กลุ่มอาการชีแฮน (Sheehan Syndrome)
- โดย รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิง ประนอม บุพศิริ
- 12 มิถุนายน 2565
- Tweet
สารบัญ
- กลุ่มอาการชีแฮนคืออะไร?
- กลุ่มอาการชีแฮนมีอาการอย่างไร?
- ใครมีปัจจัยเสี่ยงเกิดกลุ่มอาการชีแฮน?
- เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
- แพทย์วินิจฉัยกลุ่มอาการชีแฮนอย่างไร?
- รักษากลุ่มอาการชีแฮนอย่างไร?
- กลุ่มอาการชีแฮนก่อผลข้างเคียงอย่างไร?
- กลุ่มอาการชีแฮนมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
- ทารกที่เกิดจากแม่ที่มีกลุ่มอาการชีแฮนมีปัญหาด้านสุขภาพหรือไม่?
- กลุ่มอาการชีแฮนสามารถเกิดซ้ำในครรภ์ต่อไปได้หรือไม่?
- ดูแลตนเองอย่างไรเมื่อเกิดกลุ่มอาการชีแฮน?
- เมื่อไหร่ควรพบแพทย์ก่อนนัด?
- สามารถป้องกันเกิดกลุ่มอาการชีแฮนได้หรือไม่?
- บรรณานุกรม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- การตั้งครรภ์ (Pregnancy)
- ตกเลือดหลังคลอด (Postpartum hemorrhage)
- ตกเลือดก่อนคลอด (Antepartum hemorrhage)
- การคลอด การคลอดบุตร (Childbirth)
- การผ่าท้องคลอดบุตร การผ่าตัดคลอดบุตรทางหน้าท้อง (Caesarean section)
- ภาวะช็อก อาการช็อก (Shock)
- ดีไอซี (DIC)
- ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน (Hypothyroidism)
กลุ่มอาการชีแฮนคืออะไร?
กลุ่มอาการชีแฮน(Sheehan Syndrome) คือ โรคเกิดจากต่อมใต้สมอง(Pituitary gland)เกิดขาดเลือดมาเลี้ยงอย่างเฉียบพลัน ทำให้เสียการทำงานของต่อมใต้สมอง โดยเฉพาะต่อมใต้สมองส่วนหน้า
กลุ่มอาการชีแฮน มักเกิดในกรณีที่มีการเสียเลือดระหว่างตั้งครรภ์ หรือ มีการตกเลือดหลังคลอดอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการคลอดทางช่องคลอด หรือการผ่าท้องคลอดบุตรก็สามารถเกิดได้ ปริมาณเลือดที่เสียจะมากจนผู้ป่วยมีภาวะช็อก, ความดันโลหิตต่ำมาก, ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายรวมทั้งที่สมอง(รวมถึงต่อมใต้สมอง)ไม่เพียงพอ ในช่วงตั้งครรภ์จนถึงหลังคลอดใหม่ๆ ต่อมใต้สมองจะมีขนาดใหญ่ขึ้น จึงทำให้มีความเสี่ยงในการขาดเลือดไปเลี้ยงได้ง่ายกว่าช่วงที่ไม่ตั้งครรภ์
ทั้งนี้ ต่อมใต้สมองสมองส่วนหน้า เป็นต่อมไร้ท่อที่มีความสำคัญมากต่อร่างกายเพราะเป็นแหล่งสร้างฮอร์โมนหลายชนิดที่ควบคุมการทำงานต่างๆของร่างกาย เช่น ฮอร์โมนเพศ (Follicular stimulating hormone/FSH, Lutienizing hormone/LH), ฮอร์โมนสร้างน้ำนม/โปรแลกติน(Prolactin), ฮอร์โมนกระตุ้นการทำงานของต่อมไทรอยด์ (Thyroid stimulating hormone/TSH)
หากต่อมใต้สมองสูญเสียการทำงาน จะมีผลทำให้ฮอร์โมนต่างๆเหล่านั้นในร่างกายเปลี่ยนแปลงไป จึงเกิดเป็นอาการผิดปกติต่างๆที่รวมถึงการเกิด’กลุ่มอาการซีแฮน’
อุบัติการณ์การเกิดกลุ่มอาการชีแฮนในสมัยอดีตจะพบมาก แต่ปัจจุบันพบลดลงมากเนื่องจากการดูแลทางสูติกรรมที่ดีขึ้น มีรายงานพบได้ประมาณ5รายต่อสตรีคลอดบุตร 1 แสนราย ส่วนใหญ่เกิดในประเทศกำลังพัฒนาและประชากรมีรายได้ค่อนข้างต่ำ
อนึ่ง: กลุ่มอาการชีแฮน มีชื่ออื่น เช่น Postpartum hypopituitarism, Postpartum pituitary insufficiency, Postpartum pituitary gland necrosis
กลุ่มอาการชีแฮนมีอาการอย่างไร?
