆ และโอกาสรอดชีวิตก็จะน้อยลงด้วย
สถิติเกิดของครรภ์แฝด แตกต่างกันในแต่ละประเทศ และยังไม่มีรายงานภาพรวมของสถิติโลก, ในสหรัฐอเมริกามีรายงานในปีค.ศ. 2020 พบแฝดสอง 31.1 การคลอด ต่อ 1 พันการคลอด(ที่ทารกรอดชีวิต), และตั้งแต่แฝดสามขึ้นไป 79.6 การคลอดต่อ 1แสนการคลอด(ที่ทารกรอดชีวิต)
อนึ่ง: ในบทความนี้ จะกล่าวเน้นเกี่ยวกับ 'การตั้งครรภ์แฝดสองเป็นหลัก' ทั้งนี้การตั้งครรภ์แฝดถือเป็นความปกติอย่างหนึ่งในทางสูติกรรม เป็นการตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน/ผลข้างเคียงต่างๆ ตั้งแต่ ระยะฝากครรภ์ก่อนคลอด, ระยะคลอด, และระยะหลังคลอด
การตั้งครรภ์แฝดเกิดขึ้นได้อย่างไร?
ในทางการแพทย์จะแบ่งการตั้งครรภ์แฝดเป็น 2 ประเภท คือ
ก. แฝดร่วมไข่ (Monozygotic หรือ Identical twins): เกิดจากการที่ เชื้ออสุจิ 1 ตัว เข้าไปปฏิสนธิกับไข่ใบเดียว ต่อมาจึงมีการมาแยกเป็นครรภ์แฝด ซึ่งจะมีหลายลักษณะขึ้น อยู่กับระยะเวลาที่มีสิ่งผิดปกติมากระตุ้นให้เกิดการแบ่งแยกเซลล์ตัวอ่อน
หากมีสิ่งมากระตุ้นให้แบ่งเซลล์ตัวอ่อนภายใน 7-12 วันหลังปฏิสนธิ จะได้ทารก 2 คน, แฝดกลุ่มนี้จะเป็นแฝดเหมือน เหมือนกันทั้งเพศ หน้าตา หมู่เลือด
แต่หากหลังวันที่ 13 ของการปฏิสนธิไปแล้ว มีสิ่งมากระตุ้นให้แบ่งเซลล์ตัวอ่อน จะเกิดปัญหาแฝดที่มีร่างกายติดกัน (Conjoined twins) เช่น ลำตัว หรือ ศีรษะ ติดกัน
ข. แฝดต่างไข่ (Dizygotic หรือ Fraternal twins): เป็นการตั้งครรภ์แฝดที่เกิดจากเชื้ออสุจิ 2 ตัว หรือมากกว่า เข้าไปผสมกับไข่ 2 ใบ หรือมากกว่า, แฝดกลุ่มนี้เพศอาจเหมือนหรือไม่เหมือนกันก็ได้, หน้าตา, กลุ่มเลือด อาจไม่เหมือนกัน, ปัจจุบันพบแฝดต่างไข่มากขึ้น เนื่องจากความเจริญทางเทคโนโลยีการเจริญพันธุ์ การกระตุ้นให้ไข่โตและตกไข่ครั้งละหลายๆฟอง จึงมีโอกาสเป็นแฝดสาม แฝดสี่เพิ่มขึ้น
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ตั้งครรภ์แฝดมีอะไรบ้าง?
ปัจจัยเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์แฝด เช่น
- กรรมพันธุ์: คือ การมีประวัติตั้งครรภ์แฝดในครอบครัว
- เชื้อชาติ: พบว่าชนชาติแอฟริกันมีโอกาสตั้งครรภ์แฝดมากกว่าคนผิวขาว
- อายุมารดามากขณะตั้งครรภ์: พบว่าการตั้งครรภ์เมื่ออายุมากกว่า 35 ปี มีโอกาสตั้งครรภ์แฝดมากขึ้น
- การใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์: การทำเด็กหลอดแก้ว หรือ การใช้ยากระตุ้นให้มีไข่สุกและตกไข่ครั้งละหลายๆฟอง
เราจะสงสัยว่าตั้งครรภ์แฝดเมื่อไหร่?