ความรุนแรงของกลุ่มอาการชีแฮน มีได้ตั้งแต่อาการน้อยๆจนถึงอาการมาก ขึ้นอยู่กับ การทำงานของต่อมใต้สมองส่วนที่สร้างฮอร์โมนชนิดใดเสียไปบ้าง/ได้รับผลกระทบจากการขาดเลือด ซึ่งอาการที่พบได้มีดังนี้ เช่น
- การไม่มีน้ำนมไหล,ไม่มีน้ำนมเลี้ยงดูบุตรหลังคลอดหรือหลังผ่าตัดคลอดบุตร:เป็นอาการพบบ่อยที่สุดและเห็นได้ชัดรวดเร็ว, เกิดจากต่อมใต้สมองไม่สามารถสร้างฮอร์โมนในการผลิตน้ำนม
- ไม่มีประจำเดือนหลังคลอด:เกิดจากต่อมใต้สมองไม่สามารถผลิตฮอร์โมนที่จะไปกระตุ้นรังไข่ให้สร้างฮอร์โมนเพศหญิงได้
- มีอาการฮอร์โมนไทรอยด์ต่ำ(ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน):เช่น มีอาการเดินช้า พูดช้า คิดช้า เซื่องซึม กินจุ อ้วน ผมร่วง เกิดจากต่อมใต้สมองไม่สามารถสร้างฮอร์โมนควบคุมการสร้างฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ได้
- การทำงานต่อมหมวกไตผิดปกติ:ทำให้การรักษาสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกายเสียไป ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิตหาก’ต่อมใต้สมอง’สูญเสียการสร้างฮอร์โมนควบคุมในส่วนนี้
- มีอาการ อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า เบื่ออาหาร
ใครมีปัจจัยเสี่ยงเกิดกลุ่มอาการชีแฮน?
ผู้มีปัจจัยเสี่ยงเกิดกลุ่มอาการชีแฮน เช่น
- สตรีที่มีภาวะตกเลือดก่อนคลอด และ/หรือ ตกเลือดหลังคลอด อย่างรุนแรง (เช่น คลอดบุตรตัวโต ตั้งครรภ์แฝด ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ ภาวะซีด ภาวะรกเกาะต่ำ เป็นต้น) แล้วได้รับการรักษาหรือการทดแทนสารน้ำและเลือดไม่ทันท่วงที ทำให้เกิดภาวะความดันโลหิตต่ำจนเลือดไปเลี้ยงสมอง/ต่อมใต้สมองไม่เพียงพออย่างเฉียบพลัน
- สตรีที่มีภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติทั่วร่างกาย (Disseminate intravascular coagulopathy หรือ DIC/ดีไอซี): คือ เมื่อมีเลือดออกแล้ว เลือดไม่แข็งตัว ทำให้เสียเลือดมาก, พบได้จากหลายสาเหตุ เช่น ภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด (Placental abruption) หรือ มีภาวะที่น้ำคร่ำอุดหลอดเลือด (Amniotic fluid embolism)
- สตรีที่เป็นเบาหวานตั้งแต่อายุน้อย(อ่านเพิ่มเติมในเว็บ com บทความเรื่อง เบาหวานในเด็กและวัยรุ่น): จะมีผลต่อหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายมาก จึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดการขาดเลือดที่ต่อมใต้สมองด้วยได้
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์?