เราจะสงสัยว่าตั้งครรภ์แฝด ทั่วไปเมื่อ
- มีปัจจัยเสี่ยงตามที่กล่าวมาแล้ว ใน’หัวข้อปัจจัยเสี่ยงฯ’
- มีอาการแพ้ท้องมากกว่าปกติ
- มีภาวะความดันโลหิตสูง หรือบวม ตั้งแต่อายุครรภ์น้อยๆ
- สังเกตว่าครรภ์โตเร็วผิดปกติ หรือ ครรภ์มีขนาดโตกว่าอายุครรภ์
การวินิจฉัยว่าตั้งครรภ์แฝดทำได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยการตั้งครรภ์แฝดได้โดย
- ซักถามประวัติทางการแพทย์กับผู้ป่วย เช่น ใช้เทคโนโลยีในการตั้งครรภ์หรือไม่อาการแพ้ท้อง ขนาดครรภ์ ประวัติครรภ์แฝดในครอบครัว
- การตรวจร่างกายทั่วไป
- การตรวจครรภ์ ตรวจหาปัจจัยเสี่ยงต่างๆของการตั้งครรภ์ ดังกล่าวใน ‘หัวข้อ ปัจจัยเสี่ยงฯ’ และเมื่อตรวจครรภ์ได้โตกว่าอายุครรภ์จริง ก็จะส่งตรวจครรภ์ด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (อัลตราซาวด์) เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง
ภาวะแทรกซ้อนของการตั้งครรภ์แฝดมีอะไรบ้าง?
เมื่อสตรีรู้ว่าตั้งครรภ์แฝด คนในครอบครัวทุกคนจะดีใจ ถือว่าเป็นเรื่องของความโชคดีที่ตั้งครรภ์ครั้งเดียวได้ลูกพร้อมกัน 2 คน แต่ในทางการแพทย์แล้วการตั้งครรภ์แฝดถือเป็นความซับซ้อนอย่างหนึ่ง เป็นการตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงสูง มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน/ผลข้างเคียงจากการตั้งครรภ์ได้มากกว่าครรภ์เดี่ยว ทั้งในระยะฝากครรภ์/ก่อนคลอด, ระยะคลอด, และระยะหลังคลอด
ก. ภาวะแทรกซ้อนของมารดาครรภ์แฝดในระยะฝากครรภ์/ก่อนคลอด: เช่น
- คลื่นไส้อาเจียน มากกว่าปกติ
- เหนื่อยเพลียมาก
- การแท้งบุตร: อาจแท้งออกมา 1 คนแล้วตั้งครรภ์ต่ออีก 1 คน, หรือ แท้งทั้ง 2 คน
- มักมีภาวะซีด ได้ง่าย
- มีโอกาสมีภาวะความดันโลหิตสูงระหว่างตั้งครรภ์สูงกว่าครรภ์ปกติ
- เกิดเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์สูงกว่าครรภ์ปกติ (อ่านเพิ่มเติมในบทความเรื่อง ‘เบาหวานกับการตั้งครรภ์’)
- เกิดภาวะรกเกาะต่ำ ทำให้เลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ เพิ่มโอกาสการแท้งบุตรและการคลอดก่อนกำหนด
- เจ็บครรภ์คลอดก่อนกำหนด
- ทารกน้ำหนักตัวน้อย
- ทารกอยู่ในท่าผิดปกติ ทำให้เกิดปัญหาในการคลอดปกติ อาจต้องผ่าท้องคลอด
- สายสะดือทารกพันกัน ในกรณีอยู่ในถุงการตั้งครรภ์เดียวกัน เป็นสาเหตุให้ทารกเสียชีวิตในครรภ์ หรือ ระหว่างคลอดได้สูง
- ทารกมีโอกาสพิการแต่กำเนิดสูงกว่าครรภ์ปกติ
- ทารกในครรภ์เจริญเติบโตผิดสัดส่วนกัน แต่ละคนเจริญเติบโตได้ไม่เท่ากัน คนที่เจริญเติบโตได้ไม่ดีจึงอาจเสียชีวิต หรือมีความพิการ
- ทารกมีการถ่ายเทเลือดให้กัน (Twin-to-twin transfusion syndrome): คือทารกใช้รกอันเดียวกัน เลือดของคนหนึ่งจึงสามารถไหลสู่ร่างกายของอีกคนได้ ส่งผลให้ 'ทารก' เกิดภาวะขาดเลือด เกิดการเจริญเติบโตผิดปกติ พิการ หรือเจริญเติบโตด้อยกว่าเกณฑ์, จึงเพิ่มโอกาส 'มารดา' เกิดการแท้งบุตร, การคลอดก่อนกำหนด, และ/หรือความพิการแต่กำเนิดของทารกได้
- ทารกเสียชีวิตในครรภ์ 1 คน หรือ อาจเสียชีวิตทั้งหมด
ข. ภาวะแทรกซ้อนของครรภ์แฝดในระยะคลอด: เช่น
- การดำเนินการคลอดผิดปกติ ล่าช้า อาจต้องมีการผ่าท้องคลอดบุตร
- ทารกอยู่ในท่าผิดปกติ ต้องผ่าท้องคลอด
- รกลอกตัวก่อนกำหนด จึงส่งผลให้เกิดทารกคลอดก่อนกำหนดได้สูง
ค. ภาวะแทรกซ้อนของครรภ์แฝดในระยะหลังคลอด: เช่น
- ตกเลือดหลังคลอด: เนื่องจากมดลูกขยายตัวมากเกินไป ทำให้การหดรัดตัวไม่ดี แผลในมดลูกจากการหลุดลอกของรกจึงติดได้ไม่ดี เลือดจึงออกจากแผลได้มาก
- ติดเชื้อหลังคลอดได้สูง
ควรดูแลตนเองอย่างไรเมื่อตั้งครรภ์แฝด?
การดูแลตนเองเมื่อมีครรภ์แฝด ที่สำคัญ ได้แก่
ก. ด้านทั่วๆไป: เช่น
- เมื่อทราบว่าตั้งครรภ์ต้องรีบไปฝากครรภ์
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ พยาบาล ที่ดูแลให้ถูกต้อง ครบถ้วน
- น้ำหนักมารดาควรเพิ่มขึ้น 15-20 กิโลกรัมตลอดการตั้งครรภ์ (ในสตรีที่ไม่อ้วนผิดปกติ)
- พักผ่อนให้เพียงพอ ควรพักผ่อนให้มากกว่าปกติเพื่อลดโอกาสคลอดก่อนกำหนด
- งดการทำงานหนักเพราะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด
- เมื่ออายุครรภ์มากขึ้น ท้องจะขยายมากกว่าการตั้งครรภ์เดี่ยวมาก การเคลื่อนไหวจะลำบาก จึงต้องระวังเกี่ยวกับอุบัติเหตุ
ข. อาหารและการบริโภคอื่นๆ:
เนื่องจากการตั้งครรภ์แฝดอาจมีภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย การดูแลตนเองระหว่างตั้งครรภ์จึงสำคัญมาก, ในเรื่องอาหารและการบริโภคต่างๆ เช่น
- ควรต้องเพิ่มปริมาณมากขึ้น รับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้นกว่าปกติ, ควรได้อาหารเพิ่มขึ้นมากกว่าสตรีที่ไม่ตั้งครรภ์ประมาณ 600 กิโลแคลอรีต่อวัน เนื่องจากความต้องการของลูกมีมากขึ้น
- งด สูบบุหรี่
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ส่วนเครื่องดื่มกาเฟอีน/คาเฟอีน (เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม) ให้ปฏิบัติตามที่สูติแพทย์ที่ดูแลแนะนำ
ค. เพศสัมพันธ์:
- การมีเพศสัมพันธ์ เช่น
- แนะนำให้งดในช่วง 2-3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ เนื่องจาก อาจเกิดการแท้งบุตร
- ส่วนในช่วง 7-8 เดือน ท้องจะใหญ่มาก แนะนำให้งดมีเพศสัมพันธ์ในช่วงนี้เช่นกัน เนื่องจากเกรงจะทำให้คลอดก่อนกำหนด
- ดังนั้น ระหว่างตั้งครรภ์:
- หากไม่มีเลือดออกทางช่องคลอด หรือ ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆตามที่กล่าวใน’หัวข้อ ภาวะแทรกซ้อนฯ’, สามารถมีเพศสัมพันธ์ช่วงตั้งครรภ์ตอน 4-5 เดือนได้
- แต่หากมีภาวะแทรกซ้อน เช่น เลือดออกทางช่องคลอด ก็ต้องงดการมีเพศสัมพันธ์
การฝากครรภ์เมื่อตั้งครรภ์แฝดแตกต่างจากการฝากครรภ์ปกติหรือไม่?