โรคกลุ่มอาการชีแฮน บางครั้งวินิจฉัยได้ง่ายมาก จากที่ผู้ป่วยมีประวัติตกเลือดหลังคลอดชัดเจน, บางครั้งต้องใช้เวลาหลายปีจึงรู้สาเหตุ, แต่หากหลังคลอดไม่มีน้ำนมเลี้ยงทารกซึ่งเป็นอาการผิดปกติที่เห็นได้ชัดเจน หรือหลังคลอดไม่มีประจำเดือนมาเลยในระยะเวลาที่ควรมีประจำเดือนแล้ว ก็ควรรีบไปพบแพทย์/ไปโรงพยาบาล
แต่บางคนอาการไม่ชัดเจน อาจมีอาการ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ความดันโลหิตต่ำ ที่หาสาเหตุไม่ได้, ก็ควรไปปรึกษาแพทย์/ไปโรงพยาบาลเช่นกันโดยผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์ถึงประวัติเคยตกเลือดหลังคลอดด้วย
แพทย์วินิจฉัยกลุ่มอาการชีแฮนอย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยกลุ่มอาการชีแฮนได้โดย
ก. ประวัติทางการแพทย์: ที่สำคัญ คือ ผู้ป่วยมีประวัติเสียเลือดมากระหว่างตั้งครรภ์ หรือระยะหลังคลอด ไม่มีน้ำนมเลี้ยงดูบุตร เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย อ่อนล้า อาการของการขาดฮอร์โมนไทรอยด์(ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน) ประจำเดือนไม่มาหรือประจำเดือนมาผิดปกติ ทั้งนี้อาการผิดปกติต่างๆอาจเกิดหลังคลอดทันที หรือกว่าจะแสดงอาการอาจใช้เวลาเป็นปีหรือหลายปีได้
ข. การตรวจร่างกาย: ขึ้นอยู่กับว่าขาดฮอร์โมนชนิดใดมาก
- หากขาดเฉพาะฮอร์โมนที่สร้างน้ำนม: ตรวจเต้านมหลังคลอดจะไม่มีน้ำนมไหล
- หากขาดฮอร์โมนไทรอยด์: จะพบว่ามีลักษณะร่างกายบวมฉุ เชื่องช้า
- หากขาดฮอร์โมนเพศ: พบว่าเต้านมไม่เต่งตึง
- และการตรวจภายใน: พบ ช่องคลอดแห้ง ผนังช่องคลอดบาง
ค. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ: เป็นการตรวจเลือดเพื่อดูระดับฮอร์โมนต่างๆที่เกี่ยวข้องกับอาการผู้ป่วย เช่น ฮอร์โมนเพศหญิง, ฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์, จะพบว่าระดับฮอร์โมนฯที่ได้รับผลกระทบ จะอยู่ในเกณฑ์ต่ำ
รักษากลุ่มอาการชีแฮนอย่างไร?
การรักษากลุ่มอาการชีแฮน ขึ้นกับอาการผู้ป่วยหรือฮอร์โมนที่ขาด เช่น ในกรณีที่ ฮอร์โมนจากต่อมไทรอยด์ต่ำ ต้องรักษาโดยการเสริมไทรอยด์ฮอร์โมน, หรือต้องให้ฮอร์โมนเพศหญิงชดเชยหากฮอร์โมนเพศหญิงต่ำ เป็นต้น
กลุ่มอาการชีแฮนก่อผลข้างเคียงอย่างไร?