สตรีที่ตั้งครรภ์แฝด ต้องได้รับการดูแลอย่างระมัดระวัง เนื่องจากมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้บ่อยกว่าสตรีที่ตั้งครรภ์เดี่ยว
ก. ในช่วงแรก:
- หากมีคลื่นไส้อาเจียนมากผิดปกติ ควรนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล แพทย์จะให้น้ำเกลือ
- แต่หากไม่มีอาการผิดปกติ จะมีการตรวจครรภ์ด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (อัลตราซาวด์)เป็นระยะๆอย่างสม่ำเสมอ ทุก 1 เดือน เพื่อติดตามความเจริญเติบโตของทารก และค้นหาภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดกับทารก
- แพทย์จะแนะนำการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์มากกว่าปกติ
- จะมีการให้ยาวิตามินบำรุงครรภ์ซึ่งอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ผู้ดูแล
ข. ในช่วงระยะหลังของการตั้งครรภ์:
แพทย์อาจนัดมาตรวจครรภ์บ่อยกว่าปกติ มีการประเมินสุขภาพทารกในครรภ์ด้วย เช่น Non stress test (ตรวจการทำงานของหัวใจของทารก) เพื่อแพทย์พิจารณาการดูแลรักษาทั้งมารดาและทารก
เมื่อตั้งครรภ์แฝดควรคลอดเองหรือให้แพทย์ผ่าท้องคลอดดี?
การตั้งครรภ์แฝด ไม่จำเป็นต้องลงเอยด้วยการผ่าท้องคลอดเสมอไป
- ในกรณีที่เป็นการตั้งครรภ์แฝดสอง และไม่มีภาวะแทรกซ้อนทางสูติศาสตร์ (เช่น ทารกอยู่ในท่าผิดปกติ)
- หากทารกทั้ง 2 คน อยู่ในท่าศีรษะ มีศีรษะเป็นส่วนนำ สามารถชักนำให้คลอดทางช่องคลอดได้ ควรมีทีมแพทย์และพยาบาลที่ดูแล 2 ทีม (ดูแม่ และดูลูก)
- แต่อย่างไรก็ตาม ต้องมีการเตรียมพร้อมสำหรับการผ่าท้องคลอดฉุกเฉินเสมอ เนื่องจากมีบางครั้งที่ทารกคนแรกคลอดไปแล้ว แต่ทารกคนที่ 2 มีการหมุนเปลี่ยนท่าเอง เช่น กลายเป็นท่าขวาง แพทย์ผู้ทำคลอดอาจต้องรีบไปผ่าท้องคลอด
- หรือหากทารกคนแรกมีส่วนนำ (ส่วนที่ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับช่องเชิงกรานมารดา)ไม่อยู่ในท่าศีรษะ มีคำแนะนำว่าควรต้องวางแผนผ่าท้องคลอด
- แต่หากเป็นการตั้งครรภ์แฝดสาม แฝดสี่ ควรต้องผ่าท้องคลอดเลย เพื่อความปลอดภัยของลูก
หลังคลอด ดูแลตนเองอย่างไร?