ผลข้างเคียงจากกลุ่มอาการชีแฮน ขึ้นกับว่าร่างกายขาดฮอร์โมนชนิดใด เช่น
- การขาดฮอร์โมนบางอย่างมีผลรุนแรงจนทำให้ถึงตายได้ เช่น การขาดฮอร์โมนต่อมหมวกไตจะทำให้เกิดความดันโลหิตต่ำและการควบคุมความสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกายเสียไป
- แต่การขาดฮอร์โมนบางอย่างไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต เช่น ทำให้ไม่มีน้ำนมไหล, ไม่มีน้ำนมเลี้ยงดูบุตร, หรือไม่มีประจำเดือน
กลุ่มอาการชีแฮนมีการพยากรณ์โรคอย่างไร?
กลุ่มอาการชีแฮนมีการพยากรณ์โรคที่ดีถึงแม้จะรักษาไม่หาย แต่เมื่อให้ฮอร์โมนทดแทน อาการต่างๆของผู้ป่วยที่เกิดเนื่องจากขาดฮอร์โมนก็จะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และกลับมาเป็นปกติหรือใกล้เคียงปกติ
ทารกที่เกิดจากแม่ที่มีกลุ่มอาการชีแฮนมีปัญหาด้านสุขภาพหรือไม่?
สุขภาพของทารกที่เกิดจากแม่ที่เกิดกลุ่มอาการชีแฮนจากสาเหตุก่อน/ระหว่างการคลอดบุตร ขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น
- อายุครรภ์ครบกำหนดหรือไม่
- การรักษาทดแทนสารน้ำและเลือดต่อมารดาช่วงตกเลือดเพียงพอหรือไม่
- หรือหากมีเลือดออกก่อนคลอด จำเป็นต้องผ่าตัดคลอดก่อนกำหนดหรือไม่
แต่สำหรับในกรณีตกเลือดหลังคลอด สุขภาพทารกมักไม่มีปัญหา จะเป็นปัญหากับสุขภาพแม่มากกว่า
กลุ่มอาการชีแฮนสามารถเกิดซ้ำในครรภ์ต่อไปได้หรือไม่?
หากอาการจากกลุ่มอาการชีแฮนที่พบครั้งแรกไม่รุนแรง หรือการทำงานของต่อมใต้สมองส่วนหน้าเสียเพียงบางส่วน บางส่วนยังทำงานได้ดี ก็สามารถตั้งครรภ์ได้ตามปกติ, และหากสามารถตั้งครรภ์ได้ ก็มีความเสี่ยงจะเกิดกลุ่มอาการชีแฮนได้อีก หากมีการเสียเลือดมากเช่นเคย
แต่หากเกิดกลุ่มอาการชีแฮนอย่างรุนแรงในครรภ์แรกแล้ว มัก ’ไม่สามารถตั้งครรภ์’ในครั้งต่อไปได้
ดูแลตนเองอย่างไรเมื่อเกิดกลุ่มอาการชีแฮน?
การดูแลตนเองที่สำคัญเมื่อมีกลุ่มอาการชีแฮน เช่น
- รับประทานยาหรือฮอร์โมนชดเชยที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์
- มีการออกกำลังกายสม่ำเสมอตามควรกับสุขภาพ เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง
- พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามแพทย์นัด
เมื่อไหร่ควรพบแพทย์ก่อนนัด?
ผู้ป่วยกลุ่มอาการชีแฮนควรพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัดเมื่อ มีอาการผิดปกติ เช่น รู้สึกเหนื่อย อ่อนเพลียมากผิดปกติ และ/หรืออ่อนล้าโดยหาสาเหตุไม่ได้
สามารถป้องกันเกิดกลุ่มอาการชีแฮนได้หรือไม่?
อาจจะพอป้องกันกลุ่มอาการชีแฮนได้ทางอ้อม คือ มีการฝากครรภ์สม่ำเสมอตามแพทย์นัด *และหากมีความผิดปกติระหว่างตั้งครรภ์โดยเฉพาะ’ภาวะเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ’ ต้องรีบด่วนที่จะปรึกษาแพทย์/ไปโรงพยาบาลก่อนนัด
บรรณานุกรม
- https://en.wikipedia.org/wiki/Sheehan%27s_syndrome [2022,June11]
- https://emedicine.medscape.com/article/127650-overview#showall [2022,June11]
- https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK459166/ [2022,June11]