การดูแลตนเองหลังคลอด ที่สำคัญ เช่น
ก. ด้านทั่วไป: เช่น
- ต้องดูแลตนเองมากขึ้นเรื่องการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพราะต้องให้นมบุตรมากกว่า 1 คน
- ส่วนการดูแลแผลฝีเย็บ หรือ แผลผ่าตัดหน้าท้อง ไม่แตกต่างจากการตั้งครรภ์เดี่ยวทั่วไป
ข. การตั้งครรภ์ครั้งต่อไป:
สำหรับการตั้งครรภ์บุตรคนต่อไป ควรปรึกษาคู่สมรส เกี่ยวกับการวางแผนครอบครัว (อ่านเพิ่มเติมในบทความเรื่อง บทบาทของการวางแผนครอบครัว) แนะนำให้เว้นระยะการตั้งครรภ์ครั้งใหม่ไปประมาณ 2-3 ปี เพื่อที่จะได้ให้นมบุตรและเลี้ยงดูบุตรอย่างเต็มที่ก่อน
ค. การให้นมบุตร:
การให้นมบุตรสามารถให้ทันทีหลังคลอดได้เลยเหมือนครรภ์เดี่ยว เพื่อสร้างสายใยรัก ความผูกพันระหว่างแม่กับลูก
ง. ประจำเดือน:
การกลับมาของประจำเดือนหลังคลอด ขึ้นกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นานแค่ไหน การที่ให้ลูกดูดนมอย่างเดียว (Exclusive breast feeding) แม่จะประจำเดือนมาช้าหรือขาดประจำเดือน (Lactating amenorrhea) นานกว่าสตรีที่เลี้ยงลูกด้วยนมผง เนื่องจากเวลาที่ลูกดูดนมแม่ จะเป็นการกระตุ้นให้มีการหลั่งของฮอร์โมนสร้างน้ำนมมากขึ้น ซึ่งจะไปมีผลต่อฮอร์โมนที่ทำให้เกิดการตกไข่ ทำให้ประจำเดือนไม่มาได้, สตรีให้นมบุตรบางคนประจำเดือนอาจไม่มาเป็นปีได้ แต่ส่วนใหญ่ประจำเดือนจะมาประมาณ 5-6 เดือนหลังคลอดในคนที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่, ส่วนสตรีที่ไม่ได้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ประจำเดือนจะมาตั้งแต่ 1-2 เดือนหลังคลอด
จ. การคุมกำเนิด:
แม้ว่าจะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ แต่แนะนำให้เริ่มคุมกำเนิดตั้งแต่ 6 สัปดาห์หลังคลอดเลย และสามารถเลือกใช้หลากหลายวิธีได้เหมือนครรภ์เดี่ยว ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ต้องการจะเว้นระยะการมีบุตร เช่น ยาฉีดคุมกำเนิด, ยาฝังคุมกำเนิด, การใส่ห่วงอนามัย, ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมนโปรเจสโตรเจนอย่างเดียว, ส่วนยาเม็ดคุมกำเนิดแบบรวมที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วไปไม่ควรใช้ขณะให้นมบุตร เพราะจะมีฮอร์โมนไปยับยั้งการสร้างน้ำนม
บรรณานุกรม
- https://en.wikipedia.org/wiki/Twin-to-twin_transfusion_syndrome [2022,Nov19]
- https://www.cdc.gov/nchs/fastats/multiple.htm [2022,Nov19]
- https://www.uptodate.com/contents/search?search=twin-pregnancy-
&sp=0&searchType=PLAIN_TEXT&source=USER_INPUT&searchControl=
TOP_PULLDOWN&searchOffset=1&autoComplete=false&language=&max=0&index=
&autoCompleteTerm=&rawSentence= [2022,Nov19] - https://www.uptodate.com/contents/twin-pregnancy-overview?search=twin-pregnancy&source=search_result&selectedTitle=1~150&usage_type=default&display_rank=1 [2022,Nov19]
- https://www.acog.org/womens-health/faqs/multiple-pregnancy [2022,Nov19